ตอนที่ 663 ช่วยเหลือเยว่เว่ยหยาง
“ว่าไงนะขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ถึงกับอุทานออกมาด้วยความร้อนใจ “เยว่เว่ยหยางตกอยู่ในอันตรายหรือขอรับ? วิญญาณของนางถูกจองจำ? แล้วกายเนื้อของนางถูกขังอยู่ที่ไหนนะขอรับ?”
นักพรตใหญ่หลงเยว่หยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถามว่า “เรื่องเหล่านี้… เจ้าไม่รู้หรือ?”
หัวใจของหลินเป่ยเฉินกระตุกวูบ
แย่แล้วสิ
ตอนที่เขาเรียนตำราที่เกี่ยวข้องกับตำนานเทพเจ้าทั้งหลายกับนักพรตหญิงชิน หลินเป่ยเฉินไม่ได้ให้ความสนใจที่บทเรียนเลยสักนิด เพราะสมาธิของเขาตกไปอยู่กับใบหน้าที่สวยงามของอาจารย์ผู้เป็นคนสอนหนังสือ ดังนั้น สิ่งที่เขาควรรู้ หลินเป่ยเฉินจึงยังไม่รู้
แต่เขาจะปล่อยให้ตัวเองถูกจับได้ไม่ได้เด็ดขาด
“เอ่อ ท่านป้าขอรับ นี่ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาคุยเรื่องรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ กันแล้วนะขอรับ” เด็กหนุ่มเสแสร้งแกล้งพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนใจ “ในเมื่อเยว่เว่ยหยางตกอยู่ในอันตราย ข้าก็จะไม่ไปไหนทั้งสิ้น หลินเป่ยเฉินคนนี้ไม่เคยปล่อยให้พวกพ้องของตนเองต้องตกระกำลำบากเพียงลำพัง ในเมื่อท่านรู้จักค่ายอาคมของที่นี่ดี ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาร่วมมือกัน ท่านกับข้าบุกเข้าไปช่วยเหลือนางออกมาเถิดขอรับ”
นักพรตใหญ่หลงเยว่ส่ายหน้าปฏิเสธคำขอที่แสนอันตรายนี้
หลินเป่ยเฉินพูดออกมาอีกครั้ง “อีกอย่าง ข้าจำเป็นต้องใช้แรงศรัทธาของสาวกวิหารหลวงเพื่อเปิดช่องทางการสื่อสารกับเทพีกระบี่ หากข้าลงจากภูเขาไปตอนนี้ เกรงว่าคงไม่สามารถติดต่อกับท่านเทพีได้อย่างที่ท่านคาดหวัง แต่ในขณะที่ยังอยู่บนภูเขา ข้าสัมผัสได้ถึงพลังงานของท่านเทพีอย่างชัดเจน ข้าจึงมั่นใจว่าอีกเพียงไม่นาน ก็จะต้องสื่อสารกับท่านเทพีกระบี่ได้แน่นอนขอรับ”
นักพรตใหญ่หลงเยว่ได้ยินดังนั้น สีหน้าก็เกิดความลังเลใจขึ้นมา
“เจ้าพูดจริงหรือ?”
นางถามด้วยแววตาจริงจัง
เพราะนี่คือเรื่องใหญ่
หากสิ่งที่หลินเป่ยเฉินพูดเป็นความจริง การให้เขาอยู่ต่อบนวิหารแห่งนี้ ย่อมมีประโยชน์มากกว่าให้หลบหนีลงไปจากภูเขา
“จริงแท้แน่นอนขอรับ”
หลินเป่ยเฉินโกหกได้เต็มปากเต็มคำโดยไม่มีพิรุธใดๆ ทั้งสิ้น
ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสามารถพิเศษของเขาก็ว่าได้
“ทว่า…”
นักพรตใหญ่หลงเยว่พูด “อยู่ที่นี่ต่อไปมันอันตรายมาก เจ้าอาจจะต้องเอาชีวิตมาทิ้งก็ได้”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอเล็กน้อย
เขาไม่เชื่อว่าตนเองจะเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่
เพราะเขามีไพ่ตายอยู่ในมือหลายใบ… ไม่ว่าจะเป็นปืนอินทรีหิมะ ปืนยิงจรวด Type 69 ปืนไรเฟิล 98k รวมไปถึงโทรศัพท์มือถือคู่กาย…
หึหึ
เขาอาจจะยังสังหารหัวหน้านักบวชประจำเมืองคนปัจจุบันไม่ได้ก็จริง
แต่หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองไม่มีทางพลาดท่าเสียทีจนถูกฆ่าตายเด็ดขาด
“การตายในวิหารเทพีกระบี่ถือเป็นโชคชะตาฟ้าลิขิต อย่างน้อยก็ดีกว่าตายที่อื่นไม่ใช่หรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินพูดเน้นย้ำทีละคำ
เมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา นักพรตใหญ่หลงเยว่ก็ตัวสั่นเทา ในดวงตาเป็นประกายแวววาวแปลกประหลาด
นางจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความพิศวงสงสัย
ราวกับว่าเพิ่งเคยพบเจอหน้ากันเป็นครั้งแรก
หวังจงที่ยืนอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน
เด็กสาวร่างสูงหลิวเฉิงเหนียนถึงกับพึมพำออกมาโดยไม่รู้ตัวว่า “เพราะเหตุใดกัน… ทำไมเขาถึงได้ดูเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน? เด็กสาวที่มีนามว่าเยว่เว่ยหยางสำคัญต่อเขาถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
หลิวเฉิงเหนียนรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจขึ้นมาทันที
นี่คือความรู้สึกที่แปลกประหลาดเหลือเกิน
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มเข้ามาใกล้ นางมักจะระมัดระวังตัวด้วยความวิตกกังวลและหวาดกลัว
แต่เมื่อเห็นเขาพร้อมทุ่มเทชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเหลือเด็กสาวคนอื่น หลิวเฉิงเหนียนกลับรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
นับเป็นสิ่งที่นางไม่สามารถอธิบายได้
นี่คือรสชาติที่เด็กสาวไม่เคยสัมผัสมาก่อน
“ประเสริฐ”
นักพรตใหญ่หลงเยว่พยักหน้าในที่สุด “ถ้าอย่างนั้น พวกเราร่วมมือกัน บุกเข้าไปช่วยเหลือเยว่เว่ยหยางออกมาให้ได้”
หลินเป่ยเฉินยิ้มกว้างด้วยความดีใจ
หลังปรึกษาแผนการกันเล็กน้อย
หวังจงและกงกงก็นำตัวสองสาวรับใช้พร้อมด้วยหลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนที่ไม่รู้ว่าตนเองอยู่ในอารมณ์ไหนกันแน่ แฝงตัวปะปนไปกับชาวเมืองคนอื่นๆ ลงจากภูเขาไปโดยไม่เป็นที่สนใจของผู้ใด
เมื่อส่งตัวหลู่หลิงซินกับหลิวเฉิงเหนียนกลับบ้านของพวกนางเรียบร้อย พวกของหวังจงก็เดินทางตรงไปยังค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งโดยทันที
…
“ท่านป้าขอรับ สถานการณ์ของวิหารประจำเมืองเจาฮุยขณะนี้เลวร้ายอย่างไรบ้าง?” หลินเป่ยเฉินใช้แอปเมจิก คาเมร่าแปลงโฉมนักพรตใหญ่หลงเยว่ก่อนเดินปะปนกับกลุ่มนักบวชด้วยกันเข้าไปสู่ด้านในตัววิหาร ระหว่างที่เดิน เด็กหนุ่มก็สอบถามข้อมูลไปด้วย
จากสิ่งที่เทพีกระบี่หิมะไร้นามบอกมาก็คือ ขอแค่เปลี่ยนตัวหัวหน้านักบวชประจำวิหารเจาฮุยกลับมาเป็นสาวกที่แท้จริงได้เท่านั้น เทพีกระบี่ก็จะสามารถช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินได้อีกครั้ง
แต่ถ้าบัดนี้เขาไม่สามารถเผชิญหน้ากับมือซ้ายเทพเจ้าโจวติงป๋อได้ตามที่ใจอยาก เด็กหนุ่มก็ต้องหาวิธีอื่นเพื่อทำให้วิหารกลับมาอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเองให้ได้ เพราะถ้าเทพีกระบี่สามารถช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินได้เมื่อไหร่ ต่อให้เอาโจวติงป๋อสิบคนมัดรวมกัน ก็คงไม่สามารถต่อกรกับเขาได้อยู่แล้ว
“วิหารประจำเมืองเจาฮุยมีขนาดใหญ่โตกว้างขวาง พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์จึงถูกแบ่งแยกออกเป็นสี่ส่วน คือส่วนที่อยู่ข้างหน้า ส่วนที่อยู่ข้างหลัง ส่วนที่อยู่ทางซ้าย และส่วนที่อยู่ทางขวา ในพื้นที่แต่ละส่วนจะมีรูปปั้นเทพีกระบี่ตั้งอยู่เป็นจุดศูนย์รวมความศรัทธาของชาวเมืองนานนับร้อยปี…”
“ในรูปปั้นของเทพีกระบี่เหล่านั้นจะฝังเอาไว้ด้วยลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ ตราบใดที่ลูกแก้วนี้ยังสามารถดูดซับแรงศรัทธาของชาวเมืองได้ตามปกติ วิหารแห่งนี้ก็จะยังคงอยู่ภายใต้การคุ้มครองของเทพีกระบี่ต่อไป…”
“แต่ปัญหาก็คือหัวหน้านักบวชคนใหม่เป็นสาวกปีศาจแฝงตัวมา โจวติงป๋อได้จัดการเปลี่ยนลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์เป็นลูกแก้วปีศาจ เปลี่ยนผ่านแรงศรัทธาของชาวเมือง ให้กลายเป็นแรงศรัทธาสำหรับการบูชาปีศาจ…”
“เรื่องนี้เป็นอะไรที่แปลกประหลาดอยู่เหมือนกัน เบื้องต้นข้าได้ลองตรวจสอบดูแล้ว พบว่าพลังศรัทธาของเทพีกระบี่กับพลังศรัทธาของปีศาจ มีความคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก แม้แต่บรรดานักบวชที่ติดตามโจวติงป๋อ ก็ยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าบัดนี้ตนเองกำลังรับใช้สาวกปีศาจ…”
“หากเจ้าอยากจะให้เทพีกระบี่กลับมาควบคุมที่นี่ได้อีกครั้ง เจ้าก็ต้องนำลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์กลับมาเปลี่ยนคืนที่เดิม เมื่อรูปปั้นเทพีกระบี่เหล่านั้นเปล่งแสงสว่างออกมาพร้อมกันเมื่อไหร่ ทุกคนก็จะได้รู้ทันทีว่าวิญญาณของเทพีกระบี่กลับมาคุ้มครองพวกเราแล้ว”
นักพรตใหญ่หลงเยว่ให้ความร่วมมือด้วยการอธิบายเป็นอย่างดี
ฟังจบ หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับเหงื่อแตกผลั่ก
นี่มันพล็อตเรื่องของพวกเกมออนไลน์ตลาดล่างไม่ใช่หรือไง?
ยิ่งไปกว่านั้น
คนที่เขียนพล็อตนี้ขึ้นมายังทิ้งช่องโหว่เอาไว้หลายจุดอีกด้วย
การทำภารกิจเปลี่ยนลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ให้สำเร็จ โดยไม่ให้หัวหน้านักบวชโจวติงป๋อรู้ตัว มีโอกาสเป็นไปได้เพียง 5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
หรือว่าจะลองคิดหาวิธีลอบสังหารโจวติงป๋อดีนะ?
ถ้าโชคดีสามารถทำได้สำเร็จ ปัญหาทุกอย่างก็สามารถแก้ไขได้ โดยไม่ต้องเกิดเหตุการณ์นองเลือดแม้แต่น้อย
“ท่านป้าขอรับ ท่านคิดว่าพอมีทางเป็นไปได้หรือไม่ ที่พวกเราจะลอบสังหารผู้กำลังเลื่อนระดับขึ้นไปสู่ขั้นเซียนได้สำเร็จ?”
หลินเป่ยเฉินถามออกมาอีกครั้ง
นักพรตใหญ่หลงเยว่ตอบโดยไม่ลังเล “ถ้าเจ้ายังไม่สามารถติดต่อเทพีกระบี่และรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากนางได้ โอกาสที่จะทำได้สำเร็จนั้น…ไม่มีเลย”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
เจอทางตันเข้าให้แล้วสิ
หลังจากใช้ความคิดอยู่อีกพักใหญ่ เด็กหนุ่มก็กัดฟันพูดว่า “ท่านป้าขอรับ ระหว่างข่าวดีกับข่าวร้าย ท่านอยากรับฟังข่าวไหนก่อน?”
นักพรตใหญ่หลงเยว่พูด “ข่าวดี”
“ข้ามีวิธีติดต่อเทพีกระบี่เพื่อรับพลังศักดิ์สิทธิ์จากนางขอรับ”
หลินเป่ยเฉินว่า
ความประหลาดใจฉายชัดบนสีหน้าของนักพรตใหญ่หลงเยว่ นางถามออกมาทันที “แล้วข่าวร้ายคือเรื่องใด?”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ข่าวร้ายคือเราต้องกลับมาควบคุมวิหารประจำเมืองเจาฮุยให้ได้ก่อน ข่าวดีถึงจะเป็นความจริงขอรับ”
นักพรตใหญ่หลงเยว่กะพริบตาปริบๆ
“ก็ดีกว่าไม่มีความหวังเลยละนะ”
หญิงชรานิ่งเงียบอย่างใช้ความคิดอีกเล็กน้อย ก็กล่าว “งั้นเจ้าจงทำตามแผนการของตนเองได้เลย”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าโอกาสทำได้สำเร็จแค่ 5 เปอร์เซ็นต์ ก็ดีกว่าไม่มีความหวังเลยแม้แต่น้อย เมื่อปรึกษาแผนการกับนักพรตใหญ่หลงเยว่แล้ว นางก็พยักหน้าเห็นด้วย
“ถ้าอย่างนั้น สิ่งแรกที่เราควรทำก็คือไปยังวิหารฝั่งตะวันตก และเปิดประตูสู่ค่ายอาคมเทวะจำพราก พวกเราจำเป็นต้องช่วยกายเนื้อของเยว่เว่ยหยางออกมาก่อน เพราะลูกแก้วศักดิ์สิทธิ์ลูกสุดท้าย ซ่อนอยู่ในร่างของนาง”
นักพรตใหญ่หลงเยว่พูด
“ค่ายอาคมเทวะจำพรากคืออะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินอดถามออกมาไม่ได้
คราวนี้ นักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่สนใจตรวจการบ้านเด็กหนุ่มอีกแล้ว
ระหว่างที่เดินไปข้างหน้า หญิงชราก็อธิบายด้วยเสียงกระซิบ “สหพันธ์นักบวชศักดิ์สิทธิ์ได้ร่วมมือกันสร้างค่ายอาคมเทวะจำพรากขึ้นมา เพื่อทดสอบและฝึกฝนบรรดานักบวชรุ่นใหม่ผู้ที่ถูกยกย่องให้เป็นยอดอัจฉริยะ ผู้ใดก็ตามที่เข้ามาอยู่ในค่ายอาคมเทวะจำพรากแห่งนี้ วิญญาณก็จะถูกจองจำ และมีแต่ต้องรับวิญญาณของเทพีกระบี่เข้าสู่ร่างกายให้สำเร็จเท่านั้น ตัวคนถึงจะกลับออกมาจากค่ายอาคมได้อีกครั้ง ก่อนหน้านี้ เยว่เว่ยหยางถูกแต่งตั้งขึ้นมาให้เป็นนักพรตเทวะฝึกหัด นี่ก็เป็นเวลากว่าสองเดือนแล้วที่นางถูกคุมขังอยู่ในค่ายอาคม หากไม่มีอะไรผิดพลาด เวรยามที่คุ้มกันก็คงเบาบางมากกว่าเดิมแล้ว”