ตอนที่ 643 บอกชื่อของเจ้ามาก่อน แล้วพี่ชายคนนี้จะ…
“สภาพความเป็นอยู่สะดวกสบายมากกว่าพื้นที่เขตสองจริงๆ ด้วย”
หลินเป่ยเฉินมองผ่านกระจกสีทึบของห้องโดยสารสำรวจดูสภาพแวดล้อมสองข้างทาง
ท้องถนนปูด้วยพื้นอิฐสีเขียว มีผู้คนเดินไปเดินมาหนาแน่น
สองข้างทางเต็มไปด้วยอาคารบ้านเรือนและร้านค้าหลากหลายรูปแบบ
ที่นี่มีทั้งร้านเล็กร้านใหญ่ สภาพเศรษฐกิจดูจะคล่องตัวมากทีเดียว
หลินเป่ยเฉินทอดสายตาจ้องมองไปยังบรรดาผู้คนที่เดินอยู่บนท้องถนน
ถึงผู้คนเหล่านี้จะไม่ได้สวมใส่เสื้อผ้าหรูหราราคาแพง แต่อย่างน้อยก็มีเสื้อชั้นนอกทำมาจากใยฝ้ายให้สวมใส่กันลมหนาว ใบหน้าของพวกเขาไม่ได้ประดับความหิวโหยเหมือนบรรดาผู้คนในหมู่บ้านผู้อพยพ และบางคนก็ถึงกับมีสีหน้าชั่วร้ายอย่างชัดเจนเลยด้วยซ้ำ
กำแพงเมืองคือสิ่งที่แบ่งแยกแดนสวรรค์กับนรกอย่างแท้จริง
นอกจากจะมีร้านค้าชนิดต่างๆ อยู่เต็มไปหมดแล้ว สองข้างถนนยังมีพ่อค้าแผงลอยจำนวนมากวางขายสินค้านานาชนิด ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป อัญมณี อาวุธหรือชุดเกราะ ไปจนถึงเครื่องมือปฐมพยาบาล และอื่นๆ อีกมากมาย
และร้านแผงลอยเหล่านี้ก็มีลูกค้ามามุงดูอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน
“ไหนว่าทรัพยากรในนครเจาฮุยขาดแคลนไม่ใช่หรือไง?”
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้เมื่อเห็นสภาพท้องถนนที่มีความคึกคักมีชีวิตชีวา “ถ้าอุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ก็สามารถเลี้ยงดูผู้อพยพได้เป็นล้านคนเลยด้วยซ้ำ”
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา หวังจงรับหน้าที่เข้ามาติดต่อประสานงานต่างๆ กับบรรดาขุนนางที่อยู่ในพื้นที่เขตสาม
ความจริง มีหลายคนในพื้นที่เขตนี้ที่อยากรู้ความเป็นไปของผู้อพยพในพื้นที่เขตสองอยู่เช่นกัน
แน่นอนว่าสิ่งที่ผู้คนอยากรู้มากที่สุดก็คือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลินเป่ยเฉิน
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เฉียนเหมยกับเฉียนเจินคอยรายงานความเคลื่อนไหวต่างๆ ให้เด็กหนุ่มรับทราบระหว่างที่นวดแขนนวดขาให้กับเขา
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงได้รู้ข้อมูลที่แท้จริงว่าสภาพความเป็นอยู่ของผู้อพยพในพื้นที่เขตสองนั้นย่ำแย่มากกว่าที่ทางการได้ประกาศเอาไว้
โดยเฉพาะพื้นที่รอบนอกของพื้นที่เขตสอง
ปัจจุบันมีผู้อพยพอยู่อาศัยร่วมกันมากกว่าสามล้านคน
ครึ่งหนึ่งในนั้นเป็นผู้อพยพจากดินแดนที่ถูกชาวทะเลยึดครอง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเมืองที่อยู่ทางตอนใต้ติดกับนครเจาฮุย นอกจากนั้น ก็เป็นผู้คนที่หลบหนีความยากจนมาจากเมืองของตนเอง และก็มีบางส่วนเคยเป็นผู้อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตสาม แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาจึงมีความจำเป็นต้องอพยพย้ายมาลงหลักปักฐานอยู่ในพื้นที่เขตสองร่วมกับผู้คนจากต่างเมือง
เรื่องราวเหล่านี้ทางเจ้าหน้าที่ไม่เคยประกาศให้ผู้ใดล่วงรู้
ภายนอกนครเจาฮุยจึงมีภาพลักษณ์ที่ดีงาม
ผู้คนจำนวนมากจึงหลั่งไหลเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ และก็มีอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องเสียชีวิตไปเรื่อยๆ เช่นกัน
มันไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด ถ้าจะบอกว่าพื้นที่เขตสองคือแดนเถื่อนขนานแท้
เมื่อเปรียบเทียบกับสภาพบ้านเมืองในพื้นที่เขตสาม หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าที่นี่มีความคล้ายคลึงกับเมืองหยุนเมิ่งอยู่หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นความสะอาดเรียบร้อยหรือความเป็นระบบระเบียบ
สีหน้าของผู้คนบนท้องถนนก็ไม่ได้บ่งบอกถึงความรู้สึกหวาดกลัวหรือหวาดหวั่นต่อสงครามที่กำลังเกิดขึ้นแต่อย่างใด…
ซึ่งไม่ถือว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาด
ด้วยพื้นที่เขตสองมีอาณาบริเวณกว้างใหญ่ มันจึงกลายเป็นแหล่งสุญญากาศดูดเสียงการทำสงครามที่ดังทั้งวันทั้งคืนจากพื้นที่เขตหนึ่ง
ชาวเมืองที่อยู่ในพื้นที่เขตสามย่อมปราศจากความหวาดกลัวจากภัยพิบัติของสงคราม หรือบางคนอาจจะไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่า สักวันหนึ่งกำแพงเมืองทั้งสองชั้นนั้น อาจจะถูกบุกทะลวงเข้ามาเมื่อไหร่ก็ได้!
หญิงสาวน้ำเสียงไพเราะยังคงเปิดหมวกขับร้องบทเพลงอยู่ข้างถนนต่อไป
ผู้คนในพื้นที่เขตสามยังคงใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ
และมีผู้คนหัวใสจำนวนหนึ่งนำสงครามมาสร้างผลประโยชน์ให้แก่ตนเองเช่นกัน
กล่าวได้ว่าสงครามสำหรับพวกเขาแล้ว ก็คือธุรกิจประเภทหนึ่งนั่นเอง
อย่างเช่น…
“บริจาคเงินช่วยเหลือทหารผู้ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองชั้นนอก ยิ่งบริจาคเยอะเท่าไหร่ พวกเขายิ่งมีความสุขมากเท่านั้น…”
“เหรียญทองแดงในมือท่าน ลงกล่องบริจาคของเราเถอะขอรับ”
“หากบริจาคครบ 10 เหรียญทองคำ ท่านจะได้รับเหรียญเชิดชูเกียรติชาวเมืองดีเด่นจากกองทัพนครเจาฮุยเจ้าค่ะ”
“ได้โปรดอย่าปล่อยให้นายทหารบนกำแพงเมือง ต้องสูญเสียหยาดเหงื่อและเลือดเนื้อไปโดยเปล่าประโยชน์”
เสียงตะโกนเช่นนี้ดังขึ้นจากสองข้างฝั่งถนนไม่ขาดสาย
กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์ ถือกล่องกระดาษขอรับบริจาคเงินจากกับผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาบนท้องถนน
หึหึ เจ้าพวกเด็กแสบทั้งหลาย
“คุณชายผู้สูงส่ง ได้โปรดมอบความรักของท่านที่มีต่อนายทหารของพวกเรา ผ่านการบริจาคเงินด้วยเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงผู้ผูกผมเปียสองข้างสวมใส่ชุดเครื่องแบบของสถานศึกษากระบี่แห่งหนึ่ง ไม่รู้ไปเอาความกล้าหาญมาจากไหน อยู่ดีๆ ก็กระโดดมาขวางทางรถม้าของหลินเป่ยเฉิน และด้วยความที่ต้องหยุดรถอย่างกะทันหัน หลินเป่ยเฉินจึงเกือบจะตกจากที่นั่งเพราะไม่ทันตั้งตัว
ดังนั้น ดวงตาของเขาจึงเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้นระหว่างกระชากประตูห้องโดยสารเปิดออกและโผล่หน้าออกไปด้วยความเดือดดาล
“ตัวบัดซบ…”
หลินเป่ยเฉินกำลังวางแผนงานต่างๆ ระหว่างที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้า และการที่รถม้าหยุดลงอย่างกะทันหันเมื่อสักครู่นี้ มันก็ได้พัดพาเอาความคิดสุดแสนบรรเจิดของเขาหายไปด้วย เพราะฉะนั้น เด็กหนุ่มจึงอยากจะสั่งสอนผู้ที่กระโดดมาขวางทางรถม้าของเขาอย่างไม่ดูตาม้าตาเรือสักหน่อย
แต่เมื่อเห็นว่าผู้ที่ก่อเรื่องเป็นเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก ถ้อยคำหยาบคายก็สำลักอยู่ในลำคอของหลินเป่ยเฉินไปเสียอย่างนั้น
หน้าตาดีใช้ได้เลยแฮะ
แต่หน้าคุ้นๆ ชอบกล
หลินเป่ยเฉินรู้สึกเหมือนเคยเห็นเด็กคนนี้ที่ไหนมาก่อน
เมื่ออีกฝ่ายเป็นถึงเด็กหญิงท่าทางอ่อนหวานน่ารักน่าชังขนาดนี้ หลินเป่ยเฉินจะทำตัวหยาบช้าใส่นางได้อย่างไร?
“พี่ชาย ได้โปรดบริจาคเงินช่วยเหลือเหล่าทหารกล้าด้วยเจ้าค่ะ”
เด็กหญิงเงยหน้ามองหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตากลมโตและยิ้มหวานหยดย้อย
หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางอย่างใช้ความคิด “บอกชื่อของเจ้ามาก่อน แล้วพี่ชายคนนี้จะบริจาค 10 เหรียญทองคำ”
ใบหน้าที่ประดับรอยยิ้มตลอดเวลาของเฉียนเหมยกับเฉียนเจินพลันงอง้ำขึ้นมาด้วยความไม่ชอบใจ…
นายท่านนะ นายท่าน
มีพวกเราอยู่ข้างกายถึงสองคน ยังคิดจะหาคนใหม่มาอีกหรือ?
กงกงผู้เป็นสารถีขับรถม้าก็อดเลิกคิ้วสูงขึ้นมาไม่ได้ แต่เขาก็สงบปากสงบคำ เพราะเหตุการณ์เช่นนี้คงถือเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกคุณชายตระกูลร่ำรวยกระมัง
เด็กหญิงหน้าหวานไม่คิดอะไรให้มากความ นางกำลังจะพูดออกมาว่า “ชื่อของข้าคือ…”
“ไม่ต้องไปบอกเขา”
พลัน เสียงใสๆ ของเด็กสาวอีกคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านข้าง
นางเป็นเด็กสาวร่างสูงเพรียว ก้าวปราดเดียวเข้ามายืนขวางหน้าเด็กหญิงรุ่นน้องและมองตาหลินเป่ยเฉินแสดงความไม่เป็นมิตร พร้อมกับพูดว่า “อยากบริจาคก็บริจาค ไม่อยากบริจาคก็ไม่ต้องบริจาค ข้าขอเตือนเจ้า อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกับหลู่หลิงซินศิษย์น้องของข้าเป็นอันขาด…”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ คำพูดจึงขาดหายไปอย่างกะทันหัน
นางเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
ดูเหมือนว่า…
เมื่อสักครู่นี้…
นางเพิ่งจะเผลอหลุดปากพูดชื่อของเด็กหญิงออกมาใช่หรือไม่?
แย่แล้วสิ!