ตอนที่ 638 น่าอับอายเหลือเกิน
“โว้ย ทำไมเสียงดังน่ารำคาญอย่างนี้”
พลัน เสียงคำรามด้วยความหงุดหงิดดังขึ้นมาจากกระโจมหลังใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เดินออกมาจากกระโจมด้วยสภาพหัวยุ่งและยังคงสวมใส่ชุดนอนไม่ได้ผลัดเปลี่ยน เด็กหนุ่มยกมือขยี้ตาพลางพูดด้วยความโกรธเกรี้ยว “คนจะหลับจะนอนทำไมต้องปลุกให้ตื่นด้วย? ถ้าจะเสียงดังขนาดนี้ ไม่เข้ามาส่งเสียงตะโกนที่หัวนอนข้าเลยล่ะ?”
“นายน้อยขอรับ”
หวังจงรีบวิ่งเข้าไปพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้มประจบประแจง “นี่ไม่เช้าแล้วขอรับ นี่ล่วงเข้ายามบ่ายแล้ว”
ผลั่ก!
หลินเป่ยเฉินกระโดดถีบพ่อบ้านชรากลิ้งกระเด็นออกไป
“เจ้าสุนัขเฒ่า คิดว่าข้าไม่รู้หรือนี่คือเวลาใด? ที่ข้าตื่นเอาตอนนี้ก็เพราะข้าทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานหนักเพื่อส่วนรวม เพราะอยากให้ชาวเมืองทุกคนได้มีชีวิตอย่างผาสุก… เมื่อคืนกว่าข้าจะได้นอนก็ดึกมากแล้ว ใจคอเจ้าจะไม่ให้ข้าได้พักผ่อนเลยเชียวหรือ?”
“ใช่แล้วขอรับ นายน้อย ที่นายน้อยพูดออกมานั้นถูกต้องทั้งหมดเลย แต่ว่าความโกรธมันไม่ดีต่อสุขภาพนะขอรับ”
พ่อบ้านหวังจงรีบคลานเข้ามาหาพร้อมกับยิ้มแย้มอย่างมีความสุข
สองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินเดินออกมาพร้อมด้วยอ่างล้างหน้าและผ้าชุบน้ำอุ่น ใบหน้าที่สวยงามของพวกนางประดับรอยยิ้มพิมพ์ใจ ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับในระหว่างที่คอยดูแลคุณชายหลินด้วยความทะนุถนอมและอ่อนโยน
นี่คือภาพที่ทุกคนในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งพบเห็นจนชินตาแล้ว
แต่สำหรับกับพวกของหยางต้าซาน เมื่อเห็นภาพนั้นจากระยะไกล พวกเขาก็อดอ้าปากพะงาบๆ ไม่ได้
สิ่งนี้ช่วยยืนยันภาพลักษณ์ของหลินเป่ยเฉินได้เป็นอย่างดี
หลินเป่ยเฉิน
ไม่ชอบเรียนหนังสือและไม่มีทักษะในการทำงาน
มีนิสัยหยาบคาย
มีความก้าวร้าวรุนแรง
แถมยังขี้เกียจเป็นอันดับหนึ่ง
แต่ถ้อยคำทั้งหมดนี้ยังไม่สามารถรวบรวมความเป็นหลินเป่ยเฉินออกมาได้อย่างสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ
นั่นคือข้อมูลที่พวกเขาเคยได้ยินมาบ้างก่อนหน้านี้
และจากสิ่งที่เห็นมันก็น่าจะเป็นความจริง
หยางต้าซานเริ่มกลับมามีความสงสัยในหัวใจอีกครั้ง
เหตุไฉนชาวเมืองหยุนเมิ่งถึงได้ส่งเสริมและศรัทธาในตัวเด็กหนุ่มจอมเสเพลคนนี้เล่า?
“ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจา…”
ในที่สุด ก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นมาจากใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำดำเขียวของกงซุนไป๋ ผู้เพิ่งฟื้นขึ้นมาจากการสลบไสล “ข้ามาที่นี่ในฐานะตัวแทนของกองทัพเว่ยซาน ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจากับหลินเป่ยเฉิน… ข้าต้องการพบหลินเป่ยเฉิน…”
ผลั่ก!
เสียมขุดดินด้ามหนึ่งถูกฟาดเข้ามาที่ใบหน้าของกงซุนไป๋
“พูดจาให้มันดีๆ หน่อย”
จวงปู้โจวผู้ถือเสียมขุดดินอยู่ในมือคำรามออกมาด้วยความเกรี้ยวกราด “เจ้าเป็นใครมาจากไหน ถึงได้กล้าเอ่ยนามของท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรของข้า?”
“ข้าต้องการพบคุณชายหลิน…”
ผลั่ก!
“ข้าต้องการพบท่านแม่ทัพ…”
ผลั่ก!
“ข้าต้องการพบท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร… เจ้าต้องการให้ข้าเรียกเช่นนี้ใช่หรือไม่?”
กงซุนไป๋ผู้ถูกเสียมขุดดินฟาดหน้าครั้งแล้วครั้งเล่าบัดนี้ถึงกับมีเลือดกำเดาไหลออกมาจากรูจมูกทั้งสองข้างแล้ว แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ก็ตาม
…การถูกเสียมขุดดินฟาดหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าช่วยเรียกสติของกงซุนไป๋ให้ฟื้นคืนกลับมาได้เป็นอย่างดี
ดังนั้น จวงปู้โจวจึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ และลากตัวกงซุนไป๋ตรงไปหาหลินเป่ยเฉินในที่สุด
“ท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกรขอรับ บุรุษหน้าขาวคนนี้มีเรื่องอยากมาเจรจากับท่าน”
จวงปู้โจวกล่าวด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพเป็นอย่างสูง
ตลอดเวลาที่ผ่านมา จวงปู้โจวทำตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉินไม่เคยขาดตกบกพร่อง
“คร๊อกกกก…”
“ขากกก… ถุ้ยยย…!!!”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้าขึ้นใช้น้ำกลั้วคอ ก่อนที่เขาจะบ้วนน้ำในปากทิ้งลงไปที่พื้นดิน
เด็กหนุ่มชำเลืองมองกงซุนไป๋ด้วยสายตาเหยียดหยาม ก่อนจะรับหวีที่ทำจากกระดูกฉลามมาจากมือของเฉียนเหมย ระหว่างที่หวีผมและจัดแต่งทรงผมของตนเองอยู่นั่น หลินเป่ยเฉินก็พูดว่า “เจรจา? นั่นหมายความว่าอย่างไร? พวกเจ้าไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของข้าอย่างนั้นหรือ? ชีวิตของนายทหาร 500 คนแลกกับเงินจำนวนห้าแสนเหรียญทองคำ ถ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัว อย่าหวังเลยว่าจะพาผู้คนกลับไปได้!”
ตอนแรกนั้น กงซุนไป๋อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขาก็รีบกล้ำกลืนคำพูดเหล่านั้นกลับคืนลงลำคอแทบไม่ทัน
กล่าวตามความสัตย์จริง ตลอดชีวิตการรับใช้ชาติหลายปีที่ผ่านมา กงซุนไป๋พบเห็นเด็กหนุ่มผู้เสียสติมาแล้วมากมาย
แต่นี่คือครั้งแรกที่เขาพบเจอคนเถื่อนอย่างเช่นหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มมีความโหดร้ายแทบจะเกินขีดจำกัดมนุษย์แล้ว
“ข้าเพียงแต่ต้องการจะบอกว่า…”
กงซุนไป๋พยายามรักษาท่าทีของตนเองให้สงบเยือกเย็น และดูมีความขึงขังจริงจังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ “เจ้าพวกเศษสวะหอนางโลมบุปผารื่นรมย์มีตาหามีแววไม่ เมื่อคืนนี้พวกมันถึงกลับส่งผู้คนมาล่วงเกินคุณชายหลิน สมแล้วที่นายทหารทั้ง 500 คนเหล่านั้นจะถูกสั่งสอนเสียบ้าง ความผิดในครั้งนี้จึงถือว่าเลิกแล้วต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้น คุณชายหลินยังได้พิสูจน์ฝีมือของตนเองให้ทุกคนเห็นกระจ่างแจ้งแก่ใจ ว่าคุณชายมีความแข็งแกร่งขนาดไหน ข้าเชื่อว่าบุคคลที่สูงส่งเช่นท่าน น่าจะยินดีเจรจาหาทางออกร่วมกันอย่างดีที่สุด…”
“พูดมาเสียยืดยาว สรุปก็คือเจ้าไม่มีเงินมาไถ่ตัวนายทหารเหล่านั้นใช่ไหม?”
จังหวะการหวีผมของหลินเป่ยเฉินหยุดชะงักลงทันที
กงซุนไป๋ผู้น่าสงสารเป็นถึงแม่ทัพใหญ่เผชิญหน้าสมรภูมิแห่งความตายอย่างไร้ซึ่งความหวาดกลัวมาโดยตลอด แต่บัดนี้ อากัปกิริยาที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยของหลินเป่ยเฉิน ก็ทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบและต้องรีบกล่าวเสริมด้วยความร้อนรนว่า “พวกเราพอจะเจรจากันได้หรือไม่ ราคาที่ท่านว่ามานั้น ค่อนข้างสูงมากเกินไป…”
พูดมาถึงตรงนี้ กงซุนไป๋ก็ต้องแอบร่ำไห้อยู่ในใจ
น่าอับอายเหลือเกิน
น่าหงุดหงิดใจเหลือเกิน
ทำไมเขาถึงได้ต่ำต้อยเช่นนี้?
เฮ้อ เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?
สุดท้าย กงซุนไป๋ก็ต้องกลับกลายเป็นผู้คนแบบที่เขาเกลียดชังมากที่สุด
แต่บัดนี้ไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว
กงซุนไป๋ไม่เคยหวาดกลัวคู่ต่อสู้ที่มีฝีมือร้ายกาจกว่าตนเอง
แต่บุคคลที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่นี้คือหลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มสมองเสื่อม ผู้มีความคิดผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนธรรมดา หลินเป่ยเฉินไม่ได้ฆ่าพวกเขา แต่กลับใช้โอกาสนี้ สร้างความอับอายนับไม่ถ้วน…
กงซุนไป๋แทบจะทนรับความอับอายต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว