ตอนที่ 658 คิดว่ามันจะจบแต่เพียงเท่านี้หรือ
“ความจริงที่ข้าอยากจะพูดกับพวกเจ้าก็คือ เราอาจไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกันก็ได้”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นมานั่งหลังตรงและปรับสีหน้าเป็นจริงจังมากขึ้น “ข้ามาจากเมืองหยุนเมิ่ง และข้ารู้จักกับพี่สาวของเจ้า หลู่หลิงโจว”
“อ๋อ… เมืองหยุนเมิ่ง”
สีหน้าของหลู่หลิงซินแปรเปลี่ยนไปในทันที
ความเศร้าโศกปรากฏขึ้นในแววตาสดใสคู่นั้น
ในที่สุดนางก็จำได้แล้ว
เมื่อไม่กี่วันก่อน พี่เขยได้กลับมาหาพ่อแม่ของนางพร้อมด้วยเถ้ากระดูกของพี่สาว และเมื่อจัดงานศพเสร็จเรียบร้อย พี่เขยก็เอาแต่คุกเข่าร้องไห้เหมือนเด็กน้อยอยู่ในลานหน้าบ้าน บางครั้งเขาก็จะเอ่ยชื่อของหลินเป่ยเฉินออกมาซ้ำๆ โดยไม่รู้ตัว
ตอนนั้น หลู่หลิงซินเองก็กำลังเสียใจกับการจากไปของพี่สาว นางจึงไม่ได้รับฟังว่าพี่เขยพูดอะไรออกมาบ้าง
เด็กหญิงจึงรู้สึกคุ้นชื่อหลินเป่ยเฉินมาโดยตลอด เหมือนเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน สุดท้ายนางก็นึกออกแล้ว
“ไม่ทราบว่าบัดนี้พี่หยางเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินสอบถาม
เด็กหญิงพยักหน้า ก่อนกระซิบตอบ “พี่เขยเอาแต่คุกเข่าอยู่หน้าป้ายเคารพวิญญาณของพี่สาวข้าตลอดเวลา เขาไม่กินไม่ดื่มมาหลายวันแล้ว ตัวคนสูญเสียเรี่ยวแรงไปจำนวนมาก บิดามารดาข้าให้อภัยเขา แต่พี่เขยบอกว่าเขาให้อภัยตัวเองไม่ได้ เพราะเขาไม่สามารถปกป้องพี่สาวของข้าได้สำเร็จ…”
พูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงของหลู่หลิงซินก็เริ่มสั่นเครือขึ้นมาแล้วเช่นกัน
ตั้งแต่ตอนเป็นเด็กน้อย พี่สาวรักนางมากมาย
ทุกครั้งที่บิดามารดาดุนาง พี่สาวก็จะคอยปกป้อง
เมื่อพบว่าพี่เขยปรากฏตัวกลับมาอีกครั้งพร้อมด้วยโถใส่เถ้ากระดูกของพี่สาว หลู่หลิงซินก็รู้สึกเหมือนตนเองกลับไปเป็นเด็กน้อยอีกครั้ง ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เด็กหญิงพยายามหาหลายสิ่งหลายอย่างทำ ไม่ว่าจะเป็นการเดินเรี่ยไรขอรับเงินบริจาค การช่วยศิษย์ร่วมสำนักทำการบ้าน หรือการฝึกซ้อมขับร้องบทเพลง… และเมื่อมีหลายสิ่งหลายอย่างให้ทำอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ นางจึงไม่มีเวลาไปคิดถึงพี่สาวที่ตายแล้วอีก
แต่บัดนี้ เมื่อหลินเป่ยเฉินสะกิดแผลในใจ ความทรงจำทั้งหมดก็พรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
เด็กสาวถูกความเศร้ากลืนกิน
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
ปกติเขาก็เป็นคนที่ปลอบโยนใครไม่เก่งอยู่แล้ว
“ข้าขอโทษ”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจและพูดว่า “ข้าก็โทษตัวเองเช่นกันที่ไม่สามารถปกป้องพี่สาวของเจ้าได้”
หลู่หลิงซินยกมือปาดน้ำตา หยุดร้องไห้ พยายามปรับน้ำเสียงให้กลับมาหนักแน่นเหมือนเดิมตอนที่พูดว่า “สงครามครั้งนี้มีคนตายในทุกๆ วัน ข้าคิดว่าท่านพี่ของข้าคงไม่เสียใจกับการตัดสินใจของนางหรอก ไม่ว่าจะเป็นการหนีตามพี่หยางไปเข้าร่วมกลุ่มกบฏเพื่อขับไล่ชาวทะเล หรือว่าการต่อสู้เพื่อปกป้องแผ่นดินเกิด นี่คือสิ่งที่นางตัดสินใจแล้ว… ข้าเป็นเพียงคนที่อยู่ในเมืองใหญ่ และเห็นผลร้ายของสงครามมากมาย มีนายทหารต้องตายเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แม้แต่ศพของพวกเขาก็ยังกลายเป็นอาหารของชาวทะเล… หากอายุของข้าถึงกำหนดเมื่อไหร่ ข้าก็จะสมัครเข้ากองทัพเหมือนที่พี่สาวของข้าเคยทำเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินมองเด็กหญิงหน้าตาน่ารักผู้มีดวงตาสดใสคนนี้ด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย
แม้ตัวเขาเองจะเป็นคนที่ทะลุมิติมาจากโลกอื่น แต่เด็กหนุ่มก็เข้าใจความรู้สึกของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี
เพราะแม้แต่บนโลกมนุษย์ที่เขาจากมา เรื่องราวที่คล้ายคลึงกันนี้ก็เกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน
“พี่เขยได้นำคัมภีร์สร้างแขนกลเทพเจ้าดาวเหนือออกมาให้บิดาของข้าดู เขาบอกว่ามันเป็นสมบัติล้ำค่าชนิดหนึ่ง”
หลู่หลิงซินพูดออกมาอีกครั้ง “บิดาของข้ากำลังเสียใจกับการจากไปของพี่สาวก็จริง แต่เมื่อเห็นเนื้อหาในคัมภีร์เล่มนั้น บิดาก็อดตกตะลึงไม่ได้ แขนกลและอวัยวะเทียมเหล่านั้นคือสิ่งที่จะพลิกโฉมการทำสงครามต่อจากนี้ บิดาของข้าจึงรีบร้อนออกจากบ้าน และไปที่ศูนย์บัญชาการกองทัพด้วยความตื่นเต้น แต่ข้าไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว… จึงไม่ทราบว่าข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงหูของคนนอกได้อย่างไร วันนี้ที่ศิษย์พี่เฉิงเหนียนกับข้าถูกลักพาตัวก็เพราะคัมภีร์เล่มนี้นั่นเอง”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
ถ้าไม่มีกระแสลม แล้วจะมีคลื่นได้อย่างไร
เห็นทีพื้นที่เขตห้าของนครเจาฮุยคงมีความเน่าเฟะมากกว่าที่คิดเสียแล้ว
“คุณชายไต้ก็เดินทางไปพร้อมกับพี่เขยของเจ้าด้วย ไม่ทราบว่าเจ้าได้พบเจอเขาหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาเพราะเพิ่งจะนึกขึ้นได้
แต่หลู่หลิงซินกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “พี่เขยของข้ากลับบ้านมาเพียงลำพังนะเจ้าคะ ไม่ได้มีคุณชายไต้อะไรของท่านติดตามมาด้วยเลย”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก
ไต้จือฉุนไม่ได้ตามไปด้วยอย่างนั้นหรือ?
เกิดอะไรขึ้น?
เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชอบกล
แต่ในทันใดนั้นรถม้าก็หยุดลง
“ถึงแล้วขอรับ นายท่าน”
เสียงของกงกงดังขึ้นนอกห้องโดยสาร
รถม้าของพวกเขามาจอดอยู่บนลานจัตุรัสหน้าวิหาร
หลินเป่ยเฉินเดินลงมาจากห้องโดยสารพร้อมด้วยเด็กสาวหน้าตาดีถึงสี่คน แต่กลับไม่มีใครให้ความสนใจมาที่เขาเลย
นั่นเป็นเพราะว่าพิธีบูชาเทพีกระบี่ในลานจัตุรัสเพิ่งจะจบลง และชาวเมืองหลายพันคนเพิ่งจะลุกขึ้นยืน กลุ่มคนจำนวนมากเดินไปเดินมาสร้างความวุ่นวายและบรรยากาศที่อึกทึกคึกคัก ระหว่างการประกอบพิธีเมื่อสักครู่นี้ พวกเขารู้สึกได้ถึงพลังจากเทพีกระบี่ที่แท้จริง บัดนี้จึงอดพูดคุยกันด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
“ขนาดสาวกของเทพีกระบี่ก็ยังขี้โม้เลยนะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินส่ายหัวเมื่อได้ยินถ้อยคำเกินจริงหลายประโยค
ทำไมคนที่เคร่งศาสนาถึงกลายเป็นพวกเพี้ยนได้ขนาดนี้นะ?
เขารู้สึกเหมือนคนเหล่านี้เป็นพวกคลั่งศาสนาสุดโต่งอย่างไรชอบกล
เด็กหนุ่มหันหน้ามองมาที่หวังจงและถามว่า “นักพรตใหญ่หลงเยว่รับโทษอยู่บริเวณใด?”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจจะไปพบผู้มีพระคุณของตนเองก่อน หลังจากนั้น ค่อยจัดการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในวิหารทีหลัง
“นายน้อยได้โปรดตามหวังจงมาขอรับ”
หวังจงฉีกยิ้มและนำทางด้วยความประจบเอาใจ
หลายวันที่ผ่านมา หวังจงสืบข่าวอยู่ในเมือง จนได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับนักพรตใหญ่หลงเยว่ทุกๆ อย่าง ชายชรารู้มาว่าบัดนี้นักพรตใหญ่หลงเยว่ถูกลงโทษอยู่ทางเนินเขาด้านข้างวิหาร จึงรีบนำทางหลินเป่ยเฉินตรงไปที่นั่นทันที
ขั้นบันไดหินลาดชันและคดเคี้ยว
บริเวณเนินเขามีลมแรง
ไม่นานต่อมา เด็กหนุ่มก็มาถึงพื้นที่ด้านข้างเนินเขา
มีขั้นบันไดหินทอดยาวลงไป
“ข้างหน้านี่แหละขอรับนายน้อย”
หวังจงผายมือ
แล้วในทันใดนั้นเอง…
“ฮ่าฮ่าฮ่า นางเฒ่า เจ้าคิดว่ามันจะจบแต่เพียงเท่านี้หรือ?”
เสียงหัวเราะที่เย็นชาลอยมากับสายลม
“เจ็บปวดแค่ทางร่างกายยังถือว่าน้อยเกินไป วันนี้ข้าอยากให้เจ้าลองรับประทานดูว่าอาจมที่อยู่ในถังนั้นมีรสชาติเป็นอย่างไร เจ้าจงกินมันเข้าไปเดี๋ยวนี้”
สีหน้าของหลินเป่ยเฉินพลันเปลี่ยนแปลงไปทันที