ตอนที่ 624 เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงได้ยืนค้ำหัวผู้อื่นเช่นนี้?
ตลอดเส้นทางมายังประตูเมืองเจาฮุย ขบวนผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี บรรยากาศระหว่างผู้คนจึงเต็มไปด้วยความเฮฮาสนุกสนาน แต่สิ้นเสียงตวาดจากหลังประตูเมือง เสียงหัวเราะและบรรยากาศที่รื่นเริงเหล่านั้นก็เงียบหายไปทันที
หลินเป่ยเฉินเดินออกมาจากห้องโดยสารของรถม้าและกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคาของห้องโดยสารเพื่อสังเกตสถานการณ์ทั้งหมด
ณ ประตูเมืองหมายเลขเจ็ด ปรากฏเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบนับร้อยคนเดินออกมา พวกเขาต่างก็มีหน้าที่ลงทะเบียนผู้คนและทำประวัติผู้อพยพ ก่อนจะมอบแผ่นป้ายประจำตัว เพื่อยืนยันถึงการเป็นประชากรชาวเมืองเจาฮุย
ผู้ที่ส่งเสียงคำรามเป็นชายหนุ่มวัย 30 ปี ใบหน้าเรียวยาว นั่งประจำการอยู่หลังโต๊ะไม้เก่าๆ ผุพังตัวหนึ่ง ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่เต็มไปด้วยรอยตัดเย็บปุปะ บุรุษหนุ่มผู้นี้ไม่ได้สวมใส่หมวก ทุกคนจึงมองเห็นรอยแผลเป็นบนใบหน้าของเขาได้อย่างชัดเจน มิหนำซ้ำ เขายังมีแขนเพียงข้างเดียวและไม้ค้ำยันที่อยู่ทางด้านหลัง ก็บ่งบอกว่าขาหรือเท้าของเขาก็คงขาดหายไปหนึ่งข้างเช่นกัน
ด้านหลังเจ้าหน้าที่ผู้นี้ ยังมีโต๊ะไม้ขนาดแตกต่างกันไปตั้งเรียงรายอยู่อีกหลายสิบตัว
หลังโต๊ะทุกตัวก็จะนั่งประจำการด้วยชายชราเส้นผมสีเทา และทุกคนล้วนมีใบหน้าที่บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าอิดโรย มือข้างหนึ่งของพวกเขาถือปากกาขนนก บนโต๊ะตั้งไว้ด้วยม้วนกระดาษจำนวนมากมายมหาศาล หน้าที่ของชายชราเหล่านี้ก็คือการตรวจสอบข้อมูลที่อยู่ในม้วนกระดาษให้ถูกต้องกับความเป็นจริง
ส่วนฝ่ายดูแลความปลอดภัยก็เป็นชายหนุ่มท่าทางขี้โรค
ชุดเครื่องแบบของพวกเขาก็เต็มไปด้วยร่องรอยการตัดเย็บซ่อมแซมเช่นกัน ถึงข้างเอวจะห้อยไว้ด้วยกระบี่เล่มหนึ่ง แต่มันก็ดูเป็นกระบี่ที่ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ได้เลย ซ้ำร้ายบางคนยังไม่มีกระบี่ติดตัว ในมือจึงถือเพียงกิ่งไม้ทาสีแดงดำขนาดใหญ่ใช้เป็นอาวุธประจำกายเท่านั้น
“เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงได้ยืนค้ำหัวผู้อื่นเช่นนี้?”
เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินยืนโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนหลังคารถม้าในระยะห่างไกล เจ้าหน้าที่แขนเดียวผู้มีใบหน้าเป็นรอยแผลเป็น ก็ยกมือชี้มาที่เด็กหนุ่มด้วยความดุดัน “ลงมาเดี๋ยวนี้ เจ้าต้องไปยืนต่อแถวพร้อมกับคนอื่น ไม่ต้องมามองหน้าข้าถ้าไม่อยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว ขอบอกให้เจ้าได้รู้ไว้ เมื่อเข้าไปอาศัยอยู่ในเมืองเจาฮุยแล้ว จงประพฤติตัวให้ดีๆ อย่าได้มาก่อปัญหาสร้างความรำคาญใจให้แก่พวกเราเด็ดขาด”
“สามหาว”
“พูดจาโอหังนัก”
กงกงและกลุ่มอดีตอันธพาลประจำเมืองเมื่อได้ยินนายน้อยของตนเองถูกผู้อื่นพูดจาข่มเหง ดวงตาของพวกเขาก็เป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น ไม่ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะยิ่งใหญ่มาจากไหน แต่ก็ไม่มีทางมาลบหลู่ดูหมิ่นคุณชายหลินเป่ยเฉินของพวกเขาได้เด็ดขาด
แต่ที่คิดไม่ถึงเลยก็คือ หลินเป่ยเฉินกลับกระโดดลงมาจากหลังคาห้องโดยสารรถม้าด้วยความเชื่อฟังเป็นอย่างดี
ต่อจากนั้น เด็กหนุ่มก็ยกมือส่งสัญญาณแจ้งแก่พวกของกงกงว่า “อย่าก่อปัญหา ไปยืนต่อแถวซะ”
กงกงและพรรคพวกจำเป็นต้องสะกดกลั้นความเดือดดาลและเดินไปต่อแถวร่วมกับชาวเมืองคนอื่นๆ
“นายน้อยขอรับ เหตุไฉนนายน้อยถึงได้เกรงใจสุนัขพิการเช่นนี้?”
หวังจงมองหน้าเจ้านายของตนเองด้วยความเหลือเชื่อ
พฤติกรรมเช่นนี้ไม่สมกับเป็นนายน้อยของเขาเลยสักนิด
หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในเมืองหยุนเมิ่งปีที่แล้ว บุคคลที่กล้าพูดจาหยาบคายกับคุณชายหลินเป่ยเฉิน ก็จะต้องถูกนำตัวไปลงโทษประหารชีวิตด้วยวิธีการห้าม้าแยกร่างไปแล้ว
“เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เจ้าไม่เคยได้ยินหรือไง”
หลินเป่ยเฉินเตะก้นหวังจงไปหนึ่งป้าบและตวาดว่า “อีกอย่าง เจ้าลองสำรวจดูรอบตัวให้ดี สังเกตเห็นสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”
หวังจงขมวดคิ้ว กวาดสายตามองบรรดาเจ้าหน้าที่ประจำประตูเมือง แล้วตอบว่า “หวังจงเพียงเห็นพวกเขา… ล้วนแล้วแต่เป็นตัวบัดซบทั้งสิ้น”
“ใครบอกให้เจ้าคิดเช่นนั้น?”
หลินเป่ยเฉินยกเท้าขึ้นเตะหวังจงอีกครั้ง ก่อนพูดต่อ “เจ้าหน้าที่ลงทะเบียนเหล่านี้ ทุกคนถ้าไม่เป็นทหารผ่านศึกสภาพร่างกายพิกลพิการ ก็ต้องเป็นผู้เฒ่าแก่ชรา ไม่มีคนหนุ่มสาวร่างกายดีๆ อยู่เลยสักคนเดียว คิดดูสิว่าพวกเขามีชีวิตที่ยากลำบากขนาดนี้ ยังต้องมานั่งทำงานตากแดดตากลม แล้วพวกเราอยู่ดีๆ อพยพมาจากไหนก็ไม่รู้ คิดจะมาอาศัยอยู่ร่วมเมืองเดียวกับพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาสั่งให้ทำอย่างไร พวกเราก็ต้องปฏิบัติตามอย่าได้ก่อปัญหาเด็ดขาด ข้าขอเตือนเอาไว้ก่อนเลยว่าการใช้ชีวิตอยู่ในเมืองเจาฮุย คงไม่ได้สวยหรูอย่างที่เจ้าจินตนาการไว้แน่นอน”
หวังจงถึงกับเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
ชายชราแทบพูดอะไรไม่ออก
“นายน้อยเปลี่ยนไปนะขอรับ”
“ถ้าเปลี่ยนแล้วจะทำไม”
หลินเป่ยเฉินยกเท้าขึ้นถีบยอดหน้าพ่อบ้านประจำตัวเป็นการปิดท้ายและออกคำสั่งว่า “ไสหัวไปจัดระเบียบผู้คนได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าบัดนี้ตนเองมีสถานะสูงส่ง จะให้ทำตัวเหลวไหลเช่นเดิมคงเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่ต้องกลัวว่าหวังจงจะสงสัยในตัวตนของเขาอีก
ฮ่าฮ่าฮ่า คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงกันได้อยู่แล้ว
แม้แต่หลินเป่ยเฉินตัวจริงก็คงไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ หวังจงก็นำตัวกงกงและเหล่าลูกสมุนไปจัดระเบียบเรียงแถวชาวเมืองให้อยู่ภายใต้ความสงบ
การลงทะเบียนบันทึกประวัติผู้อพยพดำเนินไปด้วยความราบรื่น
แต่ถึงอย่างนั้น ขั้นตอนต่างๆ ก็ยังดำเนินไปด้วยความเชื่องช้า
การลงทะเบียนและรับป้ายประจำตัวจะใช้เวลา 60 อึดใจต่อหนึ่งคน และมีแต่ต้องถือแผ่นป้ายประจำตัวนี้เท่านั้น พวกเขาถึงจะสามารถเข้าไปอาศัยอยู่ในนครเจาฮุยได้อย่างถูกกฎหมาย
แผ่นป้ายประจำตัวมีลักษณะเป็นแผ่นเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือ ได้รับการลงค่ายอาคมชนิดพิเศษ จึงสามารถบันทึกข้อมูลเจ้าของแผ่นป้ายเอาไว้ได้อย่างละเอียดครบถ้วน
หลินเป่ยเฉินเดินมายืนกอดอก มองกระบวนการทั้งหมดนี้อยู่ที่ด้านข้างโต๊ะลงทะเบียน
ความทันสมัยของเมืองใหญ่มีความก้าวไกลไม่น้อยเลยจริงๆ
แผ่นป้ายประจำตัวเหล่านี้ ไม่ต่างจากบัตรประชาชนบนโลกมนุษย์
“เจ้ามายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ยังไม่รีบไปต่อแถวที่ด้านหลังอีก”
บุรุษผู้มีรอยแผลเป็นอยู่บนใบหน้า ยกมือที่มีอยู่ข้างเดียวนั้นชี้หน้าหลินเป่ยเฉิน “อย่ามารบกวนการทำงานของเจ้าหน้าที่”
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มอย่างประจบประแจง กล่าวว่า “กราบเรียนพี่ใหญ่ ข้าน้อยจำเป็นต้องมายืนอยู่ตรงนี้เพื่อจัดระเบียบผู้คน เพราะกลุ่มผู้อพยพเหล่านี้เชื่อฟังข้าน้อยแต่เพียงผู้เดียว ข้าน้อยมายืนอยู่ที่นี่ก็เพื่อช่วยงานพี่ใหญ่ ไม่กล้าสร้างปัญหารบกวนทุกท่านเด็ดขาด”
เจ้าหน้าที่แขนเดียวหลังโต๊ะไม้เก่าๆ ผุหันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาแข็งกร้าว “ลักษณะท่าทางอย่างเจ้า นับเป็นตัวปัญหายิ่งกว่าทุกคนรวมกันเสียอีก เจ้าหน้าขาว รูปร่างหน้าตาของเจ้าช่างหล่อเหลา ผิวพรรณขาวผ่องบริสุทธิ์ มองดูก็รู้ว่าไม่เคยตกระกำลำบากมาก่อน ข้าจะบอกให้เอาบุญนะว่า เมื่อเข้าไปอยู่ในนครเจาฮุยแล้ว เจ้าจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของพวกข้าให้ดี หรือถ้าถูกคัดเลือกให้เข้าร่วมกองทัพ เจ้าก็จงตั้งใจฝึกฝนและเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการออกรบตลอดเวลา อย่าได้คิดว่าเจ้ามาจากตระกูลร่ำรวยแล้วจะสามารถวางท่าใหญ่โตในเมืองนี้ได้ตามอำเภอใจ บุคคลเช่นนั้นหาได้มีประโยชน์ต่อพวกเราไม่”