บทที่ 70 ความพยายามครั้งสุดท้าย
เซินเฟยใบหน้าหมองคล้ำ
ตอนที่เขาพ่ายแพ้ให้แก่หลินเป่ยเฉิน ความรู้สึกในหัวใจมันก็ไม่ต่างจากโดนคนลากเข้าไปในห้องสุขาและบังคับให้ต้องรับประทานอุจจาระเต็มปาก โกรธยิ่งกว่าโกรธ แค้นยิ่งกว่าแค้น อายยิ่งกว่าอาย หากระดับความโกรธแค้นในตอนนี้ของเขาสามารถทำลายล้างโลกได้ โลกทั้งใบก็คงแตกสลายเป็นร้อยรอบพันรอบ
เด็กหนุ่มจากสำนักยุทธ์อิสระพลันสูดหายใจลึก
เซินเฟยบอกตนเองให้สงบสติอารมณ์
แต่เขาก็เกือบสติหลุดอีกครั้งเมื่อเห็นรอยยิ้มเย้ยหยันบนใบหน้าหลินเป่ยเฉิน
“ใจเย็นก่อน! เราต้องใจเย็นเข้าไว้!”
เซินเฟยบังคับตนเองให้สงบจิตสงบใจ
เขาสูดหายใจลึก…
พยายามนับหนึ่งถึงสิบ!
ในที่สุด ทุกคนก็เห็นว่าเซินเฟยกลับมามีท่าทีสงบสุขุมเหมือนเดิมแล้ว
เซินเฟยแค่นยิ้ม พูดด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง “ฮึ ไม่คิดเลยนะว่าเจ้าจะมีความสามารถสูงส่งถึงเพียงนี้ เดาว่าคงมีใครสักคนช่วยชี้แนะเจ้าสินะ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอเหยียดหยาม “มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า”
เซินเฟยใบหน้ากระตุกอีกครั้ง
“เมื่อสักครู่ ถ้าข้าไม่ได้โถมพลังใส่เจ้ามากเกินไป เจ้าก็คงไม่สามารถเลื่อนระดับพลังได้ในระยะเวลาอันสั้นเช่นนี้จริงไหม? เรื่องนี้ทำให้ข้ารู้สึกเศร้าใจเหลือเกิน…” เด็กหนุ่มพูดเหมือนชื่นชมในระดับพลังของตนเอง ที่มีมากเกินไปจนทำให้ฝ่ายตรงข้ามได้ประโยชน์ไปด้วย
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคออีกคำรบ “นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า”
บัดนี้ เหมือนว่าเจ้าแกะดำจะพูดเป็นอยู่สองประโยคเท่านั้น “มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า” กับ “นั่นไม่ใช่เรื่องของข้า”
เซินเฟยพลันชะงักกึก ในสมองขาวโพลน เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว จากนั้นดวงตาก็พร่า แล้วในลำคอก็รู้สึกได้ถึงรสชาติขมหวาน ก่อนที่จะกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เมื่อเห็นดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับพูดว่า “อย่าเลียนแบบข้าเสียให้ยาก ต่อให้เจ้ากระอักเลือดจนตาย ก็ไม่มีทางเลื่อนระดับแบบข้าได้หรอก”
หลินเป่ยเฉินดูดซับมวลพลังจากการโจมตีของกระบวนท่ากระบี่ฝนดาวตกเก้าชั้นฟ้า ทำให้สามารถเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ หลังจากกระอักเลือดออกมาแล้ว ร่างกายก็เกิดความเปลี่ยนแปลง จนสามารถคว้าชัยชนะเหนือเซินเฟยได้ในที่สุด
แต่ตอนนี้ เซินเฟยกระอักเลือดออกมาด้วยความโกรธแค้น
ทว่า หลินเป่ยเฉินกลับหาว่าเขากำลังเลียนแบบตนเอง
“เจ้านี่มัน…”
เซินเฟยหัวใจเจ็บปวดรวดร้าว ต้องกระอักเลือดออกมาอีกคำใหญ่
หลี่เทากับเถาว่านเฉิงมองออกแล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบถลาเข้าไปช่วยประคองผู้เป็นลูกพี่ ด้วยเกรงว่าเซินเฟยจะเป็นลมหมดสติไปเพราะความโกรธแค้น
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข
“สมน้ำหน้า! กระอักเลือดไปจนตายเลยก็แล้วกัน จะได้ไม่มีปัญญามาก่อความวุ่นวายอะไรอีก!”
แต่ลึกๆ ในใจแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ไม่อยากเชื่อในระดับฝีมือตัวเองเช่นกัน
แน่นอนว่าสิ่งที่ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแกร่งมากขึ้น ล้วนเป็นผลลัพธ์มาจากการฝึกวิชากระบี่เร้นกาย
ตลอด 10 วันที่ผ่านมา แอปฝึกวิชากระบี่เร้นกายเปิดทำงานตลอดเวลา หลินเป่ยเฉินไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนี้ตนเองบรรลุมาถึงขั้นไหนแล้ว แต่ที่ชัดเจนก็คือ ร่างกายของเขาในตอนนี้แข็งแกร่งดั่งภูผา
ยิ่งไปกว่านั้น การฝึกพลังจิตก็มีประโยชน์อย่างที่คาดไม่ถึง
ในที่สุด หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจความหมายของคำอธิบายจากในคัมภีร์ฝึกพลังจิตขั้นพื้นฐานที่ว่า “ภายนอกและภายในหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว”
การเห็นภาพนิมิตล่วงหน้าช่วยทำให้เขาได้เปรียบในการต่อสู้
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าการฝึกพลังจิต มีประโยชน์สำหรับการต่อสู้ ยิ่งกว่าการฝึกวิชาป้องกันตัวใดๆ ในโลก
ต่อให้จอมยุทธ์สองคนมาต่อสู้กัน ด้วยระดับฝีมือที่เท่ากัน แต่ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถใช้พลังจิตเป็นตัวช่วยเสริม ชัยชนะก็อยู่แค่เอื้อมมือแล้ว…
และโลกใบนี้ก็เต็มไปด้วยอันตราย
มีอันตรายอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะสามารถเดินทางกลับโลกมนุษย์ได้ ไม่มีสิ่งใดรับประกันว่าจะไม่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับตัวเขา เพราะฉะนั้น สิ่งจำเป็นที่สุดในตอนนี้ก็คือ เขาต้องพัฒนาวิชาการต่อสู้ของตัวเองและเอาชีวิตรอดต่อไปให้ได้
อย่างเช่นการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านไปเมื่อสักครู่ หากไม่ได้เลื่อนระดับพลังขึ้นมาโดยบังเอิญ ชีวิตของเขาก็คงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้
ช่วงเวลาเท่ากับชงน้ำชาหนึ่งถ้วยผ่านไป…
สุดท้าย เซินเฟยก็กลับมาสงบสุขุมดังเดิม
“ข้าแพ้แล้ว” เซินเฟยกัดฟันกรอด
เป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
เสียงอุทานด้วยความตื่นตะลึงดังออกมาจากกลุ่มศิษย์ที่รับชมอยู่
หลี่เทากับเถาว่านเฉิงมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก
สำหรับพวกเขา เซินเฟยเป็นวีรบุรุษประจำใจ มีความสูงส่งเหนือล้ำยิ่งกว่าหลิงเฉินไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า แต่กลับต้องมาพ่ายแพ้ให้กับเจ้าเศษขยะไร้ค่าประจำเมืองหยุนเมิ่งเสียได้
หลังจากที่เซินเฟยพูดสามคำนั้นออกมา เขาก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หลินเป่ยเฉิน ถึงเจ้าเอาชนะข้าได้ แต่เจ้าก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้อีกแล้ว ต่อให้เจ้าเก่งกาจมากแค่ไหนก็ไร้ความหมาย เพราะว่า…”
พูดมาถึงตรงนี้ เซินเฟยพลันยิ้มแย้มขึ้นมาอีกครั้ง
รอยยิ้มของเขาดูมีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
“พวกเราไม่ได้ต้องการพิสูจน์ว่าใครแข็งแกร่งมากกว่ากัน แต่เป้าหมายของเราคือการเข้าสู่รอบต่อไปให้ได้ ทุกคนจงฟังข้าให้ดี สถานการณ์ในตอนนี้เอื้อประโยชน์ต่อพวกเราเป็นอย่างยิ่ง แขนขวาของหลิงเฉินได้รับบาดเจ็บหนัก นางไม่สามารถใช้กระบี่ด้วยมือข้างนั้นได้อีกแล้ว หลินเป่ยเฉินถึงแม้จะทำได้ดีเมื่อสักครู่ แต่ก็รีดเค้นพลังออกมาจนหมดตัว ในขณะที่เยว่หงเซียง…”
เด็กหนุ่มหันไปมองหน้าเยว่หงเซียงและยิ้มอ่อนให้เล็กน้อยด้วยความเหยียดหยาม “เส้นเอ็นมือขวาของเจ้าฉีกขาดและยังไม่หายดี พวกเจ้าทั้งสามคนไม่สามารถต่อสู้ได้อีกแล้ว จะสามารถรับมือพวกเราได้อย่างไร?”
หลินเป่ยเฉินถึงกับสะดุ้งเฮือก
“จริงด้วยสิ! ที่หมอนี่พูดมามันก็มีเหตุผลนี่หว่า”
บรรดาศิษย์ที่เมื่อสักครู่นี้ยังมีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก เมื่อได้ยินคำพูดของเซินเฟย สีหน้าก็เปลี่ยนแปลงไปในพริบตา
พวกเขารู้แล้วว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร
เซินเฟยกล่าวได้ถูกต้อง
ต่อให้เขาพ่ายแพ้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสถานการณ์จะเปลี่ยนไป
เพราะพวกเขามีจำนวนคนที่มากกว่าฝ่ายหลินเป่ยเฉิน
สถานการณ์ยังอยู่ภายใต้การควบคุมของเซินเฟยดังเดิม
“วันนี้ข้าจะทำให้เจ้าได้เข้าใจเรื่องหนึ่ง” เลือดหยุดไหลออกมาจากบาดแผลบนมือขวาของเซินเฟยแล้ว เขาสยายยิ้มด้วยความมั่นใจในตัวเอง ก่อนที่จะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินด้วยแววตาเหยียดหยามท้าทาย “คนเราเพียงตัวคนเดียว ไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนักหรอก ต่อให้ใจกล้าบ้าบิ่นและมีพลังแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ การจะเป็นผู้มีอำนาจที่แท้จริง บุคคลผู้นั้นจำเป็นต้องประกอบไปด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล และมีสหายคอยสนับสนุนอีกเป็นจำนวนมาก”
คำพูดที่เรียบง่ายของเซินเฟยกลับสามารถปลุกใจคนอื่นๆ ได้อย่างน่าทึ่ง
หลี่เทากับเถาว่านเฉิงไม่ได้มีสีหน้าหมองเศร้าอีกต่อไปแล้ว ทั้งสองคนกลับมาจ้องมองเซินเฟยด้วยแววตาเทิดทูนบูชาอีกครั้ง
“จริงด้วย”
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่การพ่ายแพ้ แต่เป็นการที่แพ้แล้วไม่ลุกขึ้นสู้ต่างหาก
ในทางกลับกัน หากคนเราสามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดและความพ่ายแพ้ของตัวเองได้สำเร็จ ก็จะเกิดประโยชน์มหาศาล
เซินเฟยเต็มใจยอมรับว่าตนเองมีฝีมือเป็นรองหลินเป่ยเฉิน แต่มันกลับทำให้เขาดูมีความเป็นผู้นำมากยิ่งขึ้น
บรรดาผู้คนที่ติดตามเขายิ่งเชื่อใจเซินเฟยมากขึ้นกว่าเดิม
นี่คือเสน่ห์ประจำตัวของเด็กหนุ่มคนนี้
หลินเป่ยเฉินพบว่าสถานการณ์ชักจะไม่เข้าท่าอีกครั้ง
ช่างโชคร้ายที่วันนี้เขาต้องมาพบกับคู่ต่อสู้ที่เหลี่ยมจัดเหลือเกิน
หลินเป่ยเฉินเริ่มคิดด้วยความเป็นกังวลว่า…ถ้าจะให้สู้กันอีกครั้ง เขาจะทำได้เหมือนเดิมหรือเปล่านะ?
เด็กหนุ่มเริ่มชั่งน้ำหนักถึงข้อดีและข้อเสีย
แต่ทันใดนั้นเอง หลิงเฉินพลันขยับเท้าก้าวออกมายืนอยู่เคียงข้างหลินเป่ยเฉิน
“ข้าก็อยากบอกเจ้าเรื่องหนึ่งเหมือนกัน”
หลิงเฉิน เทพธิดายอดอัจฉริยะประจำเมือง ขึงตาจ้องมองเซินเฟยและกล่าวอย่างแช่มช้า “ถึงแม้โบราณจะบอกว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ แต่ก็มีหลายครั้ง ที่คนจำนวนมากไม่ได้มีความได้เปรียบอย่างที่เจ้าคิด เพราะไม่ว่าจะมีลูกแกะอยู่มากมายแค่ไหน สุดท้ายพวกมันก็สู้มังกรเพียงตัวเดียวไม่ได้อยู่ดี”
บาดแผลบนไหล่ขวาของนางยังมีเลือดไหลไม่หยุด
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นบาดแผลที่นางไม่สามารถสมานได้
ดังนั้น นางจึงต้องหันมาถือกระบี่ด้วยมือซ้าย
นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้ากุมด้ามจับกระบี่แนบแน่น ราวกับเป็นหยกที่แกะสลักขึ้นมาอย่างดี ผิวพรรณของมือนางขาวผ่องเหมือนแสงจันทร์บริสุทธิ์ ให้ความรู้สึกสวยงามน่าพิศวง