ตอนที่ 629 หอนางโลมบุปผารื่นรมย์
“หน่วยดับเพลิงต้องการคนงานไม่จำกัดจำนวน ไม่จำเป็นต้องมีคุณสมบัติใดๆ เนื่องจากเป็นงานที่อันตรายมาก เมื่อลงทะเบียนรับงานนี้แล้ว ผู้สมัครก็จะได้รับค่าแรงหนึ่งเหรียญทองคำกับข้าวสารอีกสิบกระสอบโดยทันที แต่ถ้าไม่มีทักษะเอาตัวรอดหรือมีครอบครัวต้องเลี้ยงดู กรุณาไปทำงานอื่น…”
“สำนักนางรำเฟิงฉือต้องการคนงานหญิงจำนวน 30 อัตรา คุณสมบัติต้องเป็นหญิงสาวอายุ 14 ถึง 40 ปี มีบุคลิกภาพและหน้าตาโดดเด่น ราคาค่าจ้าง 10 เหรียญทองคำต่อเดือน มีอาหารให้กินวันละสามมื้อ และสามารถลาหยุดได้เดือนละสามครั้ง…”
“หอนางโลมบุปผารื่นรมย์ต้องการซื้อตัวสาวงามจำนวน 10 อัตรา คุณสมบัติรูปร่างดี ผิวพรรณขาวเนียน หน้าตางดงาม ราคามิตรภาพ ผู้ใดยังอยู่ในสถานะผู้เยาว์จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ…”
“จวนสกุลหลู่ต้องการหญิงรับใช้จำนวนสี่อัตรา…”
“สมาคมผู้ใช้ค่ายอาคมต้องการพนักงานทำความสะอาด 10 อัตรา…”
“สมาคมผู้ค้าอัญมณีต้องการช่างฝีมือสำหรับเจียระไนต่างหูจำนวน 20 อัตรา คุณสมบัติต้องมีมือที่มั่นคงและผู้ใดสามารถใช้พลังลมปราณได้จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ…”
“อาจารย์ผู้ใช้ค่ายอาคมอาวุโสกำลังมองหาผู้ช่วย…”
บรรดาผู้คนจากพื้นที่เขตที่สามต่างก็มาตั้งซุ้มประกาศความต้องการของตนเอง พวกเขาส่งเสียงตะโกนสุดลำคอ เพื่อเรียกร้องความสนใจจากผู้อพยพ
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปหรี่ตามองซุ้มรับสมัครงานของ ‘หอนางโลมบุปผารื่นรมย์’
“อ้าว พ่อหนุ่ม เจ้ามาที่นี่เพื่อขายผู้คนใช่หรือไม่?”
เมื่อชายหนุ่มเคราแพะเห็นเฉียนเหมยยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน ดวงตาของเขาก็เป็นประกายแวววาวขึ้นมาด้วยความสนอกสนใจ
เฉียนเหมยมีผิวพรรณขาวเนียน หน้าอกใหญ่ ช่วงขาเรียวยาว ใบหน้างดงามจิ้มลิ้ม
สาวงามเช่นนี้ อย่าว่าแต่จะขึ้นเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์เลย ต่อให้เป็นหนึ่งใน 10 นางคณิกาผู้มีค่าตัวแพงที่สุดในนครเจาฮุย ก็ไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด
ดังนั้น ชายฉกรรจ์เคราแพะจึงเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคุณชายตกอับและกำลังจะนำสาวรับใช้ของตนเองมาขายทิ้ง
เพราะเขาเคยเห็นผู้คนเช่นนี้มามากมายแล้ว
ในอดีต เด็กหนุ่มอาจจะมาจากตระกูลร่ำรวย แต่ด้วยเภทภัยของสงครามที่เกิดขึ้น ครอบครัวของเขาต้องแตกสลาย เด็กหนุ่มต้องร่อนเร่พเนจรอพยพมาถึงนครเจาฮุย แต่ด้วยความที่เป็นคุณชาย ชีวิตคุ้นเคยกับความสะดวกสบายมาตลอด เมื่อเงินหมดแล้วจึงไม่มีปัญญาหาเงินได้อีก สุดท้ายก็ต้องนำทรัพย์สมบัติและทาสรับใช้ของตนเองมาขายทิ้งทีละคนสองคน โดยที่ทาสรับใช้เหล่านั้นก็ไม่ปฏิเสธการถูกขาย เพราะการติดสอยห้อยตามคุณชายที่ไร้อนาคตต่อไป อีกไม่นานพวกนางก็คงต้องอดตายเป็นแน่แท้
แน่นอนว่ายิ่งชายหนุ่มเคราแพะหันหน้ากลับมามองที่หลินเป่ยเฉินอีกครั้ง เขาก็ยิ่งมั่นใจในการคาดเดาของตนเอง
ให้ตายสิ
ต้องยอมรับเลยว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยาก
นอกจากหน้าตาดี เขายังมีสง่าราศีบางอย่างที่ไม่เหมือนคนทั่วไป
นับเป็นบุคลิกที่หาได้ยากยิ่งในนครเจาฮุย
ถ้าเขาสามารถซื้อเด็กหนุ่มคนนี้เข้าหอนางโลมได้สำเร็จ บรรดาขุนนางคนใหญ่คนโตที่มีรสนิยมชอบเด็กหนุ่ม ก็คงต้องกลายเป็นลูกค้าขาประจำแล้ว…
นั่นหมายความว่าเงินทองจำนวนมากมายมหาศาลกำลังจะไหลมาเทมา
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าของชายหนุ่มเคราแพะก็เริ่มแจ่มใสมากขึ้นเรื่อยๆ
“น้องชายไม่ต้องเขินอาย โลกนี้อยู่ยากลำบากเกินไป ทุกคนต่างก็มีช่วงตกต่ำของชีวิต ทว่าตราบใดที่มีจิตใจแข็งแกร่ง เมื่อนั้นชีวิตก็ยังมีความหวังเสมอ ก่อนที่เจ้าจะคิดทำสิ่งอื่นใดต่อไป อย่างน้อยก็สมควรเอาชีวิตรอดให้ได้ก่อนจริงไหม อะฮิอะฮิ…”
หลังจากนั้น เขาก็หันกลับมามองที่เฉียนเหมยและสอบถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ทราบเจ้าตั้งใจมาขายแม่นางท่านนี้ในราคาเท่าไหร่?”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองแผ่นป้ายที่อยู่บนซุ้มรับสมัครงานอีกครั้ง ใบหน้าของเขาเริ่มบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้น
ชายหนุ่มเคราแพะคิดว่าคุณชายหนุ่มคงทนความอับอายขายหน้าไม่ได้ จึงพูดด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ “ความจริงน้องชายไม่ต้องเขินอายหรอกนะ จะอย่างไรชีวิตของสตรีก็มีทางไปได้ไม่กี่ทางหรอก การที่น้องชายขายนางให้กับพวกเรา ก็ถือเป็นการช่วยชีวิตหญิงรับใช้ของเจ้าเสียด้วยซ้ำ หึหึ อีกอย่างนะ เมื่อมาทำงานให้หอนางโลมบุปผารื่นรมย์ของพวกข้า นางจะได้รับประทานอาหารอย่างอิ่มหนำ มีเสื้อผ้าอบอุ่นให้สวมใส่ แต่ถ้านางอยู่ข้างกายเจ้าต่อไป…”
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าผู้คนดังขึ้น
ปรากฏว่าเฉียนเหมยทนไม่ไหวแล้ว จึงยกมือตบหน้าชายหนุ่มเคราแพะโดยไม่รู้ตัว
หญิงสาวโกรธแค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ชายหนุ่มเคราแพะผู้นี้กล้าดีอย่างไรมาพูดจาดูถูกนายน้อยของนาง?
เหตุไฉนเขาถึงคิดว่านายน้อยจะดูแลนางไม่ได้?
นี่คือคำดูถูกที่เกินจะให้อภัย
ต่อให้เฉียนเหมยจะเป็นบุคคลที่อารมณ์ดีเสมอมา แต่นางก็ทนไม่ไหวอีกแล้ว
ชายหนุ่มเคราแพะเมื่อถูกตบจนหน้าหัน ก็ได้แต่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความตกตะลึง
หญิงรับใช้นางนี้กล้าดีอย่างไรถึงมาตบหน้าเขาต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก?
ชักจะอวดดีเกินไปแล้ว
ทันใดนั้น ชายหนุ่มเคราแพะเบิกตาโตด้วยความโกรธแค้น
ด้านหลังซุ้มรับสมัครงานของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ มีชายฉกรรจ์ร่างใหญ่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวตัวหนึ่ง เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างแช่มช้า สีหน้าบอกชัดถึงความไม่สบอารมณ์เป็นอย่างยิ่ง
“จับตัวนางแพศยานั่นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้”
ชายหนุ่มเคราแพะระเบิดเสียงคำรามออกคำสั่ง
เป็นเพียงผู้อพยพ คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่มาจากไหน?
ในเมื่อตบหน้ากันถึงขนาดนี้ ก็อย่าเอาค่าตัวอีกเลย
เขาจะทำให้นางได้รู้ซึ้งว่าการมีปัญหากับหอนางโลมบุปผารื่นรมย์จะต้องชดใช้อย่างไรบ้าง
“เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้ก็จับตัวมาให้ข้าเช่นกัน”
ชายหนุ่มเคราแพะออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่นอนเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้ยาวลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า แม้นี่จะย่างเข้าฤดูหนาวแล้ว แต่เขากลับสวมใส่เพียงเสื้อกั๊กตัวหนึ่งและในมือก็ยังถือพัดจีบคอยโบกสะบัดเป็นระยะ ราวกับว่าอากาศรอบกายร้อนอบอ้าวมากเกินไปก็ไม่ปาน
และแววตาของเขานั้นเล่า ก็ไม่ต่างไปจากแววตาของหมาป่าที่กำลังคัดเลือกเหยื่อของตนเอง ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่มองสลับกันไปมาระหว่างหลินเป่ยเฉินกับเฉียนเหมย โดยเฉพาะยามที่จ้องมองไปยังเฉียนเหมย ชายฉกรรจ์ผู้นี้จะมีแววตาหยาบช้าน่ารังเกียจเป็นพิเศษ
“เป็นเพียงผู้อพยพกลับไม่รู้จักฟ้าต่ำแผ่นดินสูง…” ชายฉกรรจ์ยกมือโบกสะบัดและพูดว่า “พวกเจ้าได้ยินคำสั่งของเถ้าแก่หูแล้ว ยังไม่รีบจับตัวพวกมันอีก”
ปรากฏชายฉกรรจ์ชุดดำสี่คนวิ่งออกมา
บรรดาผู้คนที่ประจำการอยู่บริเวณซุ้มรับสมัครงานข้างเคียง ต่างก็หันมารับชมเหตุการณ์ด้วยความไม่อยากเชื่อ
หอนางโลมบุปผารื่นรมย์แห่งเขตพื้นที่เขตสามมีสถานะไม่ต่ำต้อย เบื้องหลังของพวกเขามีขุนนางใหญ่โตคอยสนับสนุน อย่าว่าแต่จะมีผู้อพยพกล้ามีเรื่องกับกลุ่มคนเหล่านี้ ต่อให้เป็นขุนนางทำงานอยู่ในเขตพื้นที่ที่สาม ก็ไม่มีใครกล้ามีเรื่องกับชายหนุ่มเคราแพะสักคนเดียว
การที่เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้มีเรื่องกับคนของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ จึงเท่ากับว่าชีวิตคงถึงคราวซวยไปอีกสามชาติแปดชาติ
แต่ในลมหายใจต่อมานั้นเอง…
เพี๊ยะ!
เพี๊ยะ!
เพี๊ยะ!
เพี๊ยะ!
เสียงตบหน้าดังขึ้นสี่ครั้งติดๆ กัน
ปรากฏว่าชายฉกรรจ์ชุดดำทั้งสี่คนที่พุ่งเข้ามาพยายามจับกุมตัวเฉียนเหมย ล้วนถูกนางตบกระเด็นกลับไปหมดสิ้น
“อะไรกันเนี่ย?”
ดวงตาของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่เป็นประกายระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น “มีวิทยายุทธ์ติดตัวด้วยหรือ ฮ่าฮ่า นับว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ประเสริฐมาก หากอยู่ในยามปกติ เจ้าคงมีราคาสูงลิ่ว คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้พวกเราจะได้มาพบของดีเข้าให้แล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า!”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข ก่อนจะสืบเท้าก้าวเดินออกมาข้างหน้า