ตอนที่ 655 พวกเราไม่มีเวลาแล้ว
“นายท่าน? “เฉียนเจินอุทานออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นหน้าหลินเป่ยเฉิน “นายท่านช่วยพูดกับเฉียนเหมยหน่อยสิเจ้าคะ นางไม่ยอมรับฟังอะไรอีกแล้ว…”
หลินเป่ยเฉินยืนกะพริบตาปริบๆ ด้วยความรู้สึกประมาณว่า ‘นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?’
ไอ้เขาก็หลงอุตส่าห์เป็นห่วงแทบแย่
เขานึกว่า…
แต่ไม่เป็นไร ตราบใดที่สองสาวรับใช้ยังปลอดภัยดี ก็ถือว่าดีแล้วละนะ
“เอาล่ะ เฉียนเหมย”
หลินเป่ยเฉินตะโกนเสียงดัง “เล่นงานพวกมันให้หนักกว่านี้อีก พวกเรายังมีธุระต้องไปจัดการ… เร่งมือหน่อย”
เฉียนเจินถึงกับพูดอะไรไม่ออก
ที่นางบอกให้นายน้อยช่วยพูดกับเฉียนเหมย เฉียนเจินไม่ได้หมายถึงให้พูดเช่นนี้สักหน่อย
ผลั่ก!
ในที่สุด นักรบชุดดำทั้งสองคนนั้นก็ล้มลงไปนอนสลบอยู่บนพื้นดิน
“อิอิ นายท่านกลับมาแล้ว”
เฉียนเหมยพับแขนเสื้อและรีบวิ่งเข้ามาอธิบายด้วยความกระตือรือร้น “ไม่นานหลังจากที่นายท่านหายไป คนเหล่านี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาหมายจะจับตัวพวกเรา ข้ามองออกว่าพวกมันตั้งใจจะจับตัวข้ากับเฉียนเจินไปทำมิดีมิร้ายเป็นแน่แท้ เพราะฉะนั้น ข้าจึงสั่งให้พวกมันรีบไสหัวกลับไปซะ แต่พวกมันไม่ยอมทำตาม เหตุการณ์ก็เลยลงเอยเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ…”
เหล่าชายฉกรรจ์ที่นอนชักกระตุกเลือดฟูมปากอยู่บนพื้นดิน ต่างก็กระดูกแตกหักไปทั่วทั้งร่าง บัดนี้กำลังร้องไห้ออกมาโดยไม่มีน้ำตาแล้ว
นางบอกพวกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
“ไม่เลวเลยนี่”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าด้วยความพอใจ ก่อนพูดต่อ “ไม่เสียแรงที่เป็นคนรับใช้ประจำตัวข้า”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉียนเหมยก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
บนใบหน้าแทบจะปรากฏความเขินอายขึ้นมาเล็กน้อยด้วยซ้ำ
เพราะว่านายน้อยกำลังชื่นชมนาง
หลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนไม่รู้ว่าบัดนี้ตนเองควรรู้สึกเช่นไร ก่อนหน้านี้ พวกนางรู้สึกเป็นห่วงหญิงรับใช้ของหลินเป่ยเฉินแทบขาดใจ แต่เมื่อเหตุการณ์ผ่านพ้นไป เด็กสาวทั้งสองกลับรู้สึกว่าตนเองได้มาอยู่ในโลกใบใหม่ที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“พวกเราสายแล้ว”
หลินเป่ยเฉินกระโดดขึ้นไปบนรถม้า และเปิดประตูห้องโดยสารพร้อมกับพูดว่า “ไม่มีเวลาแล้ว พวกเรารีบไปกันเถอะ”
เฉียนเหมยกับเฉียนเจินกระโดดขึ้นห้องโดยสาร
หวังจงกับกงกงนั่งประจำที่สารถีหน้าห้องโดยสาร พวกเขาต่างก็หันมามองที่หลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนเป็นตาเดียว
เด็กสาวทั้งสองลังเลเล็กน้อย แต่เมื่อเห็นว่ารอบกายยังคงมีชายฉกรรจ์ในชุดเกราะยืนอยู่อีกหลายสิบคน พวกนางจึงตัดสินใจก้าวขึ้นห้องโดยสารไปด้วยเช่นกัน
“ไป!”
กงกงสะบัดสายแส้
รถม้าเคลื่อนที่ออกไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว
“พวกเจ้า… จะไปไหน… ไม่ได้ทั้งนั้น…”
ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งพยายามเข้ามาขวางทาง
แต่กลุ่มนักรบที่มาด้วยกันก็รีบเอามือมาปิดปากเขา และลากตัวเข้าข้างทางทันที
“เจ้าจะรนหาที่ตายหรืออย่างไร”
นักรบอาวุโสผายมือไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ที่นอนหมดสภาพอยู่บนพื้นดินและกล่าวว่า “เจ้าไม่เห็นหรือ? พวกมันไปแล้วเช่นนี้ก็ถือเป็นเรื่องที่ประเสริฐ เจ้าไม่เห็นแววตาของหญิงสาวนางนั้นหรือ ช่างน่ากลัวเหลือเกิน… และเจ้าดูหลุมบนพื้นดินที่เกิดขึ้นตอนเด็กหนุ่มคนเมื่อสักครู่นี้ทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศ เจ้าว่าจอมยุทธ์ที่มีระดับปรมาจารย์จะสามารถทิ้งร่องรอยไว้ได้ขนาดนี้หรือไม่?”
เมื่อชายฉกรรจ์ที่กระโดดออกไปขวางทางรถม้าได้คิดตามที่อีกฝ่ายพูด สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนแปลงเป็นตกตะลึงไปทันที
“พ่อหนุ่ม เจ้ามันวู่วามมากเกินไป” นักรบอาวุโสตบไหล่เป็นเชิงปลอบใจชายฉกรรจ์ ก่อนพูดว่า “ในอนาคต จงใช้สมองของเจ้าให้มากกว่านี้ อย่าทำอะไรวู่วามเด็ดขาด สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่จะแก้ไขได้…”
เขายกมือชี้ขึ้นท้องฟ้าและกล่าวต่อ “เจ้าจงลืมเรื่องนี้ไปเสียเถิด อย่าคิดถึงมันอีกเลย คนกลุ่มนี้เป็นบุคคลที่พวกเราไม่ควรตอแยด้วยเด็ดขาด”
ต่อมา นักรบอาวุโสก็หันไปชำเลืองมองกลุ่มชายหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้นดิน และผู้ที่นอนตาเหลือกชักกระตุกอยู่ตรงกลางนั้น ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจากเฉียนซานเซิ่ง
หนึ่งในบุคคลเสเพลประจำนครเจาฮุย ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเลวร้ายสักแค่ไหน คนคนนี้ก็สามารถสร้างปัญหาได้เสมอ
ทว่า นักรบอาวุโสจนปัญญาที่จะห้ามปราม เพราะตนเองก็ทำงานรับใช้ตระกูลเฉียน แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องดีเหมือนกัน มันคงเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับเฉียนซานเซิ่ง ซึ่งหลายคนอยากสั่งสอนมาตลอด แต่ไม่สามารถกระทำได้นั่นเอง
…
รถม้าวิ่งไปบนท้องถนนด้วยความเร่งรีบ
มีชาวบ้านเดินอยู่เป็นจำนวนมาก
แต่กงกงมีทักษะการขับรถม้ายอดเยี่ยมมาก เขาสามารถลบซ้ายเลี้ยวขวา ควบคุมรถม้าพุ่งตรงไปข้างหน้า โดยไม่ทำให้ชาวเมืองได้รับบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว
“บ้านของเจ้าอยู่ที่ใด?”
หลินเป่ยเฉินหันมามองหน้าเด็กสาวทั้งสองคน “ถ้าเป็นทางผ่าน เดี๋ยวข้าจะแวะไปส่ง”
หลิวเฉิงเหนียนมองตอบกลับมาด้วยแววตาวิตกกังวล
หลู่หลิงซินกลับยิ้มแย้มให้เขาอย่างสบายใจและบอกที่อยู่โดยไม่ปิดบัง
“นายท่านขอรับ บ้านของพวกนางอยู่คนละทางกับที่พวกเรากำลังจะไปเลยขอรับ”
เสียงของกงกงดังขึ้นจากด้านนอกห้องโดยสาร
“พี่ชายกำลังจะไปที่ไหนหรือเจ้าคะ?”
หลู่หลิงซินถามด้วยความสงสัย
นางเองก็ยังไม่อยากกลับบ้านเช่นกัน
ไม่รู้เพราะเหตุใด เด็กหญิงถึงเกิดความรู้สึกอยากจะติดตามพี่ชายหน้าหล่อคนนี้ไปเรื่อยๆ เพื่อดูว่าเขาจะทำสิ่งใดต่อไปกันแน่
หลู่หลิงซินมีความสงสัยเป็นอย่างมาก
“เจ้าระวังตัวหน่อยสิ…”
หลิวเฉิงเหนียนหันมาหลิ่วตาเป็นสัญญาณเตือน
หลู่หลิงซินหันกลับไปมองเด็กสาวรุ่นพี่ด้วยแววตาประมาณว่า “ข้ามั่นใจว่าปลอดภัย”
หลินเป่ยเฉินถอดแว่นกันแดดเก็บเข้าที่ จากนั้นจึงเหยียดขาบนม้านั่งในห้องโดยสารอันกว้างใหญ่ และรับการนวดไหล่นวดขาจากสองสาวรับใช้เฉียนเหมยกับเฉียนเจิน แต่ก็ไม่ลืมตอบคำถามจากเด็กหญิงว่า “ข้ากำลังจะไปที่วิหารประจำเมือง”
“พี่ชายจะไปที่นั่นทำไมหรือเจ้าคะ?”
หลู่หลิงซินถามออกมาด้วยความอยากรู้
หลินเป่ยเฉินก็ไม่ปิดบังเช่นกัน “ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ มันขึ้นอยู่กับสถานการณ์ แล้วก็คนที่ข้าจะได้พบเจอ แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้ที่ข้าจะไปที่นั่น เพื่อสังหารหัวหน้านักบวช”
ใบหน้าที่ทรงเสน่ห์ของหลู่หลิงซินพลันแข็งค้างขึ้นมาทันที
“เฮอะ ทำพูดดีไปได้”
หลิวเฉิงเหนียนยิ้มมุมปากและกล่าวว่า “ทำไมไม่บอกว่าจะไปสังหารท่านเจ้าเมืองเสียเลยล่ะ”
หลินเป่ยเฉินจุดบุหรี่ และพ่นควันใส่หน้าจิ้มลิ้มของหลิวเฉิงเหนียน เด็กสาวสำลักควันไอโขลกๆ หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็หัวเราะด้วยความชอบใจที่สามารถแกล้งนางได้สำเร็จ “ใช่ว่าข้าจะไม่ทำนะ หากท่านเจ้าเมืองของพวกเจ้าคิดช่วยเหลือลูกชายเศษสวะของตนเอง ข้าก็คงต้องสังหารเขาอย่างไม่มีทางเลือกเช่นกัน”
พูดมาถึงตรงนี้ เด็กหนุ่มก็มีสีหน้าจริงจัง เป็นการยืนยันว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
แต่เมื่อพูดจบแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
นี่มันอะไรกัน?
ทำไมจิตใจของเขาถึงเปลี่ยนไปอย่างนี้
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองอยากจะอยู่เงียบๆ หลีกเลี่ยงการก่อปัญหาไม่ใช่หรือ แล้วทำไมเขาถึงอยากจะไปสังหารหัวหน้านักบวชและท่านเจ้าเมืองผู้ปกครองนครหลวงประจำมณฑลด้วยล่ะ?
นี่มันอะไรกันเนี่ย!
เขาเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะ…