ตอนที่ 630 นี่คือคำถามที่ดี
เฉียนเหมยหันกลับไปชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินและรอรับคำสั่ง
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “จัดการมันซะ อย่าให้ข้าต้องเหนื่อยแรง”
เฉียนเหมยยิ้มแย้มออกมาด้วยความตื่นเต้นทันที
ถึงนางจะไม่ได้ฝึกวิทยายุทธ์มาตั้งแต่เด็ก และไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์ในการต่อสู้สักเท่าไหร่ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้ ก็ด้วยการหลบซ่อนอยู่เบื้องหลังการคุ้มครองของหลินเป่ยเฉิน
แต่หลายเดือนที่ผ่านมานี้ เฉียนเหมยได้รับทรัพยากรสำหรับการฝึกวิชาไม่เคยขาด อีกทั้งยังรายล้อมด้วยยอดฝีมือระดับยอดปรมาจารย์จำนวนมาก บางครั้ง หลินเป่ยเฉินก็จะอนุญาตให้นางเข้าไปไล่ล่าฆ่าสัตว์ประหลาดในค่ายอาคมเวทมนตร์สำหรับการฝึกวิทยายุทธ์…
นั่นส่งผลให้ในขณะนี้เฉียนเหมยมีพลังอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับ 9 แล้ว
สิ่งเดียวที่หญิงสาวยังไม่มีก็คือประสบการณ์ต่อสู้ที่แท้จริง
และวันนี้โอกาสนั้นได้มาถึงแล้ว
เช้ง!
เฉียนเหมยชักกระบี่เงินออกมาจากข้างเอว กระบี่เล่มนี้เป็นหลินเป่ยเฉินจัดเตรียมไว้ให้นางเนิ่นนานมาแล้ว
คมกระบี่เป็นประกายระยิบระยับ
“เหอเหอเหอ คิดไม่ถึงว่ายังหยิบจับอาวุธเป็นเหมือนกันนะนี่”
เห็นดังนั้น ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ก็ยิงฟันยิ้มกว้างและยื่นมือออกมาหมายสัมผัสใบหน้าของเฉียนเหมย “ไหนให้พี่ชายผู้นี้ลองสัมผัสดูหน่อยซิว่า ใบหน้าของเจ้าจะนุ่มเนียนขนาดไหน”
เขาเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์ ปกติมีหญิงสาวมากมายยอมพลีกายถวายตัวให้ด้วยความเต็มใจ
“รนหาที่ตายนัก” เฉียนเหมยกลับส่งเสียงตวาดอย่างเย็นชา ก่อนจะจ้วงแทงกระบี่ในมือออกมาข้างหน้า
คมกระบี่สาดประกาย
โลหิตสาดกระจาย
“อ๊าก…”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ส่งเสียงอุทานด้วยความเจ็บปวดระหว่างกุมข้อมือของตนเองซวนเซถอยหลังกลับไป
เพียงกระบวนท่าเดียว เฉียนเหมยก็สามารถแทงข้อมือฝ่ายตรงข้ามได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้มือขวาของชายฉกรรจ์ร่างใหญ่มีเลือดไหลหยดลงมาติ๋งๆ
เขาระเปิดเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้น “นางแพศยา เจ้า…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
เฉียนเหมยก็โจมตีด้วยกระบวนท่าที่สอง
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ไม่กล้าประมาทอีกต่อไป รีบโคจรพลังลมปราณและชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวพร้อมกับพูดว่า “ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะอวดดีได้สักแค่ไหน…”
เคล้ง! เคล้ง!
เกิดเสียงกระบี่ปะทะกันดังขึ้นหนาแน่น
ไม่หยุดยั้ง
ประกายไฟสาดกระจายในอากาศ
เมื่อชายเคราแพะเห็นการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ก็ได้แต่เบิกตาโตด้วยความเหลือเชื่อ
คิดไม่ถึงเลยว่าหญิงรับใช้ของเด็กหนุ่มหน้าขาวจะมีฝีมือการต่อสู้ไม่ต่ำต้อย
สามารถต่อสู้กับอสรพิษสองหัวเจิ้งจาได้ถึงขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่หญิงรับใช้ธรรมดาอีกแล้ว
หลังจากนั้น ชายเคราแพะก็ยิ้มแย้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
ประเสริฐ
เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
ยิ่งมีฝีมือดีมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดีมากเท่านั้น
หากสามารถจับตัวไปฝึกฝนในหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ของพวกเขาได้สำเร็จ รับรองว่าหญิงสาวผู้นี้จะต้องเป็นนางคณิการาคาแพงแน่นอน
ดูจากอากัปกิริยาของนาง ขายเคราแพะสังเกตเห็นได้ไม่ยากกว่านางมีความห่วงใยต่อเด็กหนุ่มหน้าขาวไม่ใช่น้อย เขาอาจจะจับตัวเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นตัวประกัน และบีบบังคับให้นางไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอได้อีก
“ผู้คุ้มกันเจิ้ง โปรดระมัดระวัง อย่าทำให้นางบาดเจ็บ…”
ขายเคราแพะตะโกนเสียงดัง
แต่ในความเป็นจริงนั้น อสรพิษสองหัวเจิ้งจากำลังประสบปัญหาใหญ่
เห็นได้ชัดว่าเขามีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ กระบี่ในมือได้ถูกตวัดทุ่มเทออกไปด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีในร่างกาย แต่ถึงกระนั้น ชายร่างใหญ่กลับไม่สามารถเอาชนะหญิงรับใช้ผู้นี้ได้สักที
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าฝีมือกระบี่ของหญิงรับใช้ต่ำต้อยมากกว่าเขา แม้แต่ระดับพลังลมปราณในร่างกาย ก็ไม่สามารถเทียบเคียงกันได้ด้วยซ้ำ
แล้วท่อนแขนที่บอบบางกระไรปานนั้น สามารถจู่โจมกระบี่ออกมาแข็งแกร่งและคล่องแคล่วถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
ไม่ได้การแล้ว
บัดนี้ เจิ้งจารู้สึกชาดิกไปครึ่งหนึ่งของร่างกาย
ทว่า ภายใต้การคุกคามของเฉียนเหมยอย่างต่อเนื่อง เขาไม่มีโอกาสเปิดปากพูดเลยสักคำเดียว
วูบ!
คมกระบี่ทะลุเนื้อ
แล้วกระบี่ก็หลุดร่วงจากมือ
“โอ๊ย…”
อสรพิษสองหัวเจิ้งจาส่งเสียงร้องและล้มคว่ำลงไปกับพื้นดิน
แขนซ้ายของเขาที่ถือกระบี่ถูกตัดขาดเสมอข้อศอก
แขนขาดกระเด็น
ได้ยินเสียงอุทานดังขึ้นรอบตัว
“แย่แล้วสิ นี่ข้าลงมือหนักหน่วงเกินไปหรือ…”
นี่คือการต่อสู้อย่างเป็นทางการครั้งแรกของเฉียนเหมย นางจึงไม่คิดเลยว่าวิชากระบี่ที่หลินเป่ยเฉินสั่งสอนจะมีอานุภาพการโจมตีรุนแรงถึงเพียงนี้ และหญิงสาวย่อมคิดไม่ถึงเลยว่าชายฉกรรจ์ร่างกายใหญ่โตท่าทางน่าเกรงขามอย่างอสรพิษสองหัวกลับอ่อนแอถึงเพียงนี้ เดิมทีเฉียนเหมยตั้งใจเพียงสะกิดกระบี่ให้หลุดออกไปจากมือของเขาทั้งนั้น แต่การกลับกลายเป็นว่านางตัดแขนอีกฝ่ายทิ้งไปเสียแล้ว ด้วยเหตุนี้ เฉียนเหมยจึงอดรู้สึกร้อนใจขึ้นมาไม่ได้
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ให้ตายเถิด…”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน”
เสียงอุทานด้วยความตกตะลึงดังขึ้นรอบบริเวณ
ใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มตื่นเต้นของชายเคราแพะกลับกลายเป็นแข็งค้างไปแล้ว
แย่แล้วสิ
เจิ้งจาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหญิงรับใช้นางนี้หรือนี่?
“บัดซบ เจ้าถือดีอย่างไรมาทำร้ายคนของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เห็นทีคงไม่มีใครสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้อีก…”
ชายเคราแพะคำรามออกมาด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น
ยามปกติ ชายเคราแพะมักเป็นผู้ที่ระมัดระวังสีหน้าท่าทางและคำพูดของตนเองเสมอ แต่เวลานี้ เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหญิงรับใช้ที่ดูไม่มีพิษสงใดๆ เบื้องหน้าคนนี้ กลับกลายเป็นยอดฝีมือผู้หนึ่งซึ่งสร้างความอับอายขายหน้า ให้แก่คนของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ต่อหน้าผู้คนจำนวนมาก
เพราะฉะนั้น จะหาว่าเขาทำรุนแรงเกินไปไม่ได้แล้ว
มีเหตุผลที่ชายเคราแพะไม่นึกกลัวเกรงว่าเด็กหนุ่มหน้าขาวอาจเป็นผู้มีสถานะสูงส่ง
เพราะบรรดาผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งซึ่งมาถึงนครเจาฮุยเมื่อวันก่อน ผู้ใดมีสถานะสูงส่งและฐานะร่ำรวยต่างก็ย้ายเข้าไปอยู่ในเขตพื้นที่เขตสามตั้งแต่เมื่อวานนี้หมดสิ้นแล้ว
เขตพื้นที่ที่สองมีสภาพความเป็นอยู่แร้นแค้นแสนสาหัสเช่นนี้ เหล่าผู้ที่มีฐานะร่ำรวยและบรรดาคนใหญ่คนโตจะสามารถทนอยู่ได้อย่างไร?
ดังนั้น กลุ่มคนที่หลงเหลืออยู่ในเขตพื้นที่นี้ ล้วนแล้วแต่เป็นคนยากจนที่มองหาการจ้างงานทั้งสิ้น
และด้วยความที่ชายเคราแพะมีชีวิตสุขสบายอยู่ในเขตพื้นที่เขตสามมากเกินไป เขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นถึงอันตรายที่คืบคลานเข้ามา
แทนที่จะทำให้สถานการณ์คลี่คลาย ชายเคราแพะกลับระเบิดเสียงคำรามใส่พวกของหลินเป่ยเฉินกับเฉียนเหมยด้วยความอาฆาตแค้น
“เฮ้อ หนวกหูเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดด้วยความรำคาญใจ “ฆ่ามันซะ”
ใบหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเฉียนเหมยปรากฏความตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย แต่แล้วในลมหายใจต่อมา ดวงตาของนางก็เต็มเปี่ยมไปด้วยประกายอำมหิตและจิตสังหาร หญิงสาวขยับร่างกายโดยไม่ลังเล กระบี่ในมือทิ่มแทงออกมาข้างหน้า
“เอื๊อก…”
ชายเคราแพะเบิกตาโต ยกสองมือขึ้นกุมลำคอโดยไม่รู้ตัว
โลหิตสีแดงสดไหลทะลักออกมาจากง่ามนิ้วมือของเขา
“เจ้า… ข้า… เจ้า… โฮะโฮะ…”
เขามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ จากนั้นจึงหันมามองหน้าเฉียนเหมยอย่างไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ว่าตนเองจะต้องมาจบชีวิตลงด้วยน้ำมือของหญิงสาวคนนี้
ร่างของชายเคราแพะหงายหลังล้มลงไป
ตุบ!
นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นดิน ไร้ลมหายใจ
อสรพิษสองหัวเจิ้งจาที่อยู่ด้านข้างเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ ใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อเย็นเยียบ แม้แต่เสียงร้องด้วยความตกใจก็ไม่สามารถผ่านพ้นออกมาจากลำคอได้อีก วิญญาณของเขาแทบหลุดลอยออกจากร่างด้วยความตกตะลึงสุดขีด
ในที่สุด เจิ้งจาก็รู้ตัวแล้วว่าพวกของตนเองไม่ควรมีเรื่องกับเด็กหนุ่มและหญิงรับใช้คู่นี้เลยจริงๆ
“จะ… เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ถามพร้อมกับถอยกายหนีไปด้านหลัง
สีหน้าปรากฏความหวาดกลัวอย่างชัดเจน
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”
“ประเสริฐ นี่คือคำถามที่ดี”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเสยผมของตนเองอย่างวางมาด
เยี่ยมมาก
ในที่สุด ก็มีคนถามคำถามนี้ออกมาสักที
เขารอให้มีคนถามคำถามนี้มานานแล้ว
“พวกเจ้าจงฟังให้ดี เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่เจ้ากำลังพบเจออยู่ผู้นี้มีนามว่า… หลินเป่ยเฉิน”
หลังจากหลินเป่ยเฉินหยุดโพสต์ท่าเก๊กหล่อ อสรพิษสองหัวเจิ้งจาก็หันกลับไปมองหน้าพรรคพวกของตนเอง ทุกคนล้วนมีสีหน้าตกตะลึง เศร้าใจ เคารพนับถือและหวาดหวั่น
แต่ทว่า…
“หลินเป่ยเฉิน?”
เจิ้งจามีสีหน้าว่างเปล่าระหว่างกล่าวว่า “ข้าไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน ตกลงแล้วเจ้าเป็นใคร?”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
หมายความว่าอย่างไรกัน?
ไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาเลยอย่างนั้นหรือ?
“ลองนึกดูให้ดี”
หลินเป่ยเฉินพยายามรักษาท่าทีสงบเยือกเย็น “นับดูในโลกนี้ มีผู้คนไม่มากนักที่เจ้าไม่สมควรตอแยด้วย ข้ามั่นใจว่าถ้าเจ้าลองนึกดูอีกสักครั้ง ก็จะต้องนึกออกอย่างแน่นอนว่าข้าเป็นใคร”
“จริงหรือ?”
เจิ้งจาขมวดคิ้วด้วยความพิศวง
แต่ไม่ว่านึกทบทวนอย่างไร ชายร่างใหญ่ก็นึกไม่ออกสักทีว่าเด็กหนุ่มเจ้าของชื่อนี้ เป็นใครมาจากไหนกันแน่
หลินเป่ยเฉินแทบจะคลุ้มคลั่งแล้ว
ให้ตายสิ
สีหน้ามึนงงแบบนั้นมันหมายความว่าอย่างไรกัน?
“อะแฮ่ม… วิหารเมืองหยุนเมิ่ง”
เด็กหนุ่มพยายามช่วยย้ำเตือนความจำ
เจิ้งจามองตอบกลับมาอย่างไม่เข้าใจ
“ผู้ชนะจากการตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้า”
เจิ้งจากะพริบตาปริบๆ
“ผู้ชนะการแข่งขันจตุรมิตรสามัคคี”
เจิ้งจายังคงมีสีหน้าฉงนสงสัยอยู่เช่นเดิม
“เหลวไหล…”
เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามยังมีสีหน้านึกไม่ออก เขาก็ฉุนเฉียวขึ้นมาในทันใด “พูดขนาดนี้ยังนึกไม่ออกแสดงว่าไม่รู้จักข้าจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มีโทษสมควรตายแล้ว… เฉียนเหมย อยากทำอะไรกับมันก็ทำ ยิ่งฆ่าทิ้งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น”
เฉียนเหมยตวัดกระบี่อย่างไม่ลังเล
ฟู่!
เลือดสาดกระจายในอากาศ
เจิ้งจาจบชีวิตลงไปด้วยใบหน้าที่ยังคงมีความสงสัยไม่เสื่อมคลาย
แม้แต่ตอนที่ชายร่างใหญ่วิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง เขาก็ได้แต่ถามตัวเองว่า…
หลินเป่ยเฉินเป็นใครมาจากไหนกันนะ?
บัดนี้ เหล่าผู้คนที่ประจำการอยู่ตามซุ้มรับสมัครงานโดยรอบ ต่างก็ตะลึงงันกันอย่างถ้วนหน้า
มีคนตายอย่างนั้นหรือ?
ซ้ำยังเป็นคนจากหอนางโลมบุปผารื่นรมย์อีกด้วย
จบสิ้นแล้ว จบสิ้นแล้ว
ชะตากรรมของผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งจบสิ้นแล้ว
เป็นที่ทราบกันดีว่าหอนางโลมแห่งนี้มีขุนนางใหญ่โตคอยสนับสนุน
คงใช้เวลาอย่างมากเพียงก้านธูปเดียวเท่านั้น การล่าล้างแค้นคงจะต้องเกิดขึ้นในค่ายที่พักของผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่งอย่างแน่นอน และโลหิตก็จะไหลเนืองนองไม่ต่างจากแม่น้ำบนผืนดิน
ระหว่างที่ผู้คนขบคิดถึงตรงนี้ พวกเขาก็เห็นผู้คุ้มกันชุดดำของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ใช้วิชาตัวเบากระโดดปราดตรงไปยังประตูเมืองของเขตพื้นที่เขตสาม เพื่อไปขอกำลังเสริมแล้ว