ตอนที่ 654 ผู้หญิงข้าใครอย่า… เอ๋
เอ่อ…
ทำไมเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ เขาต้องคิดว่าเฉียนเหมยกับเฉียนเจินตกอยู่ในอันตรายเท่านั้นนะ ทำไมถึงไม่คิดว่าอาจจะเป็นหวังจงกับกงกงบ้างก็ได้?
อ้อ คงเป็นเพราะว่าหวังจงกับกงกงไม่ได้มีค่าในสายตาของเขาเลย ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงไม่เสียเวลานึกถึงแม้แต่นิดเดียว
แต่นี่ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก
เป็นความผิดของพวกหวังจงเองนั่นแหละ
หลินเป่ยเฉินพยายามคิดหาเหตุผลที่สามารถอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์
ในเวลาเดียวกันนี้ เด็กหญิงหลู่หลิงซินกับเด็กสาวหลิวเฉิงเหนียนก็ส่งเสียงกรีดร้องออกมาแล้วเช่นกัน
ความจริง พวกนางไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น รู้สึกเพียงแต่ว่าที่รอบเอวมีคนโอบรัด จากนั้นตัวก็ลอยขึ้นจากพื้นดิน
“ฮื่อ…”
หลู่หลิงซินพลันมีใบหน้าขาวซีดขณะส่งเสียงครางแผ่วเบาออกจากลำคอ
“รีบปล่อยพวกเราเดี๋ยวนี้นะ เจ้าบ้า…”
หลิวเฉิงเหนียนส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
ตัวคนยามที่ลอยขึ้นไปในอากาศ หน้าอกหน้าใจของนางจึงชี้ชันขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า”
หลินเป่ยเฉินว่า “เกิดเรื่องขึ้นแล้วน่ะสิ ก่อนหน้านี้ข้ารีบร้อนมาช่วยพวกเจ้า ทิ้งหญิงรับใช้ไว้ที่รถม้าข้างถนนตามลำพัง บัดนี้พวกนางมีปัญหาแล้ว พวกเราต้องรีบไปให้ถึงโดยเร็วที่สุด”
“อ๋อ…”
หลู่หลิงซินอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ
หลิวเฉิงเหนียนก็ไม่กล้าขยับตัวอีก
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง
เกือบเข้าใจผิดแล้วไหมล่ะ
แต่การที่ถูกพี่ชายท่านนี้โอบเอวรัดแน่นนั้น…
มันช่างน่าอายจริงๆ
เด็กสาวทั้งสองคนหันหน้ามองกัน ต่างก็พบความเขินอายปรากฏอยู่ในดวงตาของกันและกัน
ที่แท้พี่ชายก็มีเหตุผล
ตอนแรกที่ถูกโอบอุ้มขึ้นจากพื้นดินด้วยลักษณะที่หันหน้าเข้าหากัน พวกนางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นจากร่างกายของหลินเป่ยเฉินและหน้าอกของพวกนางก็บดเบียดเข้ากับหน้าอกของเขา…
หลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนสามารถรู้สึกได้ถึงมวลกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งของพี่ชายได้ด้วยซ้ำ
ช่างน่าอายอะไรขนาดนี้
เด็กสาวทั้งสองคนหันหน้ามองข้างทางด้วยความสับสนใจ
พวกนางได้ยินแต่เสียงลมที่พัดผ่านเข้าหู ภาพของสองข้างทางวิ่งผ่านไปด้านหลัง
ตัวคนลอยขึ้นๆ ลงๆ ในอากาศ นี่คือประสบการณ์ที่เด็กสาวไม่เคยพบเจอมาก่อน และมันช่วยเปิดประสบการณ์ทำให้พวกนางเหมือนได้เผชิญโลกใบใหม่
หลินเป่ยเฉินไม่กล้าใส่ใจรายละเอียดมากเกินไป
เขาโคจรพลังลมปราณ ใช้งานวิชาตัวเบา กระโดดหนึ่งครั้งพุ่งขึ้นสูงและลอยลงมาเหมือนดาวตก สองแขนโอบประคองเด็กสาวข้างละคน มุ่งหน้าตรงไปยังจุดที่จอดรถม้าทิ้งเอาไว้
เพียงพริบตาเดียว ถนนก็ปรากฏอยู่ในสายตา
เด็กหนุ่มเตรียมตัวต่อสู้
หลินเป่ยเฉินคาดเดาว่าตนเองกำลังจะต้องพบเจอการต่อสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่านอยู่ข้างหน้า
“พอได้แล้ว อย่าทำร้ายกันอีกเลย ได้โปรดหยุดเถิด…”
ห่างออกไปหลายร้อยวา ได้ยินเสียงเฉียนเจินตะโกนออกมา
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
แย่แล้วสิ
พวกนางคงพบเจออันตรายเข้าให้แล้ว
เฉียนเจินกรีดร้องด้วยความหวาดกลัวขนาดนี้ พวกนางคงเผชิญหน้ากับยอดฝีมือที่แท้จริง
หึ่ยยย
ใครกล้ามารังแกผู้หญิงของเขา หลินเป่ยเฉินจะฆ่าล้างโคตรมันทั้งตระกูล!
ดวงตาของเด็กหนุ่มกลายเป็นสีแดงก่ำ
รังสีอำมหิตแผ่ออกจากร่างกาย ในขณะที่พลังลมปราณระเบิดออกจากร่าง
หากเฉียนเหมยกับเฉียนเจินได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียว เขาจะทำให้ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ต้องลงไปอยู่ในหลุมศพ
รังสีอำมหิตของหลินเป่ยเฉินคือสิ่งที่หลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนก็สามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนเช่นกัน
พวกนางตัวสั่นเทาด้วยความตื่นตระหนกอยู่ในอ้อมแขนของหลินเป่ยเฉิน แต่เมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กสาวอีกหนึ่งคนที่อยู่ไม่ห่างไกล ทั้งสองก็เข้าใจว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร จึงทำให้อดตึงเครียดขึ้นมาไม่ได้
ก่อนหน้านี้ ตอนที่หลินเป่ยเฉินหยุดรถม้าเพื่อบริจาคเงินสิบเหรียญทองคำให้แก่หลู่หลิงซิน นางสังเกตเห็นว่าในห้องโดยสารของรถม้าคันนั้น มีเด็กสาวหน้าตาดีอีกสองคนนั่งมาด้วย
เด็กสาวคู่นั้นมีหน้าตาสวยหวาน ผิวพรรณผุดผ่อง
หากการที่หลินเป่ยเฉินรีบร้อนมาช่วยเหลือพวกนาง จะทำให้เด็กสาวทั้งสองคนนี้ต้องพบเจอโศกนาฏกรรมที่น่าเศร้าเข้าแล้วล่ะก็…
ถ้าอย่างนั้น หลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนก็คงไม่มีทางให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต
“หยุดนะ ใครก็ได้ช่วยด้วย…”
“กรี๊ด ตายแล้ว…”
“อย่าทำร้ายกันอีกเลย…”
“ใครก็ได้ช่วยมาหยุดที…”
เสียงกรีดร้องด้วยความตื่นกลัวของเฉียนเจินดังลอยมาตามสายลม…
หัวใจของหลินเป่ยเฉินเจ็บปวดเหมือนถูกคมมีดกรีดแทง
วูบ!
ปีกกระบี่งอกออกมาจากแผ่นหลังของเขา ความเร็วของเด็กหนุ่มจึงเพิ่มมากขึ้น เพราะเขาสามารถบินได้ในอากาศ
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็ใกล้ถึงแล้ว
แน่นอนว่าบริเวณที่จอดรถม้า เขาพบเห็นกลุ่มชายฉกรรจ์จำนวนถึง 70 คนกำลังยืนล้อมรอบอยู่ตรงนั้น
รถม้าจอดอยู่ตรงกลาง
ในอากาศเต็มไปด้วยฝุ่นตลบ
การต่อสู้อันดุเดือดยังคงไม่จบ
วูบ!
หลินเป่ยเฉินโอบกอดเด็กสาวทั้งสองคนทิ้งตัวลงไปเหมือนกับอุกกาบาตยักษ์
เขาระเบิดเสียงคำราม ดวงตาแดงก่ำ “ผู้หญิงข้าใครอย่า… เอ๋”
หลินเป่ยเฉินกำลังจะพูดคำว่า ‘แตะ’ แต่เสียงของเขาก็ขาดหายไปเสียก่อน
ดวงตาที่เบิกโตและเป็นสีแดงก่ำเพราะความโกรธแค้นพลันถูกแทนที่ด้วยความพิศวง
เพราะสถานการณ์ที่เห็นอยู่ตรงหน้า มันแตกต่างกับสิ่งที่เขาคิดราวฟ้ากับเหว
เด็กหญิงหลู่หลิงซินกับเด็กสาวหลิวเฉิงเหนียนซึ่งก่อนหน้านี้มีสีหน้าวิตกกังวล ก็กลับกลายเป็นสีหน้าแห่งความประหลาดใจเช่นกัน
เพราะว่า…
เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
พวกนางเข้าใจว่าตนเองอาจจะต้องพบเจอกับโศกนาฏกรรมที่แสนเศร้า หญิงรับใช้ของหลินเป่ยเฉินถูกกลุ่มชายฉกรรจ์รุมทำร้ายทุบตี และเหตุการณ์ครั้งนี้ พวกนางคงไม่มีทางลืมไปตลอดชีวิต
แต่สิ่งที่พบเห็นในสายตากลับแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง
หลินเป่ยเฉินยืนปากกระตุกอยู่ตรงนั้น
เขากำลังพบเห็นสิ่งใด?
สิ่งที่เด็กหนุ่มพบเห็นอยู่ก็คือเฉียนเหมยกำลังวิ่งพล่านไปทั่วเหมือนสุนัขป่าบ้าคลั่ง นางกำลังวิ่งไล่กวดนักรบในชุดเกราะสีดำสองคนด้วยความตื่นเต้นและสนุกสนาน
กำปั้นสีชมพูของนางต่อยออกไปไม่ต่างจากค้อนเหล็ก นักรบชุดเกราะดำทั้งสองคนนั้น อีกเพียงก้าวเดียวก็จะขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์แล้ว แต่บัดนี้ พวกเขามีใบหน้าบวมช้ำ ได้แต่ยกมือป้องกันศีรษะของตนเอง ส่งเสียงร้องโหยหวนเพราะไม่สามารถหลบหนีได้อีก
ข้างๆ กันมีนักรบประมาณหกคนนอนชักกระตุกเลือดฟูมปากอยู่บนพื้นดิน สภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย
เหมือนว่าพวกเขาก็ถูกเฉียนเหมยทำร้ายเช่นกัน
“อย่าทำเขาเลย เดี๋ยวพวกเขาจะตายเอานะ”
เฉียนเจินส่งเสียงตะโกนห้ามปรามเฉียนเหมยจากด้านข้าง
ในเวลาเดียวกันนี้ หวังจงกับกงกงก็ยืนอยู่ข้างรถม้าอย่างทำอะไรไม่ถูก