ตอนที่ 644 กลุ่มคนเศษสวะ
บัดนี้ เด็กหญิงผมเปียที่ยืนอยู่ข้างหลังเด็กสาวก็กำลังขมวดคิ้วหน้ายุ่งด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
ศิษย์พี่เฉิงเหนียนยังคงวิตกกังวลมากเกินไปไม่เปลี่ยนแปลง
ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
แต่นี่ไม่ใช่เรื่องปกติสำหรับหลินเป่ยเฉิน เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของเด็กหนุ่มก็แสดงออกถึงความขบขันชัดเจน
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ…”
ในที่สุด เด็กสาวร่างสูงก็กลับมาได้สติอีกครั้ง
“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ เมื่อสักครู่เจ้าได้ยินอะไรไป รีบลืมให้เร็วที่สุดเลยนะ”
นางคำรามด้วยความโกรธแค้น
หลินเป่ยเฉินกระตุกยิ้มมุมปาก หยิบเหรียญทองคำออกมา 10 เหรียญและทยอยดีดลงไปในกล่องกระดาษของเด็กหญิงผมเปียด้วยความแม่นยำ ทีละเหรียญ ทีละเหรียญ
“ขอให้พลังแห่งเทพีกระบี่สถิตอยู่กับทหารกล้าทุกคน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอำลาพอเป็นพิธี แล้วเขาก็หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องโดยสาร
รถม้าเคลื่อนออกจากที่อย่างช้าๆ
ได้ยินบทสนทนาของเด็กสาวทั้งสองคนดังขึ้นจากด้านหลังว่า
“เฮ้อ คราวหน้าคราวหลัง ข้าจะระวังปากให้มากกว่านี้ แต่เมื่อสักครู่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ…”
“พี่เฉิงเหนียนจ๊ะ ไม่เป็นไรหรอก พี่ชายคนนี้เป็นคนดี”
“แล้วถ้าเขาไม่ใช่คนดีล่ะ? อย่ามองผู้คนแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกเด็ดขาด ในฐานะเพื่อนสนิทของเจ้า ข้ามีหน้าที่คอยดูแลเจ้าไม่ให้พวกคุณชายชีกอมาตอแยกับเจ้าได้ ข้ารับรองเลยว่าบุรุษทุกคนไม่ใช่ตัวดี โดยเฉพาะพวกที่มีรูปกายหล่อเหลาเช่นนี้ ส่วนมากมักจะเป็นสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ทั้งนั้น นี่ข้าพูดจริงๆ นะ ไม่ได้ขู่ให้เจ้ากลัวหรอก”
“แต่น่ากลัวจังเลย คราวหน้าข้าจะระวังตัวให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน”
“ดีมาก แต่ดูเหมือนเมื่อสักครู่ เขาจะบริจาคเงินให้กับเจ้าใช่หรือไม่”
“อุ๊ย จริงด้วย ข้าลืมมอบเหรียญเชิดชูเกียรติชาวเมืองดีเด่นให้แก่พี่ชายคนเมื่อครู่นี้ไปสนิทเลย… พี่ชายเจ้าคะ หยุดก่อน”
“เร่งความเร็วให้มากกว่านี้”
หลินเป่ยเฉินที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารของรถม้าออกคำสั่งบอกกงกงขณะที่รอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
หลู่หลิงซิน?
ถ้าเดาไม่ผิด เด็กหญิงผมเปียคนนี้ต้องเป็นน้องสาวของหลู่หลิงโจวอย่างแน่นอน
ถึงอายุจะห่างกันหลายปี แต่หน้าตาพิมพ์เดียวกันเสียขนาดนั้น
มิน่าล่ะ เขาถึงได้รู้สึกคุ้นหน้าเด็กหญิงคนนี้ตั้งแต่แรกเห็น
หยางเฉินโจวนำเถ้ากระดูกของหลู่หลิงโจวกลับมาส่งคืนให้แก่ครอบครัวในพื้นที่เขตสาม หลังจากนั้นก็หายหน้าหายตา ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้ หลินเป่ยเฉินจึงไม่ทราบความเคลื่อนไหวของอดีตช่างตีเหล็กอีกเลย
แต่มีไต้จือฉุนติดตามไปด้วยทั้งคน คงไม่เกิดเหตุอะไรหรอกกระมัง
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินเป็นห่วงก็คือการสูญเสียหญิงผู้เป็นที่รักจะทำให้หยางเฉินโจวหมดแรงจูงใจในการดำรงชีวิต และอาจคิดสั้นฆ่าตัวตายก็เป็นได้
หลู่หลิงโจวไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่มาจากไหน
แต่นางมีจิตวิญญาณนักสู้ที่แท้จริง
หลินเป่ยเฉินจึงยินดีบริจาคเหรียญทองคำทั้ง 10 เหรียญนั้น เพื่อเป็นเกียรติให้แก่หลู่หลิงโจว
รถม้าเร่งความเร็ว
เด็กสาวทั้งสองคนที่พยายามวิ่งไล่กวดตามมาในไม่ช้าก็หายลับไปจากสายตา
“นายท่านขอรับ ตารางงานในวันนี้ เราจะแวะไปที่สำนักงานฝ่ายบริหารประจำเมือง เพื่อยื่นเรื่องขอก่อตั้งสถานศึกษาให้เรียบร้อย หลังจากนั้น เราจะเดินทางไปที่วิหารเทพีกระบี่ซึ่งอยู่ในพื้นที่เขตสี่ แต่ข่าวล่าสุดจากพี่ใหญ่หวังจงก็คือ กว่าที่สำนักงานฝ่ายบริหารจะเปิดให้บริการก็ต้องรออีกไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วยาม ระหว่างนี้ อาหารได้ถูกจัดเตรียมเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ข้าน้อยคิดว่าพวกเราสมควรพานายท่านไปยังโรงเตี๊ยมซิงซิงเพื่อรับประทานอาหารก่อนขอรับ เพราะโรงเตี๊ยมแห่งนี้ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสำนักงานบริหารสักเท่าไหร่…”
เสียงของกงกงลอยเข้ามาจากด้านหน้าห้องโดยสาร
“นี่มันเป็นเวลาเท่าไหร่แล้ว สำนักงานบริหารยังไม่เปิดทำการอีกหรือนี่ เจ้าขุนนางพวกนี้ใช้การไม่ได้เลยจริงๆ”
หลินเป่ยเฉินบ่นอุบ
กงกงไม่กล้าอธิบายอะไรเพิ่มเติม
เพราะความจริงนั้น เป็นนายน้อยเองนั่นแหละที่นอนตื่นสาย บัดนี้สำนักงานบริหารอยู่ในช่วงพักเที่ยง กว่าจะเปิดทำการอีกครั้งก็อีกครึ่งชั่วยามต่อจากนี้
หลังจากนั้นไม่นาน
พวกเขาก็มาถึงโรงเตี๊ยมซิงซิง
หลินเป่ยเฉินเดินลงจากห้องโดยสารของรถม้า เมื่อใช้สายตาสำรวจมองโรงเตี๊ยมที่ตั้งอยู่เบื้องหน้า เด็กหนุ่มก็ถึงกับต้องอุทานออกมาอยู่ในใจว่า
เชี่ย
โคตรสูง
เท่ากับตึก 16 ชั้นได้เลยมั้งเนี่ย
แต่มันเป็นตึก 16 ชั้นที่ผนังด้านนอกถูกแกะสลักเป็นลวดลายสวยงาม และยังมีการลงค่ายอาคมเอาไว้ป้องกันการโจมตีอีกด้วย นับตั้งแต่ที่หลินเป่ยเฉินทะลุมิติมาอยู่ในโลกแห่งวรยุทธ์ นี่คือโรงเตี๊ยมที่มีความยิ่งใหญ่อลังการมากที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นแล้ว
สำนักงานบริหารประจำนครเจาฮุยตั้งอยู่ใจกลางพื้นที่เขตสาม มันมีประวัติความเป็นมายาวนานนับร้อยปี รายล้อมด้วยอาคารสูงใหญ่หรูหราสง่างาม
และโรงเตี๊ยมซิงซิงแห่งนี้ ก็เป็นตึกที่สูงที่สุดในพื้นที่เขตสาม
มีข่าวลือว่าเจ้าของที่แท้จริงของมันก็คือท่านผู้ว่าประจำเมืองนั่นเอง
สองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็ถึงกับตกตะลึงไปแล้วเช่นกัน
กงกงเดินเข้าไปแจ้งห้องอาหารที่ตนเองได้จองล่วงหน้าเอาไว้ เด็กรับใช้ประจำโรงเตี๊ยมรีบวิ่งเข้ามานำทาง หลังจากนั้น พวกเขาก็ขึ้นไปยืนอยู่บนขั้นบันไดลอยฟ้า ซึ่งมีหน้าตาเหมือนลิฟท์ในโลกมนุษย์ทุกประการ ขั้นบันไดลอยฟ้าช่วยยกทุกคนลอยขึ้นไปสู่ชั้น 12 ของโรงเตี๊ยม แล้วพวกเขาก็ก้าวเท้าเข้าสู่ห้องโถงใหญ่ในที่สุด
ห้องโถงใหญ่แห่งนี้มีความใหญ่โตสมชื่อ สามารถรองรับผู้คนได้เป็นจำนวนนับร้อยคน
โต๊ะอาหารถูกจัดวางไว้ภายในห้องโถงใหญ่ พวกเขากั้นพื้นที่ด้วยม่านไม้ไผ่ และไม่มีสิ่งใดสามารถเก็บเสียงการสนทนาบนโต๊ะอาหารได้เลย
แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้สนใจ
เพราะอาหารและสุราของโรงเตี๊ยมซิงซิงมีความเลิศหรูและยอดเยี่ยมมากกว่าอาหารในโรงเตี๊ยมหว่านเซิ่งของเมืองหยุนเมิ่งหลายต่อหลายเท่านัก เพียงดื่มสุราเข้าไปหนึ่งจอก เด็กหนุ่มก็ต้องรีบดื่มจอกที่สองตามไปโดยไม่ลังเล
โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่เรียกว่าสุราหมักซิงเฉิน มันมีกลิ่นหอมของแตงโม และมีรสหวานของผลไม้หลายชนิด แม้มีราคาแพงถึงไหละหนึ่งเหรียญทองคำ แต่มันก็สามารถทำให้หลินเป่ยเฉินลิงโลดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงสั่งมารวดเดียว 10 ไห และเริ่มดื่มกินโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก…
เนื่องจากบัดนี้เป็นเวลาอาหารกลางวัน โรงเตี๊ยมจึงมีผู้คนเข้ามาอย่างหนาแน่น
“ว่ากันตามตรงนะ พวกชาวทะเลคงไม่สามารถรับมือข้าได้แม้แต่กระบวนท่าเดียวด้วยซ้ำ”
“ใช่ๆ ผู้คนพากันหวาดกลัวพวกมันมากเกินไป”
“ฮ่าฮ่า รอให้ข้ารวบรวมกำลังพลได้เสียก่อนเถิด รับรองว่าเจ้าสัตว์ประหลาดพวกนั้น คงวิ่งหนีกลับลงทะเลกันแทบไม่ทันเลยเชียว…”
“ถูกต้อง น่าเสียดายที่กำลังพลทางตอนใต้มีแต่พวกเศษสวะชั้นเลว สู้อย่างไรก็แพ้อยู่วันยังค่ำ เมื่อถูกยึดครองดินแดนไปเช่นนั้น น่าจะถูกฆ่าตายซะให้จบๆ ไป”
“มิผิด มีแต่กลุ่มคนที่เป็นเศษสวะทั้งสิ้น”
เมื่อสุราเข้าปาก ถ้อยคำที่ไม่ควรพูดก็หลุดร่วงออกมาจากปากผู้คนอย่างควบคุมไม่ได้
มันเป็นบทสนทนาที่ดังออกมาจากโต๊ะอาหารของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบเจ้าหน้าที่ประจำเมือง พวกเขากำลังพูดคุยด้วยความดูถูกเหยียดหยามเหล่านายทหารที่รักษาการอยู่ในเมืองทางตอนใต้ ซึ่งเป็นเขตชายแดนติดกับนครเจาฮุย
“หากข้าได้รับโอกาสให้ไปคุมกำลังคนที่นั่นนะ ข้าจะต้องปลุกใจชาวเมืองให้ลุกขึ้นมาสู้ด้วยความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ข้าจะแอบก่อกบฏโดยไม่ให้พวกชาวทะเลมันรู้ตัว และกว่าที่พวกมันจะไหวตัวทัน กองทัพของพวกมันก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่ข้าอย่างแน่นอน!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า มีผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าพี่เจามีพลังถึงขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 6 ซ้ำยังมีการวางกลยุทธ์ฉลาดเลิศล้ำ หากได้ลงสู่สนามรบ ก็จะต้องสร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรให้ทุกคนตกตะลึงเป็นแน่แท้”