ตอนที่ 672 ก่อนตาย มีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่?
“นั่นมันใต้เท้าหลงนี่นา”
“ได้ข่าวว่าใต้เท้าหลงยิ่งใหญ่มากในเมืองชั้นในสุดเลยนะ”
“ใช่ ใต้เท้าหลงมีอิทธิพลมาก”
“กราบเรียนใต้เท้าหลง พวกเราเพียงอยากระบายความอัดอั้นตันใจเท่านั้น เมื่อคิดถึงหัวอกของญาติผู้เสียชีวิตด้วยน้ำมือของคนทรยศฉุยเฮาเฟิงและพรรคพวกของมัน ข้าน้อยก็รู้สึกเจ็บปวดใจยิ่งนัก”
เริ่มมีเสียงของชาวเมืองทำลายความเงียบขึ้นอีกครั้ง
เมื่อรับฟังเสียงซุบซิบที่ดังขึ้นรอบกาย หลินเป่ยเฉินจึงได้ทราบข้อมูลว่าชายหนุ่มหนวดดำผู้นี้ มีนามว่าหลงเสี่ยวเถียน เป็นขุนนางระดับสูงจากเขตเมืองชั้นในสุด และผลงานที่โด่งดังของใต้เท้าหลง นอกจากสามารถปราบชาวทะเลได้เป็นจำนวนมากแล้ว แม้แต่มนุษย์ด้วยกัน เขาก็จัดการโดยไม่มีข้อละเว้น
ฟังจากข้อมูลที่ได้ยิน ใต้เท้าหลงน่าจะเป็นคนดีไม่ใช่น้อย
พิธีประหารชีวิตในครั้งนี้ หลงเสี่ยวเถียนรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยทั้งหมด จึงไม่แปลกที่เมื่อเขาคำรามออกมา ทุกคนจะนิ่งเงียบทำตามคำสั่งทันที
คำพูดที่ออกจากปากของใต้เท้าหนุ่ม ดังก้องกังวานไปทั่วลานประหาร
ฉุยเฮาเฟิงคุกเข่าอยู่บนลานหิน ไม่ขัดขืนดิ้นรน สีหน้ายังคงเยือกเย็น
ดวงตาของเขากวาดมองไปในกลุ่มคนดู
“หวังว่าพวกเจ้าคงไม่มาช่วยเหลือข้าหรอกนะ”
ฉุยเฮาเฟิงแอบคิดด้วยความร้อนรนอยู่ในใจ
บัดนี้ อดีตท่านเจ้าเมืองถูกทำลายวรยุทธ์หมดสิ้น เขาได้รับการตัดสินว่าเป็นคนบาปของจักรวรรดิ การไต่สวนคดีเป็นที่สิ้นสุดลงแล้ว ไม่สามารถยื่นอุทธรณ์ได้อีก ดังนั้น ฉุยเฮาเฟิงจึงตัดสินใจว่าหากวันนี้เขาต้องตาย เขาก็ไม่อยากให้คนอื่นต้องมาพลอยได้รับอันตรายไปด้วย
แต่สิ่งที่ฉุยเฮาเฟิงเป็นกังวลก็คือ เหล่าลูกน้องของตนเองจะทนอยู่นิ่งเฉยไม่ได้
เพราะถ้ามีใครก็ตามมาช่วยเหลือเขาจากพิธีประหารชีวิตในวันนี้ ก็เท่ากับตกลงสู่กับดักของหลงเสี่ยวเถียนโดยตรง
และมันก็จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของมือกระบี่จากเมืองเจี้ยนหยวน
อย่างน้อยภาพลักษณ์ของพวกเขาก็จะต้องมัวหมอง
แต่เมื่อกวาดสายตามองไปในกลุ่มคนดูและไม่พบเจอใบหน้าที่คุ้นเคย ฉุยเฮาเฟิงก็พอจะโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย
“ฉุยเฮาเฟิง ก่อนที่เจ้าจะตาย มีอะไรจะสั่งเสียหรือไม่?”
หลงเสี่ยวเถียนเดินลงมาจากแท่นสังเกตการณ์ ตรงเข้ามาหาฉุยเฮาเฟิงอย่างช้าๆ
ฉุยเฮาเฟิงยิ้มมุมปาก “คนกำลังจะตาย เหตุไฉนต้องพูดจาให้มากความ”
หลงเสี่ยวเถียนกระตุกยิ้มมุมปากเช่นกัน เสียงพูดของเขาแผ่วเบา ได้ยินกันเพียงสองคน
“จริงหรือ? ศิษย์พี่ ท่านได้โปรดลองคิดทบทวนดูให้ดี ท่านยังมีบุตรชายอยู่ทั้งคน แล้วไหนจะบรรดาเพื่อนพ้องคนสนิทของท่านอีก อย่างเจ้าหลิวเฟยซูนั่นปะไร ฮ่าฮ่า… ความผิดของท่านในครั้งนี้ แม้แต่ท่านตายไปแล้วก็ยังชดใช้กรรมไม่หมด เพราะว่าความผิดเหล่านั้น จะตกทอดไปยังบุคคลใกล้ตัวของท่านด้วย พวกเขาอาจจะต้องถูกจับตัวมาประหารชีวิตเช่นกัน… ก็เป็นได้”
ฉุยเฮาเฟิงตอบกลับไปเสียงเรียบ
“คนเราจะเกิดจะตายล้วนลิขิตด้วยตนเอง ในเมื่อแม้แต่ชีวิตตนเองข้ายังปกป้องไม่ได้ แล้วข้าจะไปปกป้องชีวิตคนอื่นได้อย่างไร”
หลงเสี่ยวเถียนเอนตัวเข้ามากระซิบข้างฉุยเฮาเฟิง
“เมื่อเวลาประหารของท่านมาถึง… ท่านคงภาวนาไม่ให้หลิวเฟยซู เจิ้งกุย และหนงซานเจี๋ยนมาช่วยเหลือท่านกระมัง?”
ฉุยเฮาเฟิงไม่ตอบคำ
หลงเสี่ยวเถียนกล่าวต่อ “แต่เกรงว่าท่านคงต้องผิดหวังแล้ว ไม่ว่าอย่างไรวันนี้พวกเขาก็ต้องมาแน่นอน เพราะพวกเขาได้มาลาดตระเวนลานสังหารแล้วหนึ่งรอบ มิหนำซ้ำ ยังได้รับความช่วยเหลือจาก ‘คนใน’ ของพวกเราอีกด้วย บริวารของท่านถึงกับวางเส้นทางที่จะพาท่านหลบหนีเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าวันนี้ พวกเขาคงมีโอกาสช่วยเหลือท่านสำเร็จจริงๆ”
ร่างกายของฉุยเฮาเฟิงสั่นสะท้าน ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
“คนในที่เจ้าพูดถึง ก็คงเป็นคนของเจ้าเองสินะ บริวารของข้าจึงได้รับข้อมูลลวงทั้งหมด แม้แต่เส้นทางที่พวกเขาคิดว่าปลอดภัยที่สุด ก็เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น”
ฉุยเฮาเฟิงมองหน้าหลงเสี่ยวเถียน
หลงเสี่ยวเถียนพยักหน้า “สมแล้วที่ท่านเคยกินตำแหน่งขุนนางใหญ่ เพราะข้าเองก็คิดไม่ถึงเลยว่าเหล่ามือกระบี่ผู้ร้ายกาจจากถ้ำอสูรแห่งเมืองเจี้ยนหยวนจะถูกหลอกง่ายดายขนาดนี้ น่าเศร้าที่พวกของหลิวเฟยซูโง่เขลามากเกินไป ถึงท่านจะภาวนาไม่ให้พวกเขามาที่นี่ แต่นั่นก็คงเป็นคำภาวนาที่เปล่าประโยชน์ที่สุด”
“ผิดแล้ว”
ฉุยเฮาเฟิงถอนหายใจยาวแรง
“พวกเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้นหรอก แต่ว่า… ช่างมันเถิด ถึงพูดออกไป คนอย่างพวกเจ้าก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
“ข้ารู้ว่าท่านกำลังจะพูดถึงความซื่อสัตย์และความจงรักภักดี …เหอเหอเหอ แต่ในความคิดของข้า สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงมายาคติที่น่าขบขันยิ่งกว่าความโง่เขลาเสียอีก”
หลงเสี่ยวเถียนพูดเหยียดหยาม
“ในเมื่อเจ้าไม่เข้าใจ ข้าก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว เพราะมันคงไม่ต่างจากการ[1]ดีดพิณให้วัวฟัง”
ฉุยเฮาเฟิงพูดเสียงเรียบ
ความอำมหิตปรากฏขึ้นในแววตาของหลงเสี่ยวเถียน
เขาพูดเสียงเย็นชา “ท่านอย่าได้กล่าววาจาเหลวไหล ศิษย์พี่ ข้าจะให้โอกาสท่านอีกครั้ง หากท่านยอมรับผิดและทำตามคำสั่งของข้า ท่านจะไม่ต้องถูกประหารชีวิต แล้วพวกของหลิวเฟยซูก็จะไม่ต้องตาย มิฉะนั้นแล้ว ลานประหารแห่งนี้ก็จะกลายเป็นทุ่งสังหาร หึหึ ถึงท่านจะเป็นศิษย์พี่ของข้า แต่ข้าก็คงปล่อยท่านและพวกพ้องไปไม่ได้หรอก”
“ให้ทำตามคำสั่งของเจ้าเนี่ยนะ?”
ฉุยเฮาเฟิงหัวเราะเยาะ “ถามจริงๆ เถิด เจ้าไม่รู้สึกรังเกียจตนเองบ้างหรือไร กว่าจะไต่เต้าขึ้นมามีตำแหน่งสูงส่งขนาดนี้ เจ้าทำให้ชื่อเสียงของมือกระบี่จากเมืองเจี้ยนหยวนต้องเสียหายไปมากมายแค่ไหนแล้ว… หากพวกของศิษย์น้องหลิวมาที่นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แม้พวกเราจะเกิดกันคนละวัน แต่อย่างน้อย พวกเราก็ยังได้ตายวันเดียวกัน”
อดีตท่านเจ้าเมืองใหญ่มีอารมณ์ความรู้สึกมั่นคงมาก
“ศิษย์พี่ช่างมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิตเหลือเกิน”
หลงเสี่ยวเถียนถอนหายใจ “อย่าลืมสิว่าในนครเจาฮุย พวกของเจ้าโง่หลิวหาใช่ตระกูลร่ำรวยไม่ หากพวกมันผู้เป็นหัวหน้าครอบครัวตายไปสักคน ลูกเมียที่อยู่ข้างหลังก็คง จุ๊จุ๊…”
ฉุยเฮาเฟิงร่างกายสั่นเทาด้วยความโกรธแค้น ก่อนจะก้มหน้าลง ไม่พูดอะไรอีก
เห็นดังนั้น หลงเสี่ยวเถียนก็ยืดตัวยืนตรงและระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “เอาล่ะ ฉุยเฮาเฟิง ข้าอุตส่าห์มอบโอกาสให้เจ้าได้สารภาพผิดแล้ว น่าเสียดายที่เจ้าไม่เข้าใจว่าความหวังดีคืออะไร แต่กลับปรารถนาที่จะร่วมมือกับพวกชาวทะเลต่อไป ซ้ำยังคิดที่จะติดสินบนข้าอีก นี่จึงเป็นความผิดที่ไม่สามารถให้อภัยได้เด็ดขาด…”
[1] สำนวนจีนที่มีความหมายเช่นเดียวกับสำนวนไทยสีซอให้ควายฟัง