ตอนที่ 627 หลินเป่ยเฉินผู้ยิ่งใหญ่
หลินเป่ยเฉินค่อนข้างพอใจในตัวของเจาโจวหยานมากทีเดียว
ประมุขหอการค้าผู้นี้เป็นคนฉลาด
นอกจากฉลาดแล้ว ที่สำคัญคือยังร่ำรวย มองเห็นโอกาสที่จะประจบเอาใจเขาได้โดยไม่ต้องเสียเวลา
“คุณชายหลินขอรับ นี่คือค่าคุ้มกันที่พวกเราได้ตกลงกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ ข้าน้อยอาจจะไม่ร่ำรวยอย่างประมุขโจว จึงสามารถมอบให้คุณชายได้เพียงห้าหมื่นเหรียญทองคำเท่านั้น หวังว่าคุณชายหลินคงจะไม่ถือสา”
“คุณชายขอรับ ข้าน้อยมีอยู่เพียงสามหมื่นเหรียญทองคำ…”
“ข้าน้อยมีมอบให้เพียงหนึ่งหมื่นเหรียญทองคำเท่านั้นขอรับ”
บรรดามหาเศรษฐีที่เดินเข้ามาหาหลินเป่ยเฉินพร้อมกับเจาโจวหยาน ต่างก็ยืนเข้าแถวส่งมอบเงินค่าคุ้มกันการอพยพที่ได้เคยรับปากกันเอาไว้ออกมาให้เด็กหนุ่ม
ถึงแม้ว่าแผนการหลบหนีของพวกเขาจะไม่ได้รวมถึงชาวเมืองนับหมื่นคนด้วยก็ตาม แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินเป่ยเฉินก็สามารถนำพาพวกเขามาถึงนครเจาฮุยได้โดยสวัสดิภาพอยู่ดี
ถ้าเปลี่ยนเป็นคนอื่น บรรดามหาเศรษฐีเหล่านี้คงแกล้งทำเป็นลืมเลือนไปแล้ว…
แต่อีกฝ่ายหนึ่งคือหลินเป่ยเฉินผู้ร้ายกาจและหน้าเลือดยิ่งกว่าอะไรดี
แล้วทำไมพวกเขาต้องทำเรื่องที่เสี่ยงอันตรายต่อชีวิตของตนเองด้วย?
ผู้ที่เป็นศัตรูกับหลินเป่ยเฉินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเฉาพั่วเถียน ไป๋ไห่ชิน หนี่หยาน เหลียวหวังซูหรือว่าคนอื่นๆ รวมไปถึงนักบวชหรงของชาวทะเล แต่ละคนต่างก็ต้องพ่ายแพ้และพบกับชะตากรรมที่น่าอนาถใจด้วยน้ำมือของหลินเป่ยเฉิน ความน่ากลัวของเด็กหนุ่มนี่เองที่ฝังลึกอยู่ในจิตใต้สำนึกของบรรดามหาเศรษฐีโดยไม่รู้ตัว
“แหม พวกท่านช่างมีน้ำใจดีงาม”
“แล้วข้าจะสามารถปฏิเสธน้ำใจของทุกคนได้อย่างไร?”
“เอาเถิด หนึ่งหมื่นก็ถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อย”
“โฮะโฮะโฮะ เรื่องเงินไม่สำคัญสำหรับข้าหรอกนะ แค่ทุกคนมาถึงที่หมายได้อย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินยิ้มหน้าระรื่นขณะเก็บเงินเข้ากระเป๋าของตนเอง
ไม่นานหลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็มีเงินสดติดตัวอยู่ถึงเก้าแสนห้าหมื่นเหรียญทองคำ
หลินเป่ยเฉินแทบจะหุบยิ้มไม่ได้
เขารวยแล้ว
คิดไม่ถึงเลยว่าการอพยพผู้คนในครั้งนี้จะสร้างกำไรให้แก่เขามหาศาล
ถ้ารู้ว่าเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก หลินเป่ยเฉินก็คงอพยพชาวเมืองมานานแล้ว
คณะมหาเศรษฐีเมื่อส่งมอบเงินให้แก่เด็กหนุ่มเรียบร้อย พวกเขาก็อยู่พูดคุยพอเป็นพิธีอีกเล็กน้อย ก่อนจะขอตัวกลับไป
บางคนมีบ้านพักอยู่ในพื้นที่เขตที่สามของนครเจาฮุย และบางคนก็มีญาติพี่น้องหรือคนรู้จักอยู่ที่นั่น แน่นอนว่าบุคคลเหล่านี้ย่อมไม่สามารถทนอยู่ในพื้นที่เขตที่สองได้อีกต่อไป หลังจากร่ำลาหลินเป่ยเฉินด้วยความอาลัยอาวรณ์สุดแสนจอมปลอม กลุ่มมหาเศรษฐีเหล่านี้ก็รวมตัวกัน เพื่อเตรียมออกเดินทางเข้าสู่เขตพื้นที่เขตสามตอนเช้าตรู่
ส่วนกลุ่มคนที่ต้องทนอยู่ที่นี่ต่อไปล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่ยากจนเงินทองและไม่มีที่ไปทั้งนั้น
ด้วยเหตุนี้ เมื่อปรับตัวกับชีวิตในนครเจาฮุยได้แล้ว กลุ่มผู้อพยพจากเมืองต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่เขตที่สองจึงมักจะออกไปหางานทำในพื้นที่เขตที่หนึ่ง โดยทุกคนมีความฝันเป็นอย่างเดียวกันว่า สักวันหนึ่งจะต้องเก็บเงินให้ได้มากพอสำหรับเข้าไปอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่ที่สามให้ได้
นี่คือความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ความทะเยอทะยานและปรารถนาชีวิตที่ดีกว่า คือแรงขับเคลื่อนทำให้ทุกคนต้องกัดฟันทนทำงานหนักต่อไป
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ยังจะมีผู้ใดมาช่วยเหลือพวกเขาได้อีก?
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ออกปากรั้งใครไว้
ถึงอย่างไรคณะมหาเศรษฐีเหล่านั้นก็จ่ายเงินให้เขาครบถ้วนแล้ว
ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินปฏิเสธคำเชิญจากกลุ่มมหาเศรษฐีและไม่ยอมเข้าสู่เขตพื้นที่ที่สามไปด้วยกัน นั่นคือข่าวที่กระจายไปถึงหูชาวเมืองในค่ายที่พักด้วยความรวดเร็ว และข่าวนี้ก็สร้างความปีติยินดีให้แก่ชาวเมืองหยุนเมิ่งผู้อพยพเป็นอย่างยิ่ง
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังศรัทธาต่อตนเองที่ปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรง
และมันก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เด็กหนุ่มเลือกอยู่ที่นี่ต่อไป
หลายชั่วยามต่อมา ชาวเมืองหยุนเมิ่งก็เริ่มลงหลักปักฐานสร้างกระโจมที่พักของตนเอง มีการสร้างรั้วไม้ระบุอาณาเขต รวมถึงขุดบ่อน้ำสำหรับการใช้งานอุปโภคบริโภค…
บ่ายวันต่อมา ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งก็ได้มีโอกาสต้อนรับแขกกลุ่มแรกอย่างไม่คาดคิด…
แขกผู้มาเยี่ยมเยือนเหล่านั้นปรากฏว่าเป็นกลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวผู้เดินทางมาจากเมืองหยุนเมิ่ง เพื่อมาศึกษาต่อในนครเจาฮุย
มี่หรูหยาน หวังซินอวี่ โจวฉุยหวูซวง โจวเค่อ คังซานเสว่ ซูเสี่ยวหยาน รวมไปถึงคนอื่นๆ ต่างก็มาหาเด็กหนุ่มอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และยังได้นำข้าวของเครื่องใช้จำนวนมากมามอบให้แก่ชาวเมืองอีกด้วย
“คุณชายหลินเป่ยเฉิน ในที่สุดพวกเราก็ได้เจอกันสักที”
หวังซินอวี่ในขณะนี้สวมใส่ชุดเสื้อเกราะนักรบ ทำให้ร่างเพรียวบางของนางดูมีสง่าราศีมากกว่าเดิมขึ้น เพียงมองดูปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาอีกต่อไป หลังจากทักทายประโยคแรกออกมา หวังซินอวี่ก็เดินเข้ามาสวมกอดหลินเป่ยเฉินแนบแน่น…
โอ้โห
ไม่เจอกันเพียงไม่กี่เดือน หวังซินอวี่ถึงกลับใจกล้าขนาดนี้แล้วหรือนี่?
หลินเป่ยเฉินไม่อยากแสดงอาการผิดปกติ จึงกอดตอบเด็กสาวด้วยความแนบแน่นเช่นกัน
สุดท้าย หวังซินอวี่ก็ต้องส่งเสียงครางออกมาเพราะหลินเป่ยเฉินกอดนางแน่นมากเกินไป เมื่อเด็กหนุ่มคลายอ้อมกอดออกแล้ว เขาจึงได้เป็นฝ่ายทักทายหวังซินอวี่บ้าง “เฮ้อ ศิษย์น้องหวัง ไม่ใช่สิ บัดนี้ ข้าควรเรียกเจ้าว่าแม่ทัพหวังแล้วกระมัง? ไม่เจอกันนาน… นมโตขึ้นเยอะเลยนะเนี่ย… เอ่อ ข้าหมายความว่าเจ้าสวยมากขึ้นกว่าเดิมน่ะ”
มีนายทหารหนุ่มติดตามหวังซินอวี่มาจำนวนสองคน บัดนี้ พวกเขาทำได้เพียงเลิกคิ้วสูงด้วยความเหลือเชื่อ
นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นหวังซินอวี่ผู้เป็นเครื่องจักรสังหารในสนามรบ และเป็นที่หวาดเกรงของชาวทะเลยิ่งกว่าอะไรดี กลับมีรอยยิ้มอบอุ่นพิมพ์ใจ และพูดคุยกับเพศตรงข้ามได้อย่างอ่อนหวานอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
หรือว่า… เด็กหนุ่มที่ชื่อหลินเป่ยเฉินจะไม่ใช่บุคคลธรรมดา?
แต่เป็นหวานใจของแม่ทัพหวัง?
นายทหารหนุ่มผู้ติดตามทั้งสองคนมีความรู้สึกร้อนรุ่มในหัวใจขึ้นมาทันที
“พี่หลิน ในที่สุดท่านก็มาถึงนครเจาฮุยแล้วนะเจ้าคะ”
มี่หรู่หยานผู้ยืนเงียบมาตลอดก่อนหน้านี้ก็เดินเข้ามาสวมกอดหลินเป่ยเฉินบ้างเช่นกัน เด็กสาวพยายามซ่อนเร้นความตื่นเต้นในแววตา แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวอยู่ดี บัดนี้ มี่หรู่หยานยิ้มแย้มด้วยความตื่นเต้นราวกับได้พบเจอคนรักที่พลัดพรากจากกันไปนานอีกครั้ง นอกจากสองแก้มจะแดงระเรื่อแล้ว หัวใจของมี่หรู่หยานก็ยังเต้นไม่เป็นจังหวะอีกด้วย
อดีตเพื่อนร่วมเมืองทุกๆ คนเดินเข้ามาสวมกอดหลินเป่ยเฉินไม่มีว่างเว้น
เพราะบัดนี้ มีเพียงการสวมกอดเท่านั้นที่จะแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าทุกคนเคารพหลินเป่ยเฉินมากมายขนาดไหน
ขณะที่ประชาชนในนครเจาฮุยไม่สนใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นนอกกำแพงเมืองของตนเอง แต่บรรดาเด็กหนุ่มเด็กสาวที่มาจากเมืองหยุนเมิ่ง ต่างก็ติดตามข่าวสารจากบ้านเกิดของตนเองอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ได้ข่าวว่ากองทัพชาวทะเลบุกยึดเมืองหยุนเมิ่งสำเร็จแล้ว หลายคนถึงกับเป็นลมล้มพับไปเลยทีเดียว เด็กสาวบางคนถึงกับนอนร้องไห้ทุกค่ำคืนด้วยความเป็นห่วงญาติพี่น้องของตนเอง ซึ่งยังคงตกค้างอยู่ในเมืองบ้านเกิด
หลังจากนั้น พวกเขาก็ได้รับทราบความเคลื่อนไหวเป็นระยะ
สถานการณ์ทางการเมืองในจักรวรรดิเป่ยไห่เริ่มมีความวุ่นวายซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ
บางคนจึงทำใจแล้วว่าตนเองอาจจะต้องจากลากับครอบครัวตลอดกาล แต่แล้วหลินเป่ยเฉินกลับนำผู้คนกว่าหมื่นคนอพยพออกมาจากดินแดนที่อยู่ภายใต้การปกครองของศัตรูได้อย่างปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน…
นี่คือปาฏิหาริย์
ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หวังซินอวี่เฝ้านึกสงสัยไม่เคยหายว่าเพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินถึงปฏิเสธการออกจากเมืองหยุนเมิ่งมาศึกษาต่อที่นครเจาฮุย ทั้งๆ ที่มีสถาบันกระบี่หลายแห่งหยิบยื่นข้อเสนออันดีงามให้แก่เขาไม่เคยขาด
วันนี้นางได้คำตอบแล้ว
หากหลินเป่ยเฉินเลือกเดินทางมาศึกษาต่อเมื่อครั้งนั้น ป่านนี้ชาวเมืองร่วมหมื่นชีวิตก็คงกลายเป็นซากศพและไม่มีโอกาสได้มาเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เมืองหลวงอีกแล้ว
“บัดนี้ ทรัพยากรในตัวเมืองมีอย่างจำกัดจำเขี่ย สมาคมศิษย์เก่าของพวกเรารวบรวมข้าวของเครื่องใช้สำหรับช่วยเหลือชาวเมืองมาได้เพียงเท่านี้ แต่พวกเรากำลังจะนัดพบกันเร็วๆ นี้ คาดว่าทุกคนกำลังคิดหาวิธีช่วยเหลือคุณชายหลินอยู่เช่นกันเจ้าค่ะ…”
หวังซินอวี่พูด
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปว่า “ไม่เป็นไร บัดนี้ข้าพอจะมีเงินทองอยู่บ้าง ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าไม่ต้องรีบร้อนช่วยเหลือข้าก็ได้ ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่กันแล้ว เลี้ยงฉลองกันสักหน่อยดีหรือไม่ วันนี้ไม่เมาไม่เลิกรา กงกง ไปเอาไหสุราของข้ามาสิ”
หลินเป่ยเฉินเป็นปีศาจสุราตนหนึ่ง ไม่ว่าอยู่แห่งหนใด ก็จะต้องพกไหสุราติดตัวไปด้วยเสมอ
เขาอาศัยโอกาสที่ทุกคนได้มารวมตัวกันพร้อมหน้าพร้อมตา จัดงานเลี้ยงฉลองขึ้นในค่ายที่พักของตนเอง
จนกระทั่งถึงตอนเย็น เมื่อประตูเมืองของเขตพื้นที่ที่สามใกล้ถึงเวลาปิด บรรดาศิษย์เก่าอดีตเพื่อนร่วมเมืองของหลินเป่ยเฉินก็ลุกขึ้นยืนขอตัวกลับ
“จริงด้วยสิทุกคน ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะสอบถาม พอดีข้ามีความคิดที่จะสร้างสถานศึกษากระบี่ที่สามขึ้นมาใหม่ในนครเจาฮุย ไม่ทราบพวกเจ้าพอจะมีคำแนะนำใดบ้างหรือไม่ เช่นการคัดเลือกลูกศิษย์ กลุ่มคนที่มีคุณภาพ หรือว่าระบบระเบียบการเรียนการสอน…”
หลินเป่ยเฉินเอ่ยปากถามตอนที่เดินมาส่งกลุ่มเพื่อนเก่า
หวังซินอวี่ มี่หรู่หยานและคนอื่นๆ หันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“สร้างสถานศึกษากระบี่ที่สามขึ้นมาใหม่อย่างนั้นหรือ?”
“คุณชายจะทำเช่นนั้นเพื่ออะไร?”
หลายคนอดถามออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
หลินเป่ยเฉินหันขวับไปเอียงหน้าทำมุม 45 องศา ทอดสายตามองพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดิน และเริ่มต้นทำการแสดงด้วยความเคร่งขรึมจริงจัง
“ในค่ายพักผู้อพยพของพวกเรา มีเด็กหนุ่มเด็กสาวอยู่เป็นจำนวนมาก ทุกคนล้วนมาจากครอบครัวยากจนข้นแค้น คงไม่มีปัญญาไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในเขตพื้นที่ที่สามได้เด็ดขาด เรื่องให้ได้รับการศึกษาคงไม่ต้องคาดหวัง ข้าเพียงไม่สามารถทนเห็นพวกเขาพลาดโอกาสสำคัญในชีวิตได้เลยจริงๆ ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงคิดที่จะสร้างสถานศึกษาขึ้นมาใหม่และมอบโอกาสให้ทุกคนได้เข้าเรียนอย่างเท่าเทียมกัน…”
“ความรู้คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้”
“และการฝึกวิทยายุทธ์ก็คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงชีวิตผู้คนได้เช่นกัน”
“ยกตัวอย่างเช่นตัวข้านี้ ถ้าไม่ได้รับการศึกษาและอบรมสั่งสอนจากคณะครูบาอาจารย์ ป่านนี้ก็ไม่ทราบเลยว่าชีวิตของข้าจะเป็นอย่างไร…”
“ข้าเคยเป็นคนไม่ดีที่ชาวเมืองล้วนรังเกียจ แต่วันนี้ ผู้คนยอมรับในตัวตนของข้า และในยามที่ข้าพบเจอเรื่องราวที่ยากลำบากมากที่สุดในชีวิต ชาวเมืองหยุนเมิ่งก็ให้การสนับสนุน ส่งเสียงปรบมือและยิ้มแย้มให้กำลังใจข้า แล้วข้าจะไม่ช่วยเหลือลูกหลานของพวกเขาได้อย่างไร!”
“ในบรรดาวิธีช่วยเหลือผู้คนทั้งหมดนี้ ข้าเล็งเห็นว่าการเปิดสถานศึกษามอบความรู้ให้แก่เด็กๆ คือการตอบแทนที่มีคุณค่ามากที่สุดแล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดยาวเหยียดรวดเดียวจบ
แสงสีทองยามดวงตะวันใกล้ลับฟ้าอาบไล้ไปทั่วใบหน้าของเด็กหนุ่ม
ช่วยส่งเสริมให้หลินเป่ยเฉินมีความหล่อเหลาและสง่างามมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
หวังซินอวี่ มี่หรู่หยาน และบรรดาเพื่อนเก่าทุกคนต่างก็ตกตะลึงกันไปหมด
ฉู่เหิน หลิวฉีไห่ พานเว่ยหมิน และคณะอาจารย์คนอื่นๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเป่ยเฉิน ก็มีอาการตกตะลึงไม่แพ้กัน
เช่นเดียวกับชาวเมืองหยุนเมิ่งทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้น
ความซาบซึ้งใจที่เกิดขึ้นทำให้ทุกคนอยากจะคุกเข่าลงไปกราบไหว้เด็กหนุ่มจากใจจริง
เขาคือความภาคภูมิใจของเมืองหยุนเมิ่ง
หลินเป่ยเฉินคือบุคคลที่สวรรค์ประทานลงมาเพื่อช่วยเหลือพวกเขา
ผู้อพยพจำนวนมากรู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาแล้ว
พวกเขาล้วนสัมผัสได้ถึงความจริงใจจากคำพูดของหลินเป่ยเฉิน
นับดูทั่วเมืองหยุนเมิ่ง ยังจะมีผู้ใดมีจิตสำนึกรักบ้านเกิดเท่ากับหลินเป่ยเฉินอีก?
เมื่อพูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาเล็กน้อย
แม่งเอ๊ย
แสงแดดตอนที่พระอาทิตย์ตกดินก็แสบตาใช้ได้เหมือนกันนะเนี่ย
ไม่น่าเก๊กหล่อท่านี้เลยเรา
เดี๋ยวหาซื้อแว่นกันแดดจากแอป Taobao ดีกว่า
แต่ดูเหมือนว่าการแสดงของเขาจะได้ผลดีทีเดียว
ถึงกับตะลึงกันไปเลยล่ะสิ?
หึหึ ซาบซึ้งใจขนาดนี้แล้ว จะไม่ศรัทธาในตัวเขาก็ให้มันรู้ไป
โดยเฉพาะบรรดาศิษย์อัจฉริยะที่มาศึกษาต่อในนครเจาฮุย
แรงศรัทธาของพวกเขาสามารถเปลี่ยนเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ได้ดีมากกว่าชาวเมืองธรรมดา