ตอนที่ 626 นี่เป็นความผิดของท่าน
แต่โชคดีที่ตลอดเส้นทางการอพยพ ชาวเมืองหยุนเมิ่งเริ่มรู้สึกคุ้นเคยกับการนอนกลางดินกินกลางทรายอยู่บ้างแล้ว ดังนั้น ในไม่ช้าแม่ทัพจวงปู้โจวและนายทหารในสังกัด จึงเริ่มต้นสร้างกระโจมที่พักด้วยความขะมักเขม้น
พวกเขาก็แค่เปลี่ยนที่พักจากกลางป่าเขา มาเป็นนครเจาฮุยเท่านั้นเอง
ซ้ำกําแพงเมืองที่หนาแน่นก็ยังช่วยทำให้ผู้คนรู้สึกปลอดภัยอีกด้วย
หวังจงเดินอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉิน พยายามปลอบอกปลอบใจเจ้านายของตนเอง “นายน้อยไม่ต้องเป็นห่วงนะขอรับ เดี๋ยวหวังจงจะซื้อบ้านให้นายน้อย บัดนี้พวกเรายังพอมีเงินทองเหลืออยู่บ้าง น่าจะเพียงพอต่อการนำไปซื้อบ้านในเขตที่สามได้อยู่ขอรับ นายน้อยต้องไม่ลืมว่าคำว่าจงในชื่อหวังจงนั้นมาจากจงรักภักดี และนายน้อยก็เป็นเหมือนลูกแท้ๆ ของหวังจง ต่อให้นายน้อยต้องอดตาย แต่อย่างน้อยก็ต้องมีหลังคากันแดดกันฝนตอนเสียชีวิต!”
หลินเป่ยเฉินกระโดดถีบพ่อบ้านชรากลิ้งกระเด็นไปบนพื้นดินหลายตลบ “เจ้านั่นแหละที่ต้องเสียชีวิต”
“เอาล่ะ วันนี้ทุกคนพักผ่อนก่อนเถิด อีกไม่กี่วันจะมีเจ้าหน้าที่มาหาพวกท่านอีกครั้ง” หนึ่งในเจ้าหน้าที่ผู้นำทางคณะผู้อพยพมายังแหล่งที่พักพิงแห่งนี้ เดินมาทักทายชาวเมืองพอเป็นพิธี และรีบขอตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว…
ฮันปู้ฟู่กับเยว่หงเซียงก็ขอตัวกลับไปแล้วเช่นกัน
พวกเขาเป็นสมาชิกกลุ่มกบฏประจำเมืองหยุนเมิ่ง ต้องรีบกลับไปรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับภารกิจทั้งหมด
“ไม่จริงน่า เราเป็นถึงผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่เชียวนะ จะไม่มีคนใหญ่คนโตมาต้อนรับหน่อยหรือไง? อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ว่าการประจำเมืองบ้างแหละ แต่นี่ขนาดนายทหารตัวเล็กตัวน้อยก็ยังทำเมินเฉยกับเรา หรือว่าพวกเขาจะไม่เห็นเราอยู่ในสายตาเลยวะ?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มอดถามตัวเองไม่ได้ว่า ‘นี่เราไร้ค่าหมดความหมายแล้วหรืออย่างไร?’
“น้องหลิน ข้าอยากจะขอตัวพาเสี่ยวโจวกลับบ้านก่อน”
หยางเฉินโจวเดินกอดโหลใส่อัฐิของหลู่หลิงโจวเข้ามาหาในสภาพผมเผ้ายุ่งเหยิง หนวดเครารุงรัง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเศร้า “พี่สะใภ้มีบ้านอยู่ในเมืองเจาฮุยด้วยหรือขอรับ? ไม่ทราบพี่หยางอยากจะให้ข้าติดตามไปด้วยหรือไม่?”
หยางเฉินโจวส่ายศีรษะ ตอบว่า “ไม่เป็นไร ข้ากลับคนเดียวได้”
หลินเป่ยเฉินยังคงรู้สึกเป็นห่วงอยู่ไม่หาย หลังจากนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย เขาก็สั่งให้ไต้จือฉุนติดตามหยางเฉินโจวไปเป็นเพื่อน
“นายน้อย พวกเราจะทำอย่างไรต่อไปดี?”
อู๋เฟิ่งกูเถ้าแก่สวนแตงโมร่างอ้วนเดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินด้วยสีหน้าขมขื่น “พวกเราอุตส่าห์ระเหเร่ร่อนเดินทางไกลมาถึงขนาดนี้ แต่ดูสภาพพื้นดินที่แห้งแล้งเหล่านี้แล้ว ข้าคงไม่สามารถปลูกแตงโมได้เลยแม้แต่เพียงลูกเดียว เรื่องอาหารการกินคงไม่ต้องพูดถึง อีกไม่ช้า คงเริ่มมีผู้คนอดตายบ้างแล้ว”
“ใช่แล้วขอรับคุณชาย อีกอย่าง พวกเราคงไม่สามารถอาศัยอยู่ในกระโจมได้ตลอดไป” อวี้ชินหวังและคนอื่นๆ ก็เริ่มมารวมตัวอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินแล้วเช่นกัน
บัดนี้ หลินเป่ยเฉินมีสถานะเป็นกระดูกสันหลังของทุกคนอย่างแท้จริง
เพียงไม่กี่อึดใจ กระโจมที่พักของเด็กหนุ่มก็เป็นจุดรวมตัวของผู้คนจำนวนมาก
ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน ฉุยหมิงโหลว เถียนเถียนรวมไปถึงพวกของเจาโจวหยานและบรรดาผู้อพยพที่เป็นพ่อค้าร่ำรวยจากเมืองหยุนเมิ่ง ได้ลงความเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่า พวกเขาสมควรมาเข้าพบหลินเป่ยเฉิน เพื่อหาคำตอบถึงแผนการข้างหน้าต่อไป
“เมื่อสักครู่เจ้าหน้าที่ผู้นำทางได้กล่าวว่า ทางสภาเมืองได้ประกาศให้ที่นี่เป็นที่ดินของพวกเราอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หากต้องการจะอยู่รอดให้ได้จริงๆ พวกเราก็ต้องหาวิธีสร้างบ้านพักและปรับเปลี่ยนพื้นดินให้เหมาะสมต่อการทําเกษตรกรรมให้ได้ และคงไม่มีใครสามารถมาช่วยพวกเราได้ทั้งนั้น พวกเราชาวเมืองหยุนเมิ่งต้องช่วยตัวเองขอรับ”
ในมือของเถียนเถียนขณะนี้ มีสมุดบันทึกเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม และในสมุดเล่มนี้ก็เต็มไปด้วยข้อมูลที่อาจารย์หนุ่มได้รับจากบรรดาเจ้าหน้าที่ระหว่างเดินทางมายังเขตที่อยู่อาศัยของผู้อพยพ
“หมายความว่าเราจะเปลี่ยนที่อยู่ไม่ได้แล้วใช่ไหม?”
“ให้ปลูกพืชปลูกผักในที่แบบนี้เนี่ยนะ? ดินเค็มขนาดนี้จะปลูกอะไรขึ้น…”
“ข้าน้อยไม่คุ้นเคยกับงานเกษตรกรรมเลย แล้วอย่างนี้จะหางานอื่นทำได้หรือไม่?”
“ถ้าพวกเขายังไม่สนใจเราอยู่อย่างนี้ เมื่อฤดูหนาวมาถึง พวกเราคงไม่รอดเป็นแน่แท้”
“ตกลงว่าพวกเขาจะให้เราดูแลตัวเองตลอดไปเลยหรือขอรับ?”
เมื่อเริ่มเห็นเค้าลางความเป็นไปในอนาคต ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยก็กลับมารู้สึกหมดหวังอีกครั้ง ไม่ต่างไปจากตอนที่ตนเองยังอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งสักนิด
มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต้องหมดเนื้อหมดตัวกับการละทิ้งทุกอย่างเพื่ออพยพมาสู่นครเจาฮุย
เถียนเถียนปิดสมุดบันทึกในมือของตนเองลงดังฉับ แล้วพูดว่า “พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วขอรับ อย่าลืมว่าเรามีสถานะเป็นผู้อพยพ บัดนี้ทรัพยากรในเมืองค่อนข้างหายาก สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ล้วนถูกยกให้แก่เขตพื้นที่เขตสาม เขตพื้นที่เขตสี่ และเขตพื้นที่เขตห้าหมดสิ้น”
ในนครเจาฮุยจะแบ่งแยกออกเป็นห้าเขตพื้นที่สำคัญ
เขตพื้นที่ที่หนึ่งเป็นบริเวณที่ทุกคนได้ผ่านมาแล้ว มันคือพื้นที่ทางทหาร เป็นแนวรบด้านหน้าสุด มีความสำคัญเชิงกลยุทธ์ในการต้านทัพศัตรู
เขตพื้นที่ที่สองเรียกว่าพื้นที่ของผู้อพยพ ที่ดินในเขตนี้จะถูกแบ่งสันปันส่วนให้แก่ผู้คนที่อพยพมาจากเมืองอื่นๆ ในมณฑล และเพื่อป้องกันไม่ให้มีสายลับหรือชาวทะเลแฝงตัวเข้ามา ทุกคนจึงถูกปฏิบัติด้วยความเข้มงวดอย่างเท่าเทียมกันหมด ไม่ว่ายิ่งใหญ่หรือร่ำรวยมาจากไหน ต่างก็ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบแบบเดียวกันทั้งสิ้น สภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเขตนี้ค่อนข้างยากจนแร้นแค้นเป็นอย่างยิ่ง
เขตพื้นที่ที่สามเป็นที่อยู่อาศัยของประชากรชาวเมืองเจาฮุยดั้งเดิม นอกจากนั้น ยังเป็นที่อยู่อาศัยของบรรดาเศรษฐี พ่อค้าวาณิชและยอดฝีมือจำนวนมากที่อพยพมาจากที่อื่น สภาพความเป็นอยู่สะดวกสบาย บรรยากาศเต็มไปด้วยวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ทรัพยากรสำหรับกินอยู่อาศัยมากมายมั่นคง จัดว่าเป็นเขตพื้นที่ซึ่งมีความร่ำรวยในระดับหนึ่ง
เขตพื้นที่ที่สี่เป็นที่อยู่อาศัยของขุนนาง ยอดฝีมือผู้มีพลังสูงส่ง และใครก็ตามที่มีทรัพย์สินมากกว่าหนึ่งล้านเหรียญทองคำเป็นต้นไป นอกจากนั้นพื้นที่แถบนี้ยังเป็นที่ทำการของสภาเมือง คอยดูแลกำกับความเป็นอยู่ของชาวเมืองทุกคนในนครเจาฮุย สภาพความเป็นอยู่นอกจากสะดวกสบายมากแล้ว ยังมีความร่ำรวยมหาศาลมากกว่าเขตพื้นที่ที่สามอีกหลายเท่า
ส่วนเขตพื้นที่ที่ห้าเป็นที่ตั้งของสำนักงานผู้ว่าการมณฑลเฟิงอวี่
สำนักงานผู้ว่าการมณฑลนั้นมีความใหญ่โตไม่ต่างจากพระราชวังหลังหนึ่งเลยทีเดียว
แต่ด้วยความนี่คือช่วงเวลาระหว่างการทำสงคราม หากผู้อยู่อาศัยในเขตที่สองอยากจะเข้าสู่พื้นที่เขตที่สามหรือเขตที่สี่ ทุกคนก็ต้องผ่านการตรวจค้นร่างกายจากเวรยามเฝ้าประตูเมืองเสียก่อน และการเดินทางเข้าออกจะจำกัดเวลาเพียงตอนกลางวันเท่านั้น
สำหรับผู้อยู่อาศัยในเขตพื้นที่เขตสาม ถ้าต้องการจะเข้าสู่เขตพื้นที่เขตสี่ ก็ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนนี้เช่นเดียวกัน
มิหนำซ้ำ ทุกคนยังต้องจ่ายค่าผ่านทางอีกด้วย
ซึ่งค่าผ่านทางเหล่านั้นเป็นปัญหาสำหรับชาวเมืองผู้อาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่สองมากที่สุด
แล้วถ้าอยากจะเข้าสู่พื้นที่เขตที่ห้าต้องทำอย่างไร?
ผู้คนไม่สามารถเข้าไปได้ด้วยการจ่ายค่าผ่านทาง
เงินใช้ไม่ได้ผล
ผู้ที่จะเข้าไปได้จำเป็นต้องมีอำนาจและสถานะสูงส่งมากพอ
เถียนเถียนศึกษาข้อมูลเหล่านี้มาเป็นอย่างดี และได้บอกให้ทุกคนรับทราบอย่างชัดแจ้งกระจ่างใจ
บรรยากาศเต็มไปด้วยความหมดหวัง
เมื่อหลินเป่ยเฉินได้ยินเช่นนั้น เขาก็ถึงกับต้องลอบสบถอยู่ในใจ
ขนาดทะลุมิติมาอยู่โลกอื่น เขายังหนีความยากจนไม่พ้นอีกเหรอเนี่ย
“คุณชายหลินขอรับ ข้าน้อยพอจะมีบ้านพักอยู่ในเขตพื้นที่ที่สามอยู่บ้าง หากคุณชายไม่ติดขัดอะไร ข้าน้อยก็อยากจะมอบบ้านพักให้แก่คุณชายสักหลังหนึ่ง…”
เจาโจวหยานทำลายความเงียบที่ปกคลุมกระโจมที่พักของหลินเป่ยเฉินขึ้นมาเป็นคนแรก
เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้น เขาก็แทบจะสบถคำหยาบออกมา
ไม่เสียทีที่เจาโจวหยานเป็นถึงประมุขหอการค้าใหญ่โต
ถึงกับมีบ้านพักอยู่ในเมืองหลวงเชียวหรือ?
“ไม่ต้องหรอก”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดและพูดด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น “ข้าคือหลินเป่ยเฉินผู้รักความยุติธรรม และไม่เคยเอารัดเอาเปรียบผู้ใด ขณะนี้ พ่อแม่พี่น้องชาวเมืองหยุนเมิ่งของพวกเราต้องตกระกำลำบาก แล้วข้าจะไปสุขสบายอยู่ในพื้นที่เขตที่สามคนเดียวได้อย่างไร?”
เจาโจวหยานถึงกับสะดุ้งโหยง ใบหน้าเปลี่ยนสีไปทันที
ในกลุ่มพ่อค้าผู้ร่ำรวยและมหาเศรษฐีจากเมืองหยุนเมิ่ง สายตาของทุกคนบอกชัดถึงความประหลาดใจที่คิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะปฏิเสธข้อเสนอนี้
หลินเป่ยเฉินเติบโตแล้วจริงๆ
เวลาที่ผ่านไปเพียงครึ่งปี หลินเป่ยเฉินกลับเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว
แต่แล้วพวกเขากลับได้ยินเด็กหนุ่มพูดต่อไปว่า “แต่ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของประมุขโจว ข้าจะปฏิเสธความปรารถนาดีของท่านได้อย่างไร? หากข้าปฏิเสธไป ก็คงทำให้ท่านอับอายมากแล้ว… เอาเป็นว่าข้าจะขอยอมรับความหวังดีของท่านเอาไว้เอง”
เจาโจวหยานเบิกตาโต พูดอะไรไม่ออก
ทุกคนก็เบิกตาโตและพูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
ไร้ยางอายที่สุด
ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
นี่สิถึงจะเป็นหลินเป่ยเฉินตัวจริงเสียงจริง
เขาพูดออกมาเหมือนกับว่าไม่เต็มใจยอมรับข้อเสนอนี้
เจาอู๋หยางยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก ก่อนหันกลับมามองหน้าบิดาของตนเอง
เจาโจวหยานกลับมามีสีหน้าเยือกเย็นแล้ว ผู้เป็นประมุขหอการค้าใหญ่กล่าวต่อไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ขอบคุณคุณชายหลินที่เมตตาข้าน้อย ในจำนวนบ้านพักที่ข้าน้อยมีอยู่ในเขตพื้นที่ที่สาม ข้าน้อยขอมอบบ้านพักหลังที่มีราคาแพงที่สุดมูลค่าสองแสนเหรียญทองคำให้แก่คุณชาย นอกจากนั้น ข้าน้อยยังมีเงินค่าคุ้มกันระหว่างการเดินทางมอบให้คุณชายตามที่ได้ตกลงเอาไว้ก่อนหน้านี้อีกด้วย บัตรเงินสดใบนี้มีเงินอยู่ทั้งสิ้นสามแสนเหรียญทองคำ รบกวนคุณชายช่วยรับความปรารถนาดีนี้ของข้าน้อยด้วยเถิด”
พูดจบ จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ก็ดึงบัตรเงินสดสีดำทมิฬ ตีตราสัญลักษณ์สำนักฝากเงินกระบี่ฟ้าออกมาจากในอกเสื้อ…
เห็นได้ชัดว่าเขาเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้านานแล้ว
“เฮ้อ สุดท้ายข้าก็ต้องยอมรับไว้อีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินผุดลุกขึ้นยืนและยื่นมือมารับบัตรเงินสดไปถือไว้ พร้อมกับพูดว่า “ประมุขโจว ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของท่านคนเดียว ข้ามันเป็นคนใจอ่อนเห็นใครเสียใจไม่ได้ซะด้วย และเพื่อไม่ให้ท่านต้องเสียใจ ข้าก็คงต้องรับความปรารถนาดีของท่านเอาไว้โดยไม่เต็มใจเลยจริงๆ”