สีหน้าของเฉินจินแปรเปลี่ยนไปทันที
เขาเคยได้ยินชื่อของหลินเป่ยเฉิน
แต่ไม่เคยได้พบเห็นตัวจริง
เพราะฉะนั้น เขาจึงจำเด็กหนุ่มไม่ได้
แต่เมื่อได้ยินนักบวชสาวฮัวห่วยเอ่ยชื่อนี้ออกมา คุณชายเฉินจินก็แทบจะเป็นลมด้วยความหวาดกลัว
คนสนิทของนักพรตใหญ่หลงเยว่นอกจากนักพรตหญิงชินกับเยว่เว่ยหยาง ก็ยังมีหลินเป่ยเฉินอีกหนึ่งคน
นักบวชทุกคนของวิหารประจำเมืองเจาฮุย ล้วนแต่เคยได้ยินชื่อของเด็กหนุ่มผู้นี้มาทั้งสิ้น
ว่ากันว่าหลินเป่ยเฉินตอนที่อยู่ในเมืองหยุนเมิ่ง เขาเคยใช้ร่างกายเป็นที่สถิตย์ของวิญญาณเทพีกระบี่หลายต่อหลายครั้ง เรียกได้ว่าเป็นร่างทรงเทพเจ้าคนโปรดของเทพีกระบี่ก็ว่าได้
ก่อนหน้านี้ เคยมีข่าวลือว่าหลินเป่ยเฉินนำพาผู้คนอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เขตสองของนครเจาฮุย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เฉินจินต้องรีบมาคิดบัญชีแค้นกับนักพรตใหญ่หลงเยว่ ชายหนุ่มตั้งใจว่าหลังจากนี้จะหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับหญิงชราทุกทางที่ทำได้ เพราะอีกไม่นาน หลินเป่ยเฉินจะต้องบุกเข้ามาช่วยเหลือนางแน่นอน
แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหลินเป่ยเฉินจะบุกเข้ามาเร็วขนาดนี้
เดิมทีเฉินจินมีความมั่นใจว่าหากต้องเผชิญหน้ากัน ตัวเขาก็พอมีฝีมือต่อสู้กับหลินเป่ยเฉินได้อย่างสูสี
เพราะไม่มีสิ่งใดที่เฉินจินต้องหวาดกลัวเลย
แต่เมื่อได้เผชิญหน้ากันจริงๆ
บัดนี้ เฉินจินเพียงอยากหลบหนีให้สำเร็จเท่านั้น
แม้ขาซ้ายของเขาจะขาดไปแล้ว แต่ความหวาดกลัวที่เกิดขึ้นก็ทำให้ชายหนุ่มลืมความเจ็บปวดไปหมดสิ้น เขาโคจรพลังลมปราณที่มีอยู่ในร่างกาย สะกิดเท้าขวาลงบนพื้นดิน และดีดตัวไถลไปข้างหลัง…
“พวกเราขวางมันเอาไว้”
เฉินจินถอยหลังไปด้วยพร้อมกับร้องตะโกนออกคำสั่งไปด้วย
ชายฉกรรจ์ในชุดนักบวชอีกหลายคนปรากฏตัวออกมาอย่างรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินกระทืบเท้าซ้ายลงไปบนพื้นหิน
ทันใดนั้น รากไม้และเถาวัลย์ที่ขึ้นรกครึ้มอยู่ข้างทางก็ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วราวกับเป็นงูเหลือมสีเขียวมรกต รากไม้เหล่านั้นเกี่ยวกระหวัดรัดพันขาและเท้าของบรรดาชายฉกรรจ์ล้มกลิ้งลงไปคนแล้วคนเล่า
“ย๊ากกก”
หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ระเบิดเสียงคำรามออกจากลำคอ
เขาระเบิดพลังลมปราณ
พยายามหลบหนีออกจากพันธนาการของรากไม้และเถาวัลย์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาก็คือ…
กร๊อบ!
ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักไปทั่วร่าง
รากไม้เหล่านี้เดิมทีสมควรมีความเปราะบางเป็นอย่างยิ่ง แต่บัดนี้พวกมันกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าเหล็กกล้า เมื่อเพิ่มแรงบีบรัดมากขึ้น เสื้อผ้าของชายฉกรรจ์ก็ฉีกขาด คมของรากไม้กัดกินลงไปในเนื้อหนัง ทำให้กระดูกแตกหักมากขึ้นและมากขึ้น…
“อ๊าก…”
“ย๊ากกก ขาของข้า!”
ใบหน้าของกลุ่มชายฉกรรจ์บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด พวกเขาส่งเสียงร้องโหยหวนเหมือนหมูถูกเชือด
ทุกคนได้แต่คุกเข่าลงไปบนขั้นบันไดหิน
“คิดจะหลบหนีไปไหน?”
หลินเป่ยเฉินมองไปยังเฉินจินที่ใช้ขาเพียงข้างเดียวหลบหนีขึ้นไปบนบันไดชั้นบนได้หลายสิบขั้นแล้ว แววตาของเขาแข็งกร้าว พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “กลับมารับประทานอุจจาระของเจ้าให้หมดเดี๋ยวนี้”
แล้วเถาวัลย์ข้างทางที่มีขนาดเท่ากับท่อนแขนคน เมื่อโคจรพลังลมปราณใส่เข้าไป มันก็เลื้อยตรงเข้าไปหาคุณชายเฉินจินด้วยความรวดเร็วราวกับเป็นอสรพิษสีเขียวสด…
“อ๊าก ไม่นะ ไม่!”
เฉินจินส่งเสียงร้องด้วยความสยองขวัญ
แต่เถาวัลย์ที่เลื้อยเข้าไปนั้นก็เกี่ยวพันขาข้างเดียวของเขาได้อย่างแม่นยำ คุณชายเฉินจินถูกยกตัวขึ้นห้อยหัวกลางอากาศ ก่อนจะโดนลากกลับมาลอยอยู่เหนือถังอุจจาระใบที่สอง!
“ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ หลินเป่ยเฉิน ข้ารู้จักเจ้า… เหวอ โอ๊กกก…”
เฉินจินสัมผัสได้ถึงกลิ่นเหม็นเน่าที่ลอยขึ้นมาจากถังไม้ จึงอาเจียนออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่ชอบใจ “บัดซบ แค่พูดชื่อของข้า เจ้าก็อ้วกแตกเลยหรือ?”
นี่มันเท่ากับเป็นการดูถูกกันชัดๆ
หลินเป่ยเฉินทนไม่ไหวอีกต่อไป
“แบบนี้ต้องสั่งสอน”
เด็กหนุ่มควบคุมเถาวัลย์ให้หย่อนศีรษะของเฉินจินต่ำลงไปใกล้ถังอุจจาระมากขึ้นและมากขึ้น
เฉินจินพยายามดิ้นรนด้วยความตื่นตระหนก “ได้โปรด เจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรวู่วาม ฟังสิ่งที่ข้ากำลังจะพูดก่อน ข้าก็มีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือกเช่นกัน ข้าเป็นลูกศิษย์ของหัวหน้านักบวช เจ้าอยากได้อะไรบอกข้ามาได้เลย… เพียงแต่ว่า… อื้อหือ… ครั่กๆๆๆ”
ประโยคต่อมาหลังจากนั้นฟังไม่รู้เรื่องอีกแล้ว
เพราะศีรษะของคุณชายเฉินจินถูกจุ่มลงไปในถังไม้เรียบร้อย
ไม่มีใครทราบว่าเขากำลังจะพูดสิ่งใดออกมา
เพราะทุกคนที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างก็ตื่นเต้นตกใจมากเกินไปจนทำอะไรไม่ถูก
ในเวลาเดียวกันนี้
“พรวด… กรี๊ดดดด”
เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูดังขึ้น
ปรากฏว่านักบวชสาวซึ่งตกลงไปในถังอุจจาระใบแรกนั้น สามารถปรับองศาร่างกายและยื่นศีรษะขึ้นมาจากถังไม้ได้สำเร็จ
ใบหน้าที่เคยสวยงามเย้ายวนใจ บัดนี้กลับถูกย้อมไปด้วยคราบของเหลวสีดำข้นเหมือนซอสถั่วเหลือง หนอนจำนวนมากไต่ยั้วเยี้ยอยู่บนใบหน้า นักบวชสาวฮัวห่วยกรีดร้องออกมาสุดเสียง แสดงออกชัดเจนถึงความตกตะลึงและหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
จังหวะนี้ พ่อบ้านหวังจงวิ่งตามลงมาจากขั้นบันไดชั้นบนมาถึงพอดี
“นายน้อยขอรับ หวังจงมาแล้ว หวังจงมาช่วยนายน้อยแล้ว…”
“คำว่าจงในชื่อของหวังจงมาจากคำว่าจงรักภักดี นายน้อยเปรียบเสมือนลูกชายของหวังจง ไม่ว่าใครก็ตามมีปัญหากับนายน้อย ก็เท่ากับว่ามีปัญหากับหวังจงด้วย หวังจงจะต้องจัดการ… อื้อหือ โอ๊กกกก!”
ตอนแรก พ่อบ้านหวังจงก็วิ่งลงมาด้วยความกระตือรือร้น
แต่แล้วสิ่งที่เขาพบเห็นก็คือนักบวชสาวฮัวห่วยกำลังนั่งแช่อยู่ในถังอุจจาระ
สีหน้าของชายชราแปรเปลี่ยนไปทันที
น่าขยะแขยงเหลือเกิน
ดังนั้น พ่อบ้านหวังจงจึงหมุนตัววิ่งหนีกลับขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง
แต่วิ่งได้ไม่กี่ก้าว ท้องไส้ของชายชราก็ปั่นป่วน สุดท้ายเขาก็ต้องแวะอาเจียนอยู่ข้างทาง อาเจียนทุกอย่างออกมาจากกระเพาะหมดไส้หมดพุง
“เอ๋ พ่อบ้านหวัง ท่านเป็นอะไรไป…”
“มีเรื่องอะไรหรือ?”
“เกิดอะไรขึ้น?”
เฉียนเหมย เฉียนเจิน หลู่หลิงซินและหลิวเฉิงเหนียนที่วิ่งตามหลังลงมา ทันเห็นเพียงแต่ว่าหวังจงกำลังนั่งอาเจียนอยู่ข้างทาง พวกนางจึงรีบเข้าไปถามด้วยความสงสัย
หวังจงใบหน้าซีดขาว ชี้มือไปยังทิศทางที่ตั้งของถังอุจจาระด้านล่างโดยไม่เหลียวหน้ามองกลับไป
เด็กสาวทั้งสี่คนหันมองไปตามทิศทางการชี้มือของชายชรา
“หืม…”
“แหวะ น่าขยะแขยงเกินไปแล้ว”
“ทำไมคนเราต้องรับประทานอุจจาระแบบนั้นด้วย?”
“โอ๊ย เสียสายตาจริงๆ…”
สภาพจิตใจของเด็กสาวทั้งสี่ย่อมทนทานความอุจาดตาได้น้อยกว่าหวังจง เพียงมองเห็นจากระยะไกลเท่านั้น โลกทั้งใบของพวกนางก็เหมือนกับจะถล่มทลายลงมา และสุดท้าย กลุ่มเด็กสาวก็ต้องมานั่งอาเจียนข้างทางเป็นเพื่อนหวังจง!
มุมปากของหลินเป่ยเฉินกระตุกไม่หยุด
แย่จริง
ทำไมมันถึงได้น่าสะอิดสะเอียนแบบนี้เนี่ย
กลิ่นก็เหม็นหึ่งไปหมด
ถ้ามีคนกำลังรับประทานอาหารมาพบเห็นสิ่งนี้เข้านะ…
เพียงแค่คิด เด็กหนุ่มก็รู้สึกท้องไส้ปั่นป่วนเหมือนจะอาเจียนออกมาอีกคนแล้ว
เอาเถอะ พอแค่นี้ดีกว่า
เถาวัลย์หลายเส้นเลื้อยไปที่ถังไม้ของนักบวชสาวฮัวห่วย ก่อนจะดึงนางขึ้นมาจากในถัง และลากตรงไปยังน้ำตกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ข้างภูเขา
สำหรับกับคุณชายเฉินจินก็เช่นกัน
หนึ่งบุรุษและหนึ่งนักบวชสาวถูกโยนลงไปชำระล้างร่างกายที่น้ำตกแห่งนั้น
พวกเขาตัวเปียกตั้งแต่หัวจรดเท้า
ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความขยะแขยงและหวาดผวา
“ไม่ทราบว่ารสชาติอร่อยหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินก้มหน้าถามโจทก์ทั้งสองคน
เฉินจินและนักบวชสาวฮัวห่วยพร้อมใจกันส่ายศีรษะทันที
หลังจากนั้น พวกเขาก็คุกเข่าลงไปบนพื้นดิน อ้าปากออก แต่พูดอะไรไม่ได้
สุดท้าย ก็ได้แต่อาเจียนนำทุกอย่างที่อยู่ในท้องออกมา แม้แต่น้ำดีก็แทบจะไม่มีเหลือ…
“เมื่อสักครู่ ข้าได้ยินพวกเจ้าบังคับขู่เข็ญผู้อื่นให้รับประทานสิ่งที่อยู่ในถังอุจจาระใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินพูดกับชายหญิงคู่นี้อย่างไร้ความปราณี “บัดนี้ ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าได้รับประทานพวกมันสดๆ บ้าง ถ้าพวกเจ้าสามารถรับประทานได้ เรื่องราวครั้งนี้ก็จะถือว่าเลิกแล้วต่อกัน แต่ถ้าพวกเจ้ารับประทานไม่ได้ ข้าก็จะส่งพวกเจ้าลงนรก”
หลังจากหยุดเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็พูดออกมาอีกครั้ง “เฉียนเหมย เข้มแข็งหน่อย เลิกอาเจียนได้แล้ว เอายามาให้ท่านนักพรตใหญ่หลงเยว่รักษาอาการบาดเจ็บเดี๋ยวนี้…”
“รับทราบ… เจ้าค่ะ… นายท่าน…”
เฉียนเหมยเดินโซเซเข้ามาประคองนักพรตใหญ่หลงเยว่ด้วยใบหน้าซีดขาว ก่อนจะนำยาลูกกลอนออกมาให้หญิงชรารับประทานเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักพรตใหญ่หลงเยว่
แต่เมื่อนางส่งเสียงครางในลำคออีกครั้ง เลือดก็ไหลทะลักออกมาจากข้อมือและข้อเท้า
เฉียนเหมยสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ “ข้าน้อยยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะเจ้าคะ…”
พลัน เสียงที่แข็งกระด้างดังขึ้นจากข้างเนินเขาว่า “หลินเป่ยเฉิน มือและเท้าของนักพรตหลงเยว่ถูกจองจำด้วยตรวนคนบาป ทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่เพียงแค่ข้าโคจรพลัง ข้าก็สามารถใช้ตรวนเหล่านั้นหักมือหักเท้านางได้แล้ว”
นักบวชสาวฮัวห่วยเริ่มกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง
เมื่อสักครู่นี้ตอนที่ได้ยินชื่อของหลินเป่ยเฉิน นักบวชสาวมัวแต่ตกตะลึง จนพลาดท่าเสียทีให้แก่เด็กหนุ่มอย่างไม่ควรจะเป็น แต่ครั้งนี้ นักบวชสาวฮัวห่วยกลับมามีความเยือกเย็นสุขุมดังเดิม นางรู้ดีว่าตนเองได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม เพราะนางคือผู้เดียวเท่านั้น… ที่สามารถควบคุมตรวนคนบาปได้ตามใจชอบ!
“เจ้าคุกเข่าให้กับข้าก่อนสิ บางทีข้าอาจจะเลิกทรมานหญิงชรานางนี้ก็ได้”
นักบวชฮัวกัดฟันกรอดด้วยความเคียดแค้น
“ตรวนคนบาป?”
หลินเป่ยเฉินทวนคำเสียงดัง “เจ้าหมายถึงสิ่งนี้ใช่หรือไม่?”
ในมือของเด็กหนุ่มไม่รู้ว่ามีตรวนหนามสีดำทมิฬสี่ชิ้นอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ “เจ้าสามารถใช้พลังของตนเองควบคุมมันได้อย่างนั้นหรือ?”
นักบวชสาวฮัวห่วยเบิกตาโตตะลึงลาน
“เจ้าสามารถ… ปลดมันได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ผู้ที่จะสามารถปลดตรวนคนบาปได้ จำเป็นต้องมีพลังศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แล้วเจ้า…”
นักบวชสาวอ้าปากพะงาบๆ ด้วยความเหลือเชื่อ
ก่อนที่นางจะแสดงสีหน้าตื่นตระหนกออกมา
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย