ตอนที่ 671 ลานประหาร
หลินเป่ยเฉินเดินลงมาจากวิหารบนเนินเขาและตรงไปยังใจกลางเมืองพื้นที่เขตสี่
บรรยากาศในตัวเมืองให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
ไม่เหมือนเมืองที่กำลังถูกปิดล้อมโดยชาวทะเลอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
ท้องถนนในเมืองพื้นที่เขตสี่มีขนาดกว้างใหญ่ ผู้คนเดินเท้าสัญจรเพียงน้อยนิด โดยส่วนมากชาวเมืองที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เขตนี้มักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหราราคาแพง
เพียงมองปราดเดียวก็ดูออกว่าเป็นคนตระกูลใหญ่ผู้ร่ำรวย
นอกจากนี้ ยังมีรถม้าประดับทองคำและแผ่นเงินแวววาวจำนวนมากสัญจรไปมาวุ่นวายขวักไขว่ บนห้องโดยสารของรถม้าติดตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลแสดงตัวตน ร้านค้าสองข้างทางก็ตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่า มีความหมดจดงดงามทุกกระเบียดนิ้ว หลินเป่ยเฉินอยากจะเรียกขานว่าพื้นที่เขตสี่นี้เป็นเสมือนแมนฮัตตันของนครเจาฮุยก็ว่าได้
เด็กหนุ่มเปลี่ยนเสื้อผ้าและใช้แอปเมจิก คาเมร่าปลอมตัวอีกครั้ง
เขาแค่ถ่ายรูปคนที่เดินผ่านไปบนถนนได้ทันเวลา
ปรากฏว่านี่ก็ล่วงเข้าวันที่สองแล้ว นับตั้งแต่ที่หลินเป่ยเฉินขึ้นไปอยู่บนวิหารประจำเมืองเจาฮุย
“ถ้านับเวลาตามนี้ หมายความว่ายังไม่สายเกินไป”
หลินเป่ยเฉินว่าจ้างรถม้าให้เดินทางไปยังตลาดเขตตะวันตกของพื้นที่เขตสาม
ถ้าสิ่งที่หลินเป่ยเฉินได้ยินมาจากกลุ่มเจ้าหน้าที่เศษสวะเป็นเรื่องจริง นั่นก็หมายความว่าบ่ายวันนี้คือกำหนดการประหารชีวิตท่านผู้ว่าฉุยเฮาเฟิงต่อหน้าสาธารณชน
ในอดีตที่ผ่านมา ยามดำรงตำแหน่งผู้ว่าการเมือง ฉุยเฮาเฟิงรับใช้ชาวเมืองหยุนเมิ่งเป็นอย่างดี
และเมื่อเกิดเหตุการณ์ตรวจสอบวิหารครั้งล่าสุด ฉุยเฮาเฟิงก็แสดงตัวออกมาเป็นอาสาสมัครร่วมต่อสู้
เพราะฉะนั้น ฉุยเฮาเฟิงจึงถือเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
ต่อให้พลังปราณธาตุทั้งสองชนิดในร่างกายจะสูญหายไปแล้ว แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังอยากไปช่วยเหลืออยู่ดี
ถึงจะถูกนักพรตใหญ่หลงเยว่หักหลังอย่างน่าเจ็บปวด แต่เด็กหนุ่มมีจิตใจใส่ซื่อบริสุทธิ์มากเกินไป เขาไม่มีทางนำความผิดของหญิงชรามาเป็นข้ออ้างไม่ช่วยเหลือใครเด็ดขาด
อย่างน้อยการได้ช่วยเหลือผู้คน ก็เป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินไม่เคยสำนึกเสียใจ
รถม้าที่เด็กหนุ่มว่าจ้างแล่นออกจากพื้นที่เขตสี่
เมื่อถึงตลาดตะวันตกในพื้นที่เขตสาม หลินเป่ยเฉินก็พบว่ามีชาวเมืองมารวมตัวกันหนาแน่นแล้ว
นั่นเป็นเพราะทางเจ้าหน้าที่ได้ป่าวประกาศตั้งแต่เช้าว่า บ่ายวันนี้จะมีพิธีประหารชีวิตฉุยเฮาเฟิงและพรรคพวก โทษฐานก่อการกบฏและทำให้ประเทศชาติได้รับความเสียหายใหญ่หลวง แม้ว่าการประหารชีวิตด้วยการตัดศีรษะมนุษย์จะเป็นสิ่งที่โหดร้ายทารุณ… แต่ในทางกลับกัน มันก็เป็นกิจกรรมที่เต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้น จึงมีชาวเมืองจำนวนไม่น้อยมารวมตัวกันเพื่อรับชมคนบาปถูกลงโทษ
บรรยากาศไม่ต่างจากการจัดงานรื่นเริง
ชาวเมืองหัวเราะอย่างมีความสุข!
สารถีขับรถม้าสะบัดแส้ นำพารถม้าฝ่ากลุ่มคนที่ยืนขวางทาง
“พวกเจ้าถอยไปเดี๋ยวนี้ คิดอย่างไรมาขวางทางรถม้า อยากตายกันนักใช่ไหม?” สารถีเป็นชายหนุ่มอายุ 30 ปี ไว้หนวดไว้เครา ใบหน้าเรียวยาว แววตาดุร้าย
กลุ่มคนที่ถูกสารถีคำรามใส่ ตอนแรกก็หันมามองหน้าด้วยความไม่ชอบใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของคนขับรถม้า กลุ่มคนที่ยืนขวางทางเบื้องหน้าก็แตกกระจายออกเป็นสองฝั่ง และปล่อยให้รถม้าวิ่งผ่านไปโดยสะดวก
นี่คือเมืองที่เต็มไปด้วยการแบ่งแยกชนชั้น
หลังจากนั้นไม่นาน รถม้าของหลินเป่ยเฉินก็มาจอดลงตรงพื้นที่ซึ่งถูกจัดไว้ให้สำหรับบรรดาเศรษฐีใหญ่ในลานประหาร
หลินเป่ยเฉินเปิดประตูห้องโดยสารและกระโดดลงไป พร้อมกับโยนเหรียญทองคำให้แก่สารถีหนุ่มหน้าโหด
“ไม่ต้องทอน”
พูดจบแล้ว เด็กหนุ่มก็หายตัวไป
พิธีประหารยังไม่เริ่มขึ้น
ลานประหารยังคงว่างเปล่า
แต่มีเจ้าหน้าที่คุ้มกันลานประหารหนาแน่น
การรักษาความปลอดภัยรอบคอบรัดกุม
รอบลานประหารมีชาวเมืองมารวมตัวกันจำนวนมาก เมื่อกวาดตามองดูดีๆ ก็จะเห็นว่าแต่ละคนล้วนมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บางคนที่อยู่ด้านหลังก็พยายามกระโดดเพื่อให้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหน้า คำนวณดูด้วยสายตาแล้ว… ผู้ที่มาร่วมรับชมการประหารในวันนี้มีจำนวนหลายพันคนทีเดียว
บรรยากาศคึกคักแจ่มใสไม่ต่างจากเทศกาลวันหยุด
หลินเป่ยเฉินเดินแฝงตัวไปในกลุ่มชาวเมือง
เด็กหนุ่มเดินฝ่ากลุ่มคนตรงไปข้างหน้า เขากระแทกผู้ที่ยืนขวางทางกระเด็นไปคนแล้วคนเล่า แต่เมื่อผู้คนเหล่านั้นสบถด้วยความเดือดดาลและหันกลับมามองหาว่าใครเป็นผู้เดินชน เด็กหนุ่มก็หายตัวไปราวกับเป็นเพียงหมอกควันสายหนึ่งในอากาศ
หลังเดินสำรวจรอบลานประหารหนึ่งรอบ หัวใจของหลินเป่ยเฉินก็หนักอึ้ง
เจ้าหน้าที่ประจำนครเจาฮุยวางกองกำลังรักษาความปลอดภัยไว้ทุกด้านทุกมุมอย่างที่เขาคิดจริงๆ
ในเวลาเดียวกันนี้ ยังมียอดฝีมืออีกหลายคน ‘ปลอมตัว’ อยู่ในกลุ่มคนดูอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินกวาดสายตามองโดยรอบ พลันพบเห็นร่างที่คุ้นตากำลังจะเดินผ่านไป จึงเอื้อมมือออกไปตะปบหัวไหล่ฝ่ายตรงข้าม
“ว่าอย่างไร สหาย…”
อีกฝ่ายหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มปากแดง ฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบ หันกลับมามองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
“นิ่งๆ ไว้ นี่ข้าเอง”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงกระซิบ
เด็กหนุ่มปากแดงเบิกตาโตด้วยความดีใจ จากนั้นจึงโผเข้ามาสวมกอดหลินเป่ยเฉินพร้อมกับร่ำร้องว่า “นายท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้าคะ ข้าน้อยเป็นห่วงนายท่านแทบแย่…”
หลินเป่ยเฉินพูดว่า “ถึงข้าจะต้องสูญเสียบางอย่างที่สำคัญมากที่สุดไปก็ตาม แต่ก็ถือว่าปลอดภัยดีละนะ… แล้วนี่คนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง?”
เด็กหนุ่มปากแดงก็คือเฉียนเหมยที่ปลอมตัวเป็นบุรุษ…
นับตั้งแต่ที่นายน้อยหายตัวขึ้นไปบนวิหารตั้งแต่เมื่อวานนี้ เฉียนเหมยก็รู้สึกกระวนกระวายใจ กินไม่ได้นอนไม่หลับ เมื่อเห็นว่าหลินเป่ยเฉินสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย นางจึงยิ้มแย้มอย่างมีความสุข “บัดนี้ คุณชายเซียวปิงและคนอื่นๆ กำลังเตรียมตัวลงมือช่วยเหลือผู้คนอยู่รอบลานประหาร ทุกคนกำลังรอคำสั่งจากนายท่าน รวมถึงอากวงกับเสี่ยวหูด้วย เฉียนเจินเป็นคนดูแลพวกมันอยู่เจ้าค่ะ”
ก่อนที่หวังจง เฉียนเหมยและเฉียนเจินจะลงจากภูเขา หลินเป่ยเฉินได้สั่งงานทุกอย่างล่วงหน้าเอาไว้หมดแล้ว
เมื่อคนรับใช้ทั้งสามกลับลงไปจากภูเขา ก็รีบรวบรวมกำลังพลตามคำสั่ง พวกเขาจัดเตรียมแผนการช่วยเหลือฉุยเฮาเฟิงและนักโทษประหารคนอื่นๆ ในวันนี้เป็นการเร่งด่วน
และเพื่อเก็บแผนการให้เป็นความลับสุดยอด การปฏิบัติการครั้งนี้จึงไม่มีคนนอกค่ายพักของชาวหยุนเมิ่งล่วงรู้แม้แต่คนเดียว
“ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาเดินเตร็ดเตร่ทำไมเพียงลำพัง?”
หลินเป่ยเฉินถามอย่างระมัดระวังพร้อมกับใช้สายตาสำรวจรอบตัวไปด้วย
เฉียนเหมยตอบด้วยน้ำเสียงดีใจ “ข้าน้อยมาตามหานายท่าน ข้าน้อยอยากจะอยู่กับนายท่าน”
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาใช้มือบีบแก้มเด็กสาวผู้ปลอมตัวเป็นบุรุษหนุ่มจนนางมีใบหน้าบู้บี้เหมือนกับปลาทองอีกครั้ง “เจ้าเนี่ยนะอยากจะอยู่กับข้า? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าว่าเจ้าแค่อยากออกมาหาโอกาสฆ่าคนมากกว่า… สาวน้อย เดี๋ยวนี้จิตใจของเจ้าชักจะโหดร้ายมากขึ้นทุกวันแล้วนะ”
เฉียนเหมยก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด “ข้าน้อยผิดไปแล้ว นายท่านได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย”
พูดมาถึงตรงนี้ เสียงแตรก็ดังขึ้นทั่วลานประหาร จากนั้นฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ทางฝั่งตะวันออกของลานประหารก็แยกออกเป็นสองฝั่ง ปรากฏเจ้าหน้าที่ผู้คุมคุกในชุดเสื้อเกราะนักรบเดินถืออาวุธประจำกายออกมาพร้อมด้วยขบวนเกวียนขนย้ายนักโทษประหาร
เกวียนเล่มแรกบรรทุกกรงเหล็กขังนักโทษ ห่อหุ้มค่ายอาคมแน่นหนา อสูรลมกรดซึ่งเป็นสัตว์ลากเกวียนมีผู้คุมคอยควบคุมอย่างใกล้ชิด มันจึงก้าวเท้าเดินออกมาข้างหน้าอย่างแช่มช้า
กรงขังนักโทษมีขนาดไม่ใหญ่ และยังมีเพดานกรงไม่สูง
นักโทษที่อยู่ด้านในต้องยื่นศีรษะขึ้นมาเหนือช่องว่างของเพดานกรง
เกวียนขนย้ายนักโทษคันนี้ได้รับการปิดผนึกจากผู้ใช้ค่ายอาคมชื่อดังประจำจักรวรรดิเป่ยไห่ ว่ากันว่าต่อให้เป็นมังกรฟ้าก็ไม่มีทางทำลายกรงขังกรงนี้ได้
ผู้ที่อยู่ในเกวียนขนย้ายนักโทษคันแรก เป็นชายหนุ่มสวมใส่ชุดนักโทษ ผมเผ้ายุ่งเหยิงรุงรัง แต่ใบหน้าสะอาดสะอ้าน ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิงนั่นเอง
อาจเป็นเพราะถูกคุมขังอยู่ในคุกใต้ดินและไม่ได้รับแสงแดดเป็นระยะเวลายาวนาน ใบหน้าของฉุยเฮาเฟิงจึงดูซีดขาวลงเล็กน้อย แก้มตอบ บนหน้าผากปรากฏรอยแผลเป็น เช่นเดียวกับบนร่างกายที่มีบาดแผลหลายตำแหน่ง แต่ดวงตาของเขายังคงเป็นประกายแรงกล้า เห็นได้ชัดว่าฉุยเฮาเฟิงมีกำลังใจดีกว่าที่คิด…
ส่วนในเกวียนขนย้ายนักโทษที่เคลื่อนตามมาด้านหลังคันอื่นๆ ก็มีนักโทษอยู่ในกรงขังทั้งบุรุษและสตรีทุกช่วงอายุวัย
“ฆ่าพวกมันให้หมดซะ”
“คนทรยศ…”
“พวกเราต้องแก้แค้นให้แก่ผู้บริสุทธิ์ที่ต้องตกตายไปเพราะพวกมัน…”
“ตัดหัวมัน ตัดหัวมัน”
ฝูงชนที่รวมตัวอยู่โดยรอบส่งเสียงตะโกนออกมาด้วยความโกรธแค้น
หลายคนขว้างปาก้อนหิน ไข่ไก่และพืชผักใส่กรงขังนักโทษ
หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็ได้แต่ส่ายหัว
คนโง่ไม่ว่าอยู่ยุคสมัยใด ก็เป็นคนโง่อยู่วันยังค่ำ
เหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงประวัติศาสตร์จีน ตอนที่จักรพรรดิฉงเจินมีคำสั่งให้ประหารชีวิต[1]หยวนชงหวนด้วยการแล่เนื้อช้าๆ โทษฐานที่เป็นกบฏ โดยหารู้ไม่เลยว่าความผิดทั้งหมดนี้เป็นชาวหนี่ว์เจินปรักปรำทั้งสิ้น
และเหตุการณ์นั้นกำลังเกิดขึ้นในโลกวรยุทธ์แห่งนี้
เกวียนขนย้ายนักโทษเคลื่อนขบวนเข้ามาหยุดอยู่ในลานประหาร
เมื่อตรวจสอบนักโทษจนครบแล้ว ผู้ใช้ค่ายอาคมก็เดินมาเปิดกรงขังและปล่อยนักโทษด้านในให้เดินลงมา กลุ่มนักโทษถูกต้อนให้คุกเข่าคลานเรียงแถว ตรงเข้าไปยังลานหินซึ่งเป็นจุดดำเนินพิธีประหารชีวิต
นักโทษประหารมีอยู่ด้วยกันทั้งหมด 24 คน
เป็นบุรุษ 16 คนและเป็นสตรี 8 คน
ในกลุ่มนั้นมีเด็กน้อยอยู่อีกสองคน
เพชฌฆาตจำนวน 24 นาย ร่างกายกำยำใหญ่หนา แบกดาบขนาดใหญ่ติดตัวเข้ามา ยืนอยู่ด้านหลังนักโทษประหารครบทุกคน
“ทุกคนเงียบ!”
ชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบขุนนางใหญ่ผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่บนแท่นสังเกตการณ์ซึ่งเป็นเวทียกพื้นสูงที่ด้านข้าง เขามีใบหน้าเหลี่ยม ไว้หนวดใต้คาง สีหน้ายโสโอหัง ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ ส่งเสียงคำรามออกมาช้าๆ ขณะกวาดสายตามองกลุ่มคนรอบบริเวณ
เขาคำรามออกมาพร้อมกับใช้พลังลมปราณช่วยให้เสียงดังกึกก้องในอากาศ
ฝูงชนที่กำลังส่งเสียงสาปแช่งพลันเงียบเสียงลงทันที
[1] ขุนนางและขุนพลผู้เป็นตัวแทนความรักชาติในวัฒนธรรมจีน มีชีวิตอยู่ในช่วงราชวงศ์หมิง ชำนาญการต่อสู้ด้วยการใช้ปืนใหญ่ ผลงานสร้างชื่อที่สุดคือการเอาชนะกองทัพฝ่ายศัตรูที่มีจำนวนถึงสองแสนคนได้สำเร็จ แต่ภายหลังกลับต้องถูกประหารชีวิตด้วยอายุเพียง 46 ปีเพราะถูกใส่ความว่าเป็นกบฏแผ่นดิน