ตอนที่ 631 หรือว่าเขาจะเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ
ทันใดนั้น บรรดาผู้คนจากพื้นที่เขตสามที่มามองหาคนงานในพื้นที่เขตสอง ต่างก็จ้องมองหลินเป่ยเฉินและเฉียนเหมยผู้เป็นหญิงรับใช้ด้วยแววตาสงสารและเวทนา ราวกับว่าพวกเขากำลังจ้องมองบุคคลที่ตายแล้วคู่หนึ่ง
เพราะมีแต่คนโง่เขลาเท่านั้นถึงจะกล้ามีเรื่องกับผู้อื่น ทั้งๆ ที่ตนเองเพิ่งมาถึงนครเจาฮุยได้ไม่นาน
คนโง่เขลาเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนมาจากตระกูลใหญ่โต หรือไม่ก็เคยมีอำนาจล้นฟ้าในเมืองของตนเอง หลังอพยพมาถึงนครเจาฮุย จึงยังปรับตัวกับชีวิตใหม่ไม่ได้ เมื่อเกิดสถานการณ์ให้มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับผู้อื่น คนโง่เขลาเหล่านั้นจึงไม่เกรงกลัวการเผชิญหน้าและนั่นก็มักจะนำไปสู่ผลลัพธ์อันน่าเศร้าเสมอ
เพราะบุคคลที่ไปมีเรื่องด้วย ต่างก็เป็นคนใหญ่คนโตในนครเจาฮุยที่ไม่ควรตอแยด้วยทั้งสิ้น
คนโง่เขลาเหล่านั้นจึงต้องกลายเป็นซากศพนอนเน่าเปื่อยอยู่ในท่อระบายน้ำในอีกไม่กี่วันต่อมา
และเด็กหนุ่มเด็กสาวผู้เป็นเจ้านายและบ่าวคู่นี้ ก็คงมีชะตากรรมไม่ต่างกัน
หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้ถึงแววตาเวทนาจากผู้คนรอบกาย
เด็กหนุ่มจึงยิ่งรู้สึกฉุนเฉียวมากขึ้น
ดูเหมือนทุกคนจะไม่รู้จักเขาจริงๆ
ต่อให้เขาตะโกนชื่อของตัวเองออกมา หรือพยายามเอ่ยถึงความสำเร็จตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ก็ไม่มีใครแสดงสีหน้าว่าจำเขาได้สักคน
“ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อหลินเป่ยเฉินบ้างเลยหรือ?”
เด็กหนุ่มอดถามออกไปไม่ได้
บางคนหัวเราะเยาะเป็นคำตอบ
บางคนก็นิ่งเงียบ
“เจ้าล้างคอรอรับความตายให้ดีเถิด อีกไม่นาน เดี๋ยวคนจากหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ก็คงกลับมาแก้แค้นแล้ว”
ผู้คนจากสำนักคุ้มกันภัยกระทิงเหินหาวเป็นชายหนุ่มอายุประมาณ 25 – 26 ปีผู้หนึ่ง เขาส่งเสียงพูดออกมาพร้อมกับยิ้มเย้ยหยัน
“เฮอะ คิดว่าข้าจะกลัวหอนางโลมต่ำต้อยเช่นนี้หรือไร?”
หลินเป่ยเฉินคำรามกลับไปด้วยความโกรธแค้น “เชิญเบิกตาสุนัขของท่านรับชมดูให้ดี เดี๋ยวข้าจะสั่งสอนบทเรียนให้พวกมันได้รู้ซึ้งว่าไม่ควรมีปัญหากับหลินเป่ยเฉินเป็นอันขาด… ว่าแต่ว่า ท่านไม่เคยได้ยินชื่อของข้าจริงๆ หรือ? เป็นไปได้อย่างไรที่ท่านจะไม่รู้สึกคุ้นเคยบ้างเลยสักนิด?”
บังเกิดเสียงหัวเราะครืนดังขึ้นรอบตัว
เสียงหัวเราะนี้เป็นคำตอบได้เป็นอย่างดี
“ประเสริฐ”
หลินเป่ยเฉินตวาดลั่น “นึกว่านครเจาฮุยจะสูงส่งอันใด ที่แท้ก็เป็นเพียงเมืองบ้านนอกแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง”
เมื่อทุกคนได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่ม พวกเขาก็ไม่ทราบว่าตนเองควรจะหัวเราะหรือว่าร้องไห้ดี
เพราะนี่คือครั้งแรกที่ทุกคนได้ยินผู้อพยพเรียกขานนครเจาฮุยว่าเป็นเพียง ‘เมืองบ้านนอกแห่งหนึ่ง’
ต้องไม่ลืมว่านครเจาฮุยคือเมืองหลวงของมณฑลเฟิงอวี่
เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดและมีความเจริญมากที่สุดในมณฑลนี้แล้ว
ผู้คนส่วนใหญ่ที่มารับสมัครคนงานล้วนอาศัยอยู่ในพื้นที่เขตสาม ถึงพวกเขาไม่ได้ร่ำรวยเป็นเศรษฐี แต่ก็เคยมีโอกาสรับใช้ผู้คนหลากหลายสถานะ ทำให้ได้เปิดหูเปิดตาและเห็นโลกกว้างไม่ใช่น้อย ทว่าบัดนี้ กลับมีเด็กหนุ่มจากเมืองชายทะเลแห่งหนึ่งมาเรียกขานเมืองของพวกเขาว่าเป็น ‘เมืองบ้านนอก’ เสียแล้ว
“สงสัยเด็กคนนี้สมองคงเลอะเลือนเป็นแน่แท้”
“น่าจะใช่แน่นอน”
“คนปกติที่ไหนจะพูดจาเช่นนี้ออกมาได้?”
“ที่แท้ก็เป็นพวกสมองเสื่อมนี่เอง มิน่าเล่า…”
เหล่าผู้คนที่รวมตัวกันอยู่โดยรอบส่งเสียงกระซิบกระซาบและรู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินน่าจะมีปัญหาทางสมองจริงๆ มิฉะนั้นแล้ว คนปกติคงไม่กล้าพูดจาหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวเช่นนี้เด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินรู้สึกดีใจขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงซุบซิบนินทาที่ดังขึ้นรอบตัว
รู้แล้วใช่ไหมว่าเขาสมองผิดปกติ แต่คงไม่รู้สินะว่าหลินเป่ยเฉินคนนี้น่ากลัวขนาดไหน?
นี่แหละที่มันน่าประหลาดนัก
นับดูในแผ่นดินนี้ จะมีเด็กหนุ่มสมองเสื่อมสักกี่คนที่มีสถานะเป็นร่างทรงเทพเจ้า เป็นผู้ที่ถูกเลือกของเทพีกระบี่ สามารถสังหารแม่ทัพชาวทะเลได้หลายตัว แต่กลับไม่มีผู้คนในนครเจาฮุยรู้จักเขาเลยสักคนเดียว?
มันเป็นไปได้อย่างไรกัน?
หรือทางจักรวรรดิกลัวว่าเขาจะโด่งดังมากเกินไป ก็เลยหาทางปิดปังชื่อเสียงความสำเร็จของหลินเป่ยเฉินคนนี้ให้ได้ทุกช่องทาง?
เอาไว้ครั้งหน้าเจอหวังซินอวี่เมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินตั้งใจว่าจะต้องสอบถามเรื่องนี้จากนางให้ได้
มันอาจจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในนครเจาฮุยขณะนี้ก็เป็นได้เช่นกัน
ระหว่างที่กำลังคิดถึงประเด็นนี้ หลินเป่ยเฉินก็ได้ยินเสียงลูกธนูพุ่งแหวกอากาศดัง ‘ฟ้าว’ บนท้องฟ้าห่างไกล
ปรากฏว่ามันเป็นลูกธนูติดดอกไม้ไฟที่ระเบิดประกายสว่างไสวบนท้องฟ้าอยู่เนิ่นนานหลายลมหายใจ
“โอ้โห นายท่านดูสิเจ้าคะ ช่างสวยงามเหลือเกิน”
เฉียนเหมยเบิกตาโตและร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
หลินเป่ยเฉินยิ้มออกมาอย่างมีความสุข พูดว่า “เจ้าชอบหรือ? เดี๋ยวข้าจะสั่งให้พวกเขายิงดอกไม้ไฟให้เจ้าดูเอง… แต่ดอกไม้ไฟรับชมตอนกลางคืน ย่อมมีความสวยงามมากกว่านี้หลายเท่า”
บรรดาผู้คนที่อยู่รอบตัวเมื่อได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดกลอกตาไม่ได้แล้ว
สวยงามอย่างนั้นหรือ?
ถ้าอยากดูดอกไม้ไฟนัก ก็จงรีบดูให้พอใจเถิด
ไม่กี่ลมหายใจต่อจากนั้น
เส้นขอบฟ้าเริ่มปรากฏฝุ่นตลบขึ้นมาเป็นพายุ
จากนั้นจึงปรากฏขบวนของชายชุดดำดาหน้าเข้ามาดั่งเกลียวคลื่น
พวกเขามีจำนวนหลายสิบชีวิต เดินทางด้วยการขี่หลังอสูรลมกรด ทุกคนสวมใส่ชุดเกราะสีดำ ร่างกายกำยำ แววตาโหดเหี้ยมอำมหิต เครื่องแบบที่พวกเขาสวมใส่นั้นไม่ต่างไปจากบรรดาผู้คุ้มกันของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ ระหว่างทางที่ขี่อสูรลมกรดมายังบริเวณที่พวกของหลินเป่ยเฉินยืนอยู่ ชายฉกรรจ์ผู้ที่มีท่าทางเป็นหัวหน้าใหญ่ก็กวาดสายตามองกลุ่มผู้อพยพกับชาวเมือง กระบี่ชักออกจากฝักมาไล่ขี้หน้าพวกเขาทีละคน…
“ตัวร้ายกาจอยู่ที่ใด?”
“ส่งตัวฆาตกรของพวกเจ้าออกมาเดี๋ยวนี้…”
“ชาวเมืองหยุนเมิ่ง พวกเจ้าไม่รู้เสียแล้วว่าความผิดของพวกเจ้านั้นมันรุนแรงมากแค่ไหน”
หลินเป่ยเฉินได้ยินเสียงคำรามข่มขู่ดังลอยมาตามสายลม
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ บรรดาผู้จ้างงานก็มีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปทันที พวกเขารีบเก็บข้าวของและถอยหนีไปอยู่ในจุดที่ห่างไกล เพราะว่ากลัวว่าถ้าอยู่ใกล้หลินเป่ยเฉินจะถูกเหมารวมหาว่าเป็นพวกเดียวกัน และอาจจะเกิดปัญหาขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ…
ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งก็สังเกตเห็นถึงความเคลื่อนไหวครั้งนี้เช่นกัน
แต่พวกเขากลับอยู่นิ่งเฉย ไม่มีใครออกมาจากค่ายที่พักเลยสักคนเดียว
ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินกับเฉียนเหมยก็ถูกชายฉกรรจ์ที่ขี่อสูรลมกรดเหล่านั้นล้อมรอบทุกด้าน
“เป็นตัวบัดซบผู้นี้แหละขอรับ”
ชายฉกรรจ์ชุดดำที่หลบหนีไปขอกำลังเสริม ยกมือชี้มาที่หลินเป่ยเฉินพลางตะโกนเสียงดังสนั่น
ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มชายฉกรรจ์บนหลังอสูรลมกรดเป็นชายหนุ่มร่างอ้วนวัย 30 ปี ผิวขาวเต่งตึงบ่งบอกถึงความเจ้าสำอาง และในเวลาเดียวกันนี้ ชายหนุ่มที่ขี่อสูรลมกรดตัวข้างๆ ก็ดึงร่มออกมากางกันแดดให้แก่ชายร่างอ้วนแล้ว
“จัดการมันซะ”
ชายร่างอ้วนควักผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผาก จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตารำคาญใจ
ปรากฏชายฉกรรจ์สี่คนที่มีระดับพลังใกล้เคียงอสรพิษสองหัวเจิ้งจา ชักกระบี่ออกมาถาโถมเข้าใส่เด็กหนุ่ม
“ให้ตายสิ”
หลินเป่ยเฉินบ่นด้วยความเสียดาย “นึกว่าจะมีคนใหญ่คนโตออกมาแก้ไขปัญหา ที่แท้กับเป็นพวกปลาซิวปลาสร้อยอีกแล้ว เสียเวลาของข้าซะเหลือเกิน… เฉียนเหมย จัดการพวกมันซะ”
เด็กหนุ่มจัดการเชื่อมสัญญาณไวไฟเข้าสู่ร่างกายของหญิงรับใช้อย่างรวดเร็ว
“อ๊า…”
เฉียนเหมยรู้สึกได้ถึงมวลพลังงานที่ไหลรินเข้าสู่ร่างกาย และนางก็อดส่งเสียงครางออกมาเล็กน้อยไม่ได้
เคล้ง!
แล้วกระบี่ก็ถูกชักออกมาจากฝักอีกครั้ง
คมกระบี่สาดประกายวูบวาบ
ชายฉกรรจ์ที่วิ่งเข้ามาทั้งสี่คนล้มลงไปในไม่กี่ลมหายใจต่อมา
“เมื่ออยู่ต่อหน้าคุณชายหลิน เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้วางท่าใหญ่โตเช่นนี้?”
เฉียนเหมยถลึงตาจ้องมองชายร่างอ้วนที่อยู่เบื้องหน้า ดวงตาคู่งามของนางเบิกโตเป็นประกายวาวโรจน์ หลังจากนั้น หญิงรับใช้ก็ตบมือลงไปที่ลำตัวของอสูรลมกรด ทำให้มันยกขาหน้าขึ้นสูงด้วยความตื่นตระหนกตกใจ
แล้วชายร่างอ้วนที่นั่งอยู่บนแผ่นหลังของมันก็หล่นโครมลงมา
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าดังขึ้น
ดูเหมือนชายร่างอ้วนจะไม่รู้ตัวเลยว่าเกิดอะไรขึ้น เขามีสีหน้ามึนงง พวงแก้มสั่นไหวปรากฏรอยนิ้วมือขึ้นมาห้านิ้ว ริมฝีปากมีเลือดไหลซิบ และมีฟันหลุดออกมาสี่ซี่
บรรดาชายฉกรรจ์ผู้ติดตามหลายสิบคนต่างก็ตกอยู่ในห้วงแห่งความตะลึง แต่เมื่อพวกเขาตั้งสติได้ หนึ่งในนั้นจำนวนหกคนก็ระเบิดเสียงคำรามออกจากลำคอ และพลิ้วกายลงจากหลังอสูรลมกรด พุ่งเข้ามาหาเฉียนเหมยด้วยความรวดเร็วน่าหวาดกลัว
นับว่าเฉียนเหมยมีไหวพริบดีทีเดียว
ครั้งนี้ไม่มีใครถูกฆ่าตายอีกแล้ว
เพราะนายน้อยออกคำสั่งว่าให้ ‘จัดการ’
ไม่ได้บอกให้ ‘ฆ่า’
เมื่อมีพลังเสริมไหลรินเข้าสู่ร่างกายไม่หยุดยั้ง เฉียนเหมยพลันเคลื่อนไหวร่างกายด้วยความตื่นเต้น นางพุ่งเข้าไปหากลุ่มชายฉกรรจ์อย่างไม่กลัวเกรง ทั้งต่อยทั้งเตะด้วยความคล่องแคล่วปราดเปรียว
ไม่นานหลังจากนั้น เสียงร้องโหยหวนดั่งวิญญาณคร่ำครวญก็ดังกังวานในอากาศ
เพียงพริบตาเดียว ผู้คุ้มกันจากหอนางโลมบุปผารื่นรมย์จำนวนหลายสิบคน ซึ่งมีเจตนามาแก้แค้นหลินเป่ยเฉิน ต่างก็ต้องลงไปนอนหมอบอยู่แทบเท้าของเฉียนเหมยหมดสิ้น
เหล่าผู้จ้างงานที่คิดว่าชะตากรรมของหลินเป่ยเฉินและสาวรับใช้ประจำตัวคงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ ล้วนพากันเบิกตาโตมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าด้วยความไม่อยากเชื่อ
เมื่อทุกคนจ้องมองไปที่เฉียนเหมย ยังจะมีใครกล้าใช้สายตาเหยียดหยามดูถูกดูแคลนนางอีก?
หญิงรับใช้นางนี้แทบไม่ต่างไปจากอสูรกายในคราบมนุษย์
ซึ่งถือว่า… น่าจะเป็นเรื่องดีกระมัง?
ชายฉกรรจ์ชุดดำเหล่านี้มีฝีมือไม่ต่ำต้อย
หนึ่งในนั้นถึงกับมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย
อีกเพียงก้าวเดียวก็จะสามารถขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ
แต่ผลกลับกลายเป็นว่าเมื่อเผชิญหน้ากับหญิงรับใช้ของเด็กหนุ่มหน้าขาว ผู้คุมกันชุดดำหลายคนยังไม่มีเวลาชักกระบี่ออกจากฝักด้วยซ้ำ พวกเขาก็ถูกนางตบหน้าหัน ล้มลงไปสลบเหมือดบนพื้นดินเสียแล้ว…
แม้แต่มารดายังไม่เคยตบตีบุตรชายหนักหน่วงถึงขนาดนี้
แล้วหญิงรับใช้ผู้นี้ต้องมือหนักขนาดไหน?
“นายท่านเจ้าคะ ผู้คนเหล่านี้อ่อนแอมากเกินไป พวกเขาสู้ข้าน้อยไม่ได้เลย ช่างน่าเบื่อเหลือเกิน”
หลังจากจัดการคู่ต่อสู้ทุกคนเสร็จสิ้นแล้ว เฉียนเหมยก็ปัดฝุ่นออกไปจากฝ่ามือของตนเอง สีหน้าบอกชัดถึงความไม่สบอารมณ์
“หืม เฉียนเหมย ใช้เวลาเพียงไม่นาน ฝีมือของเจ้าก็พัฒนาขึ้นถึงระดับนี้เชียวหรือ ดูเหมือนที่ผ่านมาเจ้าจะปิดบังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้ตลอดเลยสินะ ต้องแบบนี้สิถึงจะสมเป็นหญิงรับใช้ประจำตัวของข้า”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นบีบแก้มของเฉียนเหมยด้วยความหมั่นเขี้ยว
ดังนั้น ใบหน้าที่งดงามจิ้มลิ้มของหญิงรับใช้จึงบู้บี้ไม่ต่างไปจากใบหน้าของปลาทอง ริมฝีปากอวบอิ่มของนางยื่นออกมาข้างหน้า ดูน่ารักและเย้ายวนใจในเวลาเดียวกัน
กลุ่มคนที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ทำปากจู๋เหมือนเฉียนเหมยโดยไม่รู้ตัว
สิ่งที่กำลังพบเห็นอยู่นี้ยิ่งทำให้ทุกคนตกตะลึงในตัวตนของเฉียนเหมยมากกว่าเดิม
เมื่อสักครู่นี้ นางยังต่อสู้อย่างดุเดือดราวกับเป็นสัตว์ร้ายกระหายเลือด
แต่มาบัดนี้ นางกลับทำตัวออดอ้อนเด็กหนุ่มหน้าขาวแล้ว
มิหนำซ้ำ ดูนางจะชอบใจที่ถูกเขาบีบบี้ใบหน้าอีกด้วย
ช่างไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
เพราะเหตุใดหญิงรับใช้ผู้นี้ถึงต้องทำเช่นนั้นด้วย?
เด็กหนุ่มหน้าขาวผู้นี้ต้องโชคดีขนาดไหนกันนะ ถึงได้มีหญิงรับใช้ประจำกายเป็นผู้ที่มีหน้าตางดงามและมีฝีมือการต่อสู้แข็งแกร่งอย่างนี้?
หรือว่าเขาจะเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ?