ตอนที่ 657 ไม่มีใครรู้จักเทพีกระบี่ดีไปมากกว่าข้าอีกแล้ว
หยดเลือดไหลลงมาจากหน้าผากของนักพรตใหญ่หลงเยว่
แต่คำพูดของนักบวชสาวฮัวห่วยกลับไม่สามารถกระตุ้นโทสะของหญิงชราได้อย่างที่คิด
ต้องเข้าใจก่อนว่านักพรตใหญ่หลงเยว่มีประสบการณ์ผ่านโลกมาแล้วมากมาย แม้จะเผชิญหน้าการยั่วโมโหของคุณชายเฉิน แต่นางก็ยังคงเยือกเย็นได้ราวกับเป็นภูเขาน้ำแข็ง
และนั่นก็ทำให้คุณชายเฉินโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น
ก่อนหน้านี้ เขาแอบคบหาอยู่กับนักบวชฮัวห่วยและชายหนุ่มก็แทบควบคุมตัวเองไม่ได้ มีครั้งหนึ่งเขาพานางไปพลอดรักบริเวณด้านหลังวิหารประจำเมือง แต่ก็ถูกหญิงชรานางนี้จับได้โดยบังเอิญ สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็คือคุณชายเฉินถูกขับไล่ออกจากตระกูล และกลายเป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของผู้คนไปทั่วทั้งเมือง
เขาเคยขอร้องให้นักพรตใหญ่หลงเยว่เห็นแก่ความรักที่เขามีต่อนักบวชฮัวห่วยสักครั้ง
แต่นางกลับสั่งลงโทษเขาอย่างรุนแรง
คุณชายเฉินต้องกลายเป็นคนเร่ร่อน กินนอนอยู่ข้างถนน ผู้คนมากมายต่างจ้องมองด้วยสายตาดูถูกดูแคลน และโลกใบนี้ก็เหมือนกับจะไม่มีพื้นที่สำหรับเขาอีกแล้ว
ดังนั้น คุณชายเฉินจึงสาบานกับตนเองว่าหากวันหนึ่งเขากลับมามีอำนาจอีกครั้ง เขาจะต้องแก้แค้นทุกคนที่เคยทำไม่ดีกับตนเองเอาไว้ และเขาจะทำให้พวกมันได้ชดใช้อย่างสาสม
บัดนี้ ความปรารถนาของคุณชายเฉินได้กลายเป็นจริงแล้ว
แม้แต่หัวหน้าตระกูลเฉินก็ยังต้องยอมคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา
แต่ชายหนุ่มก็ฆ่าล้างตระกูลของตนเองด้วยความเคียดแค้น เพราะเขายังจำได้ดีถึงความเจ็บปวดทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจตอนที่ตนเองถูกขับไล่ออกจากตระกูลโดยคนกลุ่มเดียวกันนี้
และบรรดาผู้ที่ไม่ยอมช่วยเหลือเขาหรือเคยดุด่าเขา ก็ต้องชดใช้ด้วยเช่นกัน
ในขณะนี้ คุณชายเฉินสามารถเดินเข้าออกวิหารประจำเมืองได้อย่างสบายใจ และถ้าเขาต้องการ ชายหนุ่มก็สามารถร่วมรักกับนักบวชฮัวห่วยได้ตรงหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่เลยด้วยซ้ำ
จะมีผู้ใดกล้าขัดขวางเขาอีก?
บัดนี้ คุณชายเฉินถูกแต่งตั้งให้เป็นผู้ที่ถูกเลือก กลายเป็นบุคคลที่มีสถานะสูงส่งมากที่สุดคนหนึ่งประจำเมืองเจาฮุย
ฮ่าฮ่าฮ่า
หรือว่าจะให้นักพรตใหญ่หลงเยว่มาหยุดยั้งเขา?
บุรุษหนุ่มก้มมองหญิงชราและเมื่อพบว่านางยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย หัวใจของเขาก็เร่าร้อนด้วยไฟแห่งความโกรธแค้นมากกว่าเดิม
“ข้ารู้ว่าเจ้าบำเพ็ญตบะมาหลายปี จึงมีอารมณ์ความรู้สึกเยือกเย็นผิดมนุษย์ทั่วไป แต่เจ้ารู้จักข้าน้อยเกินไปแล้ว”
คุณชายผู้มีนามเต็มๆ ว่าเฉินจินหัวเราะเยาะ “วันนี้ข้าจะสลายลมปราณและทำลายวรยุทธ์ทั้งหมดของเจ้าทิ้งไปซะ เชื่อเถิดว่าความโหดร้ายทุกอย่างที่เจ้าเคยเผชิญมาตลอดชีวิต มันเทียบไม่ได้เลยกับความโหดร้ายที่ข้าจะทำให้เจ้าต้องเผชิญต่อไปนี้ ข้าจะจับคนที่เจ้ารักมาทรมานต่อหน้าเจ้า ข้าจะหั่นแขนขาของพวกมันทีละชิ้น ทีละชิ้น จากนั้นข้าจะเอาใส่ปากให้เจ้ารับประทาน ฮ่าฮ่าฮ่า… ดูซิว่าเจ้าจะยังเยือกเย็นได้เหมือนเดิมอีกหรือไม่”
“ข้าไม่เคยต้องกลัวสิ่งใดเมื่ออยู่ภายใต้การคุ้มครองของเทพีกระบี่”
นักพรตใหญ่หลงเยว่พูดออกมาเสียงแผ่วเบา “คนเราเกิดมาล้วนมีโชคชะตาเป็นของตนเอง จิตใจของเจ้าถูกมารร้ายครอบงำ วิญญาณของเจ้าเต็มไปด้วยความคิดปีศาจ น่าเสียดาย… คงไม่มีใครช่วยเหลือเจ้ากลับมาได้อีกแล้ว”
“ช่วยเหลือข้าหรือ?” เฉินจินเงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะ “ข้าไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยเหลือทั้งนั้น”
พูดจบ เขาก็โบกสะบัดสายแส้ในมืออีกครั้ง
เพี๊ยะ!
โลหิตสาดกระจายออกมาจากร่างกายของหญิงชรา
โลหิตไหลซึมออกมาจากเสื้อคลุมทางด้านหลังของนางเปียกโชก
…
รถม้าเคลื่อนที่มาถึงเขตภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้ว
หลินเป่ยเฉินอดรู้สึกอิจฉาขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นกลุ่มผู้ศรัทธาคุกเข่าอยู่ตามทางเดินเป็นจำนวนมากเกินนับไหว
ถ้าเปลี่ยนกลุ่มคนเหล่านี้ให้กลายมาเป็นผู้ที่ศรัทธาในตัวเขาได้นะ… อื้อหือ พลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในตัวเขาก็จะเพิ่มมากขึ้น และก็อาจจะทำให้ปีกกระบี่คู่ที่สองงอกออกมาจากแผ่นหลังของเขาได้แน่นอน
กงกงยังคงควบคุมรถม้ามุ่งหน้าขึ้นเขาต่อไป
ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยหันมามองด้วยแววตาไม่พอใจ
เป็นคุณชายตระกูลใหญ่ผู้ใดกันคิดอยากจะนำรถม้าขึ้นไปบนภูเขา?
“ทำแบบนี้ไม่ดีสำหรับพวกเราเลยนะเจ้าคะ”
ในห้องโดยสารของรถม้า
เด็กหญิงผมเปียหลู่หลิงซินกล่าวเตือนด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “การนำรถม้าขึ้นมาบนเส้นทางสู่วิหาร ถือเป็นการลบหลู่เทพีกระบี่ชนิดหนึ่ง”
“ไม่เป็นไรหรอก”
หลินเป่ยเฉินเอนหลังพิงเบาะที่นั่งด้วยความสบายใจ ในเวลาเดียวกันนี้ก็หยิบโทรศัพท์ออกมาไถหน้าจอเล่นด้วยความเบื่อหน่าย “พี่ชายคนนี้เป็นถึงหัวหน้านักบวชประจำวิหารหยุนเมิ่ง การนำรถม้าขึ้นสู่ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ไม่ถือเป็นการลบหลู่แต่อย่างใด”
ตอนแรกวิหารประจำเมืองหยุนเมิ่ง ก็ไม่อนุญาตให้นำรถม้าขึ้นไปบนภูเขาเช่นกัน
แต่เมื่อเด็กหนุ่มขึ้นสู่ตำแหน่งหัวหน้านักบวช เขาก็เปลี่ยนแปลงกฎระเบียบหลายอย่าง
“แต่ว่า…”
เด็กสาวร่างสูงหลิวเฉิงเหนียนอดพูดออกมาไม่ได้ “ฟังนะ… พี่ชาย แต่ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้านักบวชเช่นกัน ท่านก็ควรแสดงความเคารพต่อเทพีกระบี่มากกว่าคนทั่วไปไม่ใช่หรือ?”
“เจ้าไม่ต้องกังวลไปหรอก”
หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์และกล่าวต่อ “ในโลกนี้ ไม่มีใครจะรู้จักเทพีกระบี่ดีมากไปกว่าข้าอีกแล้ว”
ฮ่าฮ่าฮ่า
ถ้าจะถามข้อมูลเกี่ยวกับเทพีกระบี่ หลินเป่ยเฉินเชื่อว่าตนเองรู้หมดทุกอย่าง
ในโลกวรยุทธ์แห่งนี้ ยังจะมีผู้ใดกล้าบอกว่ารู้จักเทพีกระบี่มากไปกว่าเขาอีกหรือ?
หลิวเฉิงเหนียนไม่พูดอะไรอีกแล้ว
สายตาของนางที่จ้องมองหลินเป่ยเฉินเต็มไปด้วยความสับสน
เด็กสาวนึกขอบคุณเขาที่ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเหลือพวกนางได้ทันเวลา
แต่หลินเป่ยเฉินกลับมีความโหดร้ายอำมหิตมากเกินไป บางครั้งถึงกับพูดจาออกมาโดยไม่ได้คิดไตร่ตรองให้ดีเสียก่อน
หลินเป่ยเฉินเล่นโทรศัพท์อยู่สักครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้ามองไปที่หลู่หลิงซิน เด็กหญิงผมเปียผู้น่ารัก
หลิวเฉิงเหนียนหัวใจกระตุกวูบ รีบขยับเข้ามาบังใบหน้าของเด็กหญิงรุ่นน้องเอาไว้ทันที พร้อมกับพูดว่า “ท่าน… อย่ามองเด็กน้อยด้วยสายตาเช่นนี้ได้หรือไม่? นางเป็นบุตรสาวอันเป็นที่รักของครอบครัว และอีกอย่างพวกเราก็มีคนรักอยู่แล้ว คนรักของพวกเรามีความสัมพันธ์อันดีกับ…”
“อ้าว…”
ใบหน้าของหลู่หลิงซินแดงระเรื่อขึ้นมาทันที “เดี๋ยวก่อนสิท่านพี่เฉิงเหนียน เหตุไฉนถึงได้พูดจาเหลวไหลเช่นนี้เล่า…”
หลิวเฉิงเหนียนสวนกลับไปว่า “เจ้ามองไม่ออกได้อย่างไรว่าพี่ชายท่านนี้กำลังหมายตาเจ้าอยู่?”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ
เขาชื่นชอบในตัวของหลิวเฉิงเหนียนเหลือเกิน
นางมีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และพร้อมที่จะปกป้องเด็กหญิงรุ่นน้องทุกหนทางไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น