บทที่ 65 การเปลี่ยนแปลงกะทันหัน
หลินเป่ยเฉินได้แต่ล่าถอยต่อเนื่อง
ทว่า เขาก็ยังปกป้องคุ้มครองเยว่หงเซียงที่หลบอยู่ด้านหลังตลอดเวลา
ณ อีกฝั่งหนึ่ง เซินเฟยเริ่มกลับมาต่อสู้กับหลิงเฉินอีกครั้ง
การต่อสู้ระหว่างสองอัจฉริยะดุเดือดมากยิ่งขึ้น
ในตอนนี้ มีเงาร่างหลายสิบสายปรากฏตัวขึ้น
ที่แท้ก็เป็นพวกหลี่เทา หนึ่งในศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่หลวง เขานำลูกน้องมาถึงด้วยสภาพรีบร้อนยิ่งนัก
“เถาว่านเฉิง เป็นเจ้าใช่ไหมที่ร่วมมือกับคนของสำนักอิสระ ลอบเล่นงานพี่หลิงและทำร้ายเพื่อนร่วมสถาบันของเรา?”
หลี่เทาส่งเสียงคำรามมาแต่ไกล
เขาเป็นไม้เบื่อไม้เมากับเถาว่านเฉิงมาช้านาน ในขณะนี้ จึงถือโอกาสคิดบัญชีแค้นไปในตัว
เมื่อเห็นว่าพวกของหลี่เทารีบรุดมาถึงที่เกิดเหตุ สีหน้าของเถาว่านเฉิงก็เปลี่ยนเป็นร้อนใจมากยิ่งขึ้น เด็กหนุ่มออกคำสั่งแก่บริวารว่า “เผิงอี้หมิง นำลูกน้องเจ้าออกไปสกัดพวกหลี่เทาเอาไว้ให้ได้…”
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือ พวกเขาต้องเอาชนะหลิงเฉินให้เร็วที่สุดที่ทำได้ จากนั้นจึงค่อยจัดการหลินเป่ยเฉินและทำลายเครื่องรางประจำตัวของทั้งสองคนทิ้งไปเสีย เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้หลี่เทารีบหนีไปฟ้องผู้ดูแลการแข่งขันได้สำเร็จ มันก็เปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ทุกอย่างไม่ได้แล้ว
เด็กหนุ่มนามว่าเผิงอี้หมิงอยู่อันดับ 7 ในรายชื่อก่อนการแข่งขัน เขาเป็นศิษย์อัจฉริยะจากสถานศึกษากระบี่ที่สี่ จึงมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยคนสำคัญในกลุ่มของเถาว่านเฉิง
บัดนี้ เผิงอี้หมิงนำลูกน้องออกมาสิบกว่าคน
การต่อสู้เกิดขึ้นเป็นจุดที่สาม
เสียงกระบี่ปะทะกันที่ดังอยู่ในขณะนี้กลบสรรพสำเนียงของทุกสิ่งที่อยู่ข้างทะเลสาบไปหมดสิ้น
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าสถานการณ์คับขันเต็มทน เขาได้แต่กัดฟันสู้ต่อไปเพื่อหาจังหวะหลบหนี
กระบี่ของเถาว่านเฉิงยิ่งใช้งานยิ่งรวดเร็ว ยิ่งแทงออกมายิ่งดุเดือดรุนแรง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นสปริงที่คอยรับแรงกระแทกจากกระบี่ของฝ่ายตรงข้าม ก่อเกิดเป็นพลังงานสะสมอยู่ในร่างกาย เหมือนภูเขาไฟที่รอวันระเบิดตัวอย่างไรชอบกล
ความรู้สึกนี้มาจากความคืบหน้าของวิชากระบี่เร้นกายนั่นเอง
และมันก็ยังเป็นความคืบหน้าจากวิชาพลังจิตขั้นพื้นฐานอีกด้วย
“อย่าบอกนะว่าฉันจะเลื่อนระดับทั้งสองวิชาไปพร้อมๆ กัน?”
“แต่ฉันมันไม่เก่งอะไรเลยสักอย่างนี่นา ที่ผ่านมาก็ใช้โทรศัพท์เป็นตัวช่วยตลอด จะสามารถเลื่อนระดับได้ด้วยตัวเองได้ไง?”
หลากหลายความคิดผุดขึ้นมาในสมองของหลินเป่ยเฉิน
ในจังหวะที่เขาเสียสมาธินี้เอง เถาว่านเฉิงก็พบช่องว่างให้ลงมือโจมตี
ฟู่! ฟู่!
คมกระบี่พุ่งเข้ามาเหมือนอสรพิษสีขาวฉกใส่บริเวณหัวไหล่ซ้ายขวาของเขาด้วยความรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนมีอะไรหนักๆ ทุบเข้าที่ร่างกายตนเอง ร่างของเขาลอยกระเด็นไปไกลสองผิง ก่อนจะกลับลงมาสู่พื้นดินในสภาพที่อีกนิดเดียวก็ก้นจ้ำเบ้าแล้ว
เถาว่านเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าไม่อยากทำให้เจ้าต้องบาดเจ็บสาหัส แต่เจ้าทำให้ข้าไม่มีทางเลือก”
แรงกระแทกจากกระบี่สองจังหวะก่อนหน้านี้ ควรทำให้กระดูกหัวไหล่ของหลินเป่ยเฉินแตกสลายไปหมดสิ้น
การโจมตีครั้งนี้ต้องทำให้คู่ต่อสู้ของเถาว่านเฉิงบาดเจ็บสาหัส
หลินเป่ยเฉินพลันก้มหน้ามองหัวไหล่ทั้งสองฝั่งของตัวเอง
มีเลือดไหลออกมา
แต่มันก็เป็นรอยแผลถลอกเพียงเล็กน้อย คมกระบี่ไม่ได้ตัดลึกเข้าไปอย่างที่หวาดกลัว นอกจากรู้สึกเจ็บแปลบเพียงเล็กน้อยแล้ว มันก็ไม่ได้ส่งผลอะไรต่อเขาอีกเลย…นี่ก็คงเป็นพลังของวิชา ‘กระบี่เร้นกาย’ อีกเช่นกันกระมัง
นั่นเอง หลินเป่ยเฉินถึงได้รู้ตัวว่าเขาประมาทความสามารถของวิชานี้มากเกินไป
“คมกระบี่ของเถาว่านเฉิงทำอะไรร่างกายเราไม่ได้เลยเหรอเนี่ย? มิน่าล่ะ ตอนที่โหลดแอปมาถึงได้กินข้อมูลไปเยอะขนาดนั้น”
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่…”
เยว่หงเซียงที่อยู่ภายใต้การคุ้มกันจากเขา รีบถลาเข้ามาด้วยความเป็นห่วง นางชักกระบี่ออกมายืนขวางหน้าหลินเป่ยเฉินเอาไว้ขณะกระซิบว่า “ข้าจะถ่วงเวลาเขาไว้เอง เจ้ารีบหนีไปเถอะ”
หลินเป่ยเฉินแอบบ่นอยู่ในใจว่า “นี่เจ๊ ฉันไม่ได้ดูถูกหรอกนะ แต่อ่อนแออย่างเจ๊น่ะ คงรับมือเจ้าหมอนี่ได้ไม่ถึงกระบวนท่าด้วยซ้ำ”
ในจังหวะนั้นเอง
“เถาว่านเฉิง หยุดมือก่อน”
เสียงหลี่เทาคำรามมาจากบริเวณที่เกิดการต่อสู้เป็นจุดที่สาม
ระดับฝีมือของเด็กหนุ่มหน้าขาวย่อมสูงกว่าเผิงอี้หมิงเป็นธรรมดา จึงสามารถบุกทะลวงเข้ามาได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างด้วยความดีใจ โบกไม้โบกมือ ตะโกนเรียกอีกฝ่ายเหมือนได้เจอเพื่อนเก่าแก่ที่ห่างหายกันไปนาน
“พี่หลี่…”
ความหยิ่งทะนงที่ทำให้เขาปฏิเสธคำเชิญของหลี่เทาครั้งแล้วครั้งเล่าจางหายไปหมดแล้ว
เด็กหนุ่มหน้าขาวเคลื่อนกายเข้ามาด้วยความรวดเร็ว
เขามีสภาพเป็นเหมือนลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง พริบตาเดียวก็มาถึงริมทะเลสาบ
แต่หลี่เทาชำเลืองมองหลินเป่ยเฉินเพียงหางตา ก่อนควงกระบี่ กระโดดผ่านหน้าเขาตรงไปหาหลิงเฉินหน้าตาเฉย
“พี่หลิง ข้ามาช่วยท่านแล้ว”
คมกระบี่ตัดผ่านอากาศ
พลังลมปราณแผ่ออกจากร่างกายหลี่เทาอย่างรุนแรง
เห็นได้ชัดว่าเขาก็มีฝีมือกระบี่เทียบเท่าระดับมืออาชีพเช่นกัน
รอยยิ้มบนใบหน้าหลินเป่ยเฉินค่อยๆ หายไป
มือที่เขาโบกทักทายหลี่เทาก็ค่อยๆ ลดลงมา
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? เจ้าหน้าขาวไม่เห็นหรือไงว่าตอนนี้ควรช่วยใครมากที่สุด? ยัยเผด็จการนั่นไม่ได้ตกอยู่ในอันตรายสักหน่อย ยังไงนางก็สามารถรับมือเซินเฟยได้อยู่แล้ว ส่วนคนที่ตกอยู่ในอันตรายและนายควรมาช่วยมากที่สุดน่ะ มันเป็นฉันต่างหาก”
หรือว่าหลี่เทาจะสายตาไม่ดี?
หรือหมอนั่นอิจฉาเขาที่มีหน้าตาหล่อเหลามากเกินไป?
“โมโหแล้วนะเว้ย”
หลินเป่ยเฉินเกือบจะสบถออกมาแล้ว
“นึกว่าจะเป็นคนดี ที่แท้ก็เป็นไอ้พวกหน้าหม้อเหมือนกันนี่หว่า สุดท้ายก็อยากประจบเอาใจหลิงเฉินสินะ ทำไมถึงได้ทำตัวแบบนี้ จะมีจอมยุทธ์สักคนไหมวะที่ไม่เห็นผู้หญิงสำคัญมากกว่าอย่างอื่นเนี่ย?”
ในขณะที่หลินเป่ยเฉินกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเอง เถาว่านเฉิงพลันลดกระบี่ลงและหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข “ฮี่ฮี่…”
ทันใดนั้น
เปรี้ยง!
เสียงระเบิดของพลังงานสสารลึกลับพลันดังขึ้นอีกครั้ง
ผลั่ก!
แล้วร่างของใครคนหนึ่งก็ลอยกระเด็นออกมาตกอยู่บนพื้นดินตรงหน้าหลินเป่ยเฉินเสียงดังตุบ
ที่แท้ก็เป็นหลี่เทา
เด็กหนุ่มตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง บนใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มสะใจ กระบี่ในมือเขาเต็มไปด้วยคราบเลือด
และมันเป็นเลือดของ…
หลิงเฉิน!
เทพธิดาอัจฉริยะหลิงเฉินยกมือข้างหนึ่งกุมหัวไหล่ตัวเอง เลือดเป็นสายไหลทะลักออกมาจากง่ามนิ้ว หยดลงไปเปรอะเปื้อนชุดเกราะหนังสีดำของนางเป็นสีแดงสด
ทว่าบนใบหน้าของนางไม่ปรากฏความโกรธแค้นเลยแม้แต่นิดเดียว
นางกลับจ้องมองหลี่เทาด้วยความประหลาดใจและถามว่า “เจ้าก็อยู่ฝ่ายเดียวกับพวกมันอย่างนั้นหรือ?”
หลี่เทาเงยหน้าขึ้นมาส่งเสียงหัวเราะดังลั่น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ถูกต้อง ข้านี่แหละที่เป็นคนทำร้ายท่านเอง”
แล้วเด็กหนุ่มหน้าขาวก็จ้องมองหลิงเฉินด้วยสายตาที่ผสมกันไป ทั้งความเคารพเทิดทูน อิจฉาริษยา และโกรธแค้นขุ่นเคือง แต่สุดท้าย ความรู้สึกทุกอย่างก็ผสมรวมกันออกมาเป็นความภาคภูมิใจ “โชคร้ายที่กว่าท่านจะรู้ตัว มันก็สายเกินไปแล้ว ท่านถูกแทงบริเวณหัวไหล่ขวา ทำให้ใช้มือข้างนั้นถือกระบี่ไม่ได้อีก และการใช้กระบี่ด้วยมือซ้าย ก็ทำให้ความน่ากลัวของท่านเหลือเพียงแค่หนึ่งในสามเท่านั้น นี่คงเป็นสถานการณ์ที่ท่านคิดไม่ถึงเลยสินะ หลิงเฉิน คนที่ภูมิใจในตัวเองนักหนาอย่างท่าน ย่อมไม่มีวันคิดว่าตนเองจะต้องตกรอบเด็ดขาด”
ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินที่ยืนดูเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นจนจบ ก็อดเบิกตาโตด้วยความตกตะลึงไม่ได้
“ไม่เลวเลยนี่นา! ยังกับหลุดมาจากหนังเรื่อง ‘สองคนสองคม’ ยังไงยังนั้น สุดท้ายก็กลายเป็นว่าหลี่เทากับเถาว่านเฉิงร่วมมือกันมาตลอด อะไรจะหักมุมขนาดนี้วะครับ ตอนนี้หลิงเฉินได้รับบาดเจ็บแล้ว คงสู้กับเซินเฟยต่อไปไม่ได้แน่ แต่เราก็งานเข้าเต็มๆ เหมือนกัน เพราะแบบนี้ ทั้งเถาว่านเฉิงกับหลี่เทามันก็จะหันมาพร้อมใจเล่นงานเราคนเดียวเลยน่ะสิ สถานการณ์ชักไม่เข้าท่าซะแล้ว”
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าก็ไม่ได้อยากให้มันเป็นเช่นนี้หรอก” เซินเฟยยิ้มแย้มอย่างสบายใจ “หลิงเฉิน ในเมื่อเจ้าเป็นบุตรสาวคนเล็กของท่านผู้ว่าการ และเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมือง ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียศักดิ์ศรีมากไปกว่านี้ จงทำลายเครื่องรางประจำตัวของเจ้าซะ และตกรอบไปด้วยน้ำมือของตัวเจ้าเองเสียเถิด”
ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของเขาหมดแล้ว
กว่าจะถึงวันนี้ เซินเฟยวางแผนมาอย่างยาวนาน ในที่สุดทุกอย่างก็สำเร็จผลตามที่คาดหวัง
หลิงเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็กล่าวว่า “พวกเจ้าต้องปล่อยหลินเป่ยเฉินกับเด็กแซ่เยว่มาหาข้าก่อน”
*************