เฉียนซานเซิ่งกำลังตื่นเต้น
ตื่นเต้นจนร่างกายสั่นเทาไปทั้งตัว
เขาจ้องมองกองทัพที่ทำการปิดล้อมค่ายผู้อพยพ พร้อมกับรับรู้ได้ถึงรสชาติของพลังและอำนาจที่แท้จริง
บิดาของเขาเป็นเจ้าหน้าที่คนใหญ่คนโตของกองทัพ เป็นหนึ่งในผู้คนที่นายทหารจากหลายหน่วยให้ความไว้วางใจมากที่สุด แน่นอนว่าเมื่อบุตรชายอย่างเฉียนซานเซิ่งถูกรังแกโดยคนจากค่ายผู้อพยพแห่งนี้ ผู้เป็นบิดาก็คงอยู่นิ่งเฉยไม่ได้อีกแล้ว
เฉียนซานเซิ่งเห็นว่าห่างออกไปไม่ไกลจากบิดาของตนเอง เป็นกงซุนไป๋กำลังขี่ม้าอยู่ด้านข้าง
เฉียนซานเซิ่งชำเลืองมองไปที่กงซุนไป๋
หึหึ
เขาได้ยินมากับหูว่าก่อนหน้านี้กงซุนไป๋ถูกจับกุมตัวเข้าไปในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง แต่หลินเป่ยเฉินไม่ได้ทำอะไรกงซุนไป๋ ซ้ำยังปล่อยตัวออกมาคล้ายตกลงอะไรบางอย่างกันไว้ และกงซุนไป๋ก็ปล่อยให้บริวารของตนเองทั้ง 19 คนต้องตกระกำลำบากอยู่ในค่ายผู้อพยพแห่งนี้ต่อไป
กลุ่มนายทหารไม่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย แต่ศักดิ์ศรีถูกย่ำยียับเยินไม่มีเหลือ
หัวใจของนายทหารจากหน่วยม้าขาวแตกสลาย
เพราะพวกเขารู้แล้วว่ากงซุนไป๋ไม่ได้ห่วงใยตนเองแม้แต่น้อย
ดังนั้น เฉียนซานเซิ่งจึงไม่ทราบเลยว่ากงซุนไป๋สามารถขึ้นมามีตำแหน่งใหญ่โตถึงเพียงนี้ได้อย่างไร?
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังนึกดีใจที่เห็นกงซุนไป๋อยู่ในกองทัพซึ่งมาปิดล้อมค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งในวันนี้
อย่างน้อยเจ้านั่นก็ต้องมาเผชิญหน้ากับหลินเป่ยเฉิน
เมื่อคิดถึงเด็กหนุ่มจอมเสเพล เฉียนซานเซิ่งก็ต้องกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง
เฉียนซานเซิ่งอดถามตัวเองไม่ได้ว่าเพราะเหตุใดกัน ผู้ที่ถูกเรียกขานว่าเป็นอัจฉริยะประจำตระกูลอย่างเขา ถึงพลาดท่าเสียทีให้แก่เด็กหนุ่มบ้านนอกผู้นี้ได้
แต่วันนี้แหละ กองทัพของนครเจาฮุยจะกวาดล้างขุมกำลังของหลินเป่ยเฉินชนิดถอนรากถอนโคน แม้แต่ต้นหญ้าสักต้นก็คงไม่มีเหลือรอด เฉียนซานเซิ่งอยากจะทำให้เด็กหนุ่มบ้านนอกผู้นี้ได้รู้ว่า การตั้งตัวเป็นศัตรูกับผู้มีอำนาจที่แท้จริงนั้นจะต้องพบจุดจบอย่างไร
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
ชายหนุ่มเกือบจะหัวเราะออกมาแล้ว
อีกไม่กี่อึดใจ หลินเป่ยเฉินจะต้องมาคุกเข่าอ้อนวอนร้องขอชีวิตอยู่ตรงหน้าเขาแน่นอน!
ฮ่าฮ่าฮ่า
ในขณะที่เฉียนซานเซิ่งระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
ปู๊น! ปู๊น! ปู๊น!
บริเวณทางเข้าค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ก็มีเสียงเป่าแตรดังขึ้นสามครั้ง
หลังจากนั้น กลุ่มนายทหารในชุดเกราะสีแดง เหน็บกระบี่ยาวอยู่ข้างเอว ก็วิ่งออกมาจากด้านในค่ายที่พักผู้อพยพ ก่อนจะแบ่งแยกเป็นสองฝั่งซ้ายและขวา
กองทหาร?
ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งมีกองทหารด้วยหรือ?
โค้วจงหนึ่งในแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเว่ยซานหันกลับมามองหน้ากงซุนไป๋ที่นั่งอยู่บนหลังม้าตัวข้างๆ
กงซุนไป๋รีบกล่าวว่า “นี่คือกองทหารคนงานขุดเหมืองของหลินเป่ยเฉิน พวกมันนับว่ามีพลังไม่ต่ำต้อยขอรับ”
โค้วจงนิ่งเงียบ
ตลอดชีวิตที่ผ่านมา เขาเคยพบกับกองทหารที่เป็นหน่วยงานแปลกประหลาดมานับไม่ถ้วน
แต่ไม่เคยได้ยินชื่อกองทหารคนงานขุดเหมืองมาก่อน
เห็นทีหลินเป่ยเฉินคงไม่ใช่เด็กหนุ่มธรรมดาแล้วจริงๆ
แต่โค้วจงก็จำเป็นต้องหาวิธีจัดการเด็กหนุ่มให้ได้
คำว่า ‘จัดการ’ ในที่นี้มีความหมายตายตัว
โค้วจงมาที่นี่เพื่อคลี่คลายสถานการณ์
โค้วจงมาที่นี่เพื่อเจรจาขอตัวประกันกลับคืน
ยิ่งไปกว่านั้น หลินเป่ยเฉินยังได้จับตัวผู้คุ้มกันหอนางโลมบุปผารื่นรมย์เอาไว้ สร้างความไม่พอใจให้แก่เจ้าของหอนางโลมเป็นอย่างยิ่ง
หลินเป่ยเฉินก่อกวนความสงบสุขของพวกเขานับครั้งไม่ถ้วน
หากโค้วจงอยู่นิ่งเฉยต่อเหตุการณ์นี้ ผู้คนในกองทัพเว่ยซานจะไม่มองเขาเป็นตัวตลกเอาหรือ?
โค้วจงเข้าใจว่าเมื่อจับกุมตัวหลินเป่ยเฉินแล้ว ปัญหาทุกอย่างก็จะจบลง
แต่เด็กหนุ่มมีกองทหารเป็นของตัวเองได้อย่างไร?
นี่คือข้อมูลที่โค้วจงไม่เคยรับทราบมาก่อน
โค้วจงรับใช้กองทัพมายาวนานหลายปี วิสัยทัศน์ของเขาย่อมกว้างไกลกว่าเฉียนซานเซิ่งผู้หลงตัวเอง เพียงกวาดตามองปราดเดียว โค้วจงก็ดูออกแล้วว่านายทหารกองนี้ไม่ธรรมดา แต่ละคนล้วนมีพลังทำลายล้างสูงส่งน่าหวาดกลัว
ยังไม่ต้องพูดถึงว่านายทหารเหล่านี้ มีระดับพลังโดยรวมสูงส่งมากกว่าขุมกำลังของพวกเขา…
ในฐานะที่เป็นแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเว่ยซาน โค้วจงย่อมดูออกว่ากองทหารเหล่านี้ ถือเป็นไพ่ตายของหลินเป่ยเฉิน
เพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่ เด็กหนุ่มถึงกล้าลงมือก่อกวนความสงบสุขของพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า?
“ท่านแม่ทัพขอรับ หลินเป่ยเฉินกล้าซ่องสุมกำลังพลอยู่ในค่ายที่พักของตนเองเช่นนี้ เขาคงไม่มีเจตนาดีเป็นแน่แท้”
ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 50 ปีผู้มีหนวดยาวสามเส้นงอกลงมาจากปลายคาง สีหน้าแววตาบอกชัดถึงความเจ้าเล่ห์มากเหลี่ยม พูดออกมาอย่างแช่มช้าว่า “ข้าคิดว่าหลินเป่ยเฉินอาจเป็นสายลับจากพวกชาวทะเล เจตนานำผู้อพยพแฝงตัวเข้ามาอยู่ในนครเจาฮุย เพื่อเตรียมตัวโจมตีจากภายในเมืองของเราขอรับ”
คำพูดนี้แทงทะลุหัวใจโค้วจง
ในฐานะแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเว่ยซาน หัวใจของเขาก็หวั่นไหวขึ้นมาแล้วเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ในข้อนี้
บางทีเขาอาจระแวงมากเกินไป
แต่ไม่ประมาทไว้ก่อนดีกว่า
“สิ่งที่ใต้เท้าเฉียนพูดมาก็มีเหตุผล”
โค้วจงพยักหน้าเชื่องช้า จิตสังหารในแววตาเข้มข้นมากขึ้น
หลังจากนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเป่าแตรดังขึ้นในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งอีกหกครั้งติดๆ กัน
ต่อมา สิ่งที่สายตาของโค้วจงมองเห็นก็คือ หนูยักษ์ขนเงินตัวหนึ่งเดินนำหน้ากองทหารในชุดเกราะสีแดงโบกสะบัดผืนธงปลิวไสวไปกับสายลม และบนธงนั้นก็มีข้อความเขียนเอาไว้ว่า ‘ท่านแม่ทัพผู้แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่เกรียงไกร’
ปรากฏม้าขาวอีกสิบกว่าตัววิ่งออกมาจากในค่ายที่พัก
ผู้คนที่อยู่บนหลังม้าไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะ แต่กลับสวมใส่ชุดเสื้อคลุมธรรมดา ทว่า แววตาของพวกเขาเหล่านั้นกลับทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายของนายทหารแห่งกองทัพเว่ยซานแข็งเกร็งขึ้นมาทันที
ในจำนวนผู้คนเหล่านั้น
มีถึงสามคนที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์
ส่วนผู้ที่มีระดับพลังต่ำต้อยที่สุดในกลุ่มคน ก็มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ตอนปลาย
ผู้ที่มีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ มีอยู่ด้วยกันทั้งหมดถึงสิบคน
สิ่งที่ค้นพบนี้ทำให้โค้วจงแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมาโดยไม่รู้ตัว
เพราะขุมกำลังของฝ่ายตรงข้าม มีความแข็งแกร่งมากกว่าที่เขาเคยประเมินไว้
สถานการณ์เช่นนี้…
ทุกอย่างยังจะเป็นไปตามแผนที่วางไว้อีกหรือไม่?
“ฮ่าฮ่าฮ่า เป็นเพียงผู้คนธรรมดา คิดว่าตนเองมีดีพอที่จะนั่งอยู่บนหลังม้าขาวได้แล้วหรือ?”
เสียงหัวเราะแหบแห้งดังขึ้นในความเงียบ
โค้วจงหันหน้ากลับไปมองทางต้นเสียง
เขาพบว่าผู้ที่ส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมหรูหรา รอบเบ้าตาปรากฏรอยฟกช้ำดำเขียว ชายหนุ่มผู้นี้กำลังขี่อยู่บนหลังอสูรลมกรดที่บังเหียนห้อยสร้อยเงินสร้อยทองและอัญมณีเป็นประกายระยิบระยับ เมื่อเห็นดังนั้น โค้วจงก็อดถามออกมาไม่ได้ว่า “คนผู้นี้เป็นใคร?”
ที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์เฉียนซื่อหัวใจกระตุกวูบ รีบกล่าวว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพ บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นบุตรชายของข้าเอง เขาเพียงอยากติดตามมาช่วยเหลือพวกเรากำจัดตัววายร้ายในค่ายผู้อพยพแห่งนี้ขอรับ”
แต่ยังไม่ทันที่โค้วจงจะได้พูดอะไรต่อไป เขาก็ได้ยินเฉียนซานเซิ่งส่งเสียงตะโกนออกมาต่อเนื่อง “อุ๊ยๆๆ ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน ม้าขาวเหล่านี้ปล่อยให้มีสุนัขขึ้นไปขี่อยู่แผ่นหลังของมันได้อย่างไรกันนะ นับว่าเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดพิสดารเกินไปแล้ว ฮ่าฮ่าฮ่า อิอิอิ โฮะโฮะโฮะ”
เมื่อประโยคนี้ถูกพูดออกมา กงซุนไป๋ซึ่งนั่งขี่ม้าขาวอยู่ไม่ไกล ก็รู้สึกเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ่ ต้องหันไปมองคนพูดด้วยแววตาดุดัน
เห็นดังนั้น เฉียนซื่อก็ยิ่งใจไม่ดี ต้องรีบส่งเสียงคำรามกำราบบุตรชายว่า “เด็กน้อยพูดจาไม่รู้เรื่อง เจ้ากล้าดีอย่างไรมาส่งเสียงโวยวายในกองทัพหลวง? รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้”
เฉียนซานเซิ่งถึงกับชะงักเมื่อเห็นว่าบิดาของตนเองโกรธขึ้นมาจริงๆ แต่เขาไม่สามารถพลาดเหตุการณ์ครั้งนี้ได้ ดังนั้น แทนที่จะควบขี่อสูรลมกรดจากไป ชายหนุ่มจึงบังคับมันถอยหลังไปเพียงเล็กน้อย
ลมหายใจต่อมา
ปู๊น! ปู๊น! ปู๊น! ปู๊น!
เสียงเป่าแตรดังขึ้นหลายครั้งติดๆ กัน
โค้วจงนำกองทัพของตนเองมารอคอยอยู่หน้าค่ายที่พักนานแล้ว สีหน้าของเขาในยามนี้จึงบ่งบอกถึงความไม่พอใจชัดเจน
ค่ายผู้อพยพแห่งนี้ทำไมถึงได้เป่าแตรไม่รู้จักจบสิ้น
เป่าทีเดียวแล้วขนกำลังพลออกมาให้หมดเลยไม่ได้หรืออย่างไร
ต่อให้เป็นสงครามใหญ่แย่งชิงดินแดนระหว่างจักรวรรดิ ก็ยังไม่เคยมีการเป่าแตรซ้ำซ้อนเช่นนี้เลยสักครั้ง
เห็นได้ชัดว่าหลินเป่ยเฉินมีเจตนาก่อกวนพวกเขาแล้ว
หลงเสี่ยวเถียนผู้ซ่อนตัวอยู่ด้านหลังสุดของกองทัพพร้อมเฉินตงหยางผู้เป็นอาจารย์ อดใบหน้ากระตุกด้วยความรำคาญใจไม่ได้
“เด็กเสเพลผู้นี้นับว่าไม่ใช่มนุษย์จริงๆ”
หลงเสี่ยวเถียนกัดฟันกรอด
บัดนี้ เขาเกลียดชังหลินเป่ยเฉินเข้ากระดูกดำ
การที่นักโทษประหารสามารถหลบหนีไปได้ภายใต้การดูแลของเขา คือสิ่งที่ทำให้ภาพลักษณ์ของหลงเสี่ยวเถียนถูกทำลายย่อยยับ เช่นเดียวกับแผนการที่วางเอาไว้ก็สูญสลายลงไปกับตา
เฉินตงหยางยกมือจัดแต่งทรงผมที่ยุ่งเหยิงของตนเองพลางพูดอย่างใช้ความคิดว่า “แต่ข้าไม่เห็นเป็นเช่นนั้น หลินเป่ยเฉินกลับมีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าคอยดูอยู่เงียบๆ เถิด อาจารย์ชักอยากรู้เสียแล้วว่ากองทัพจะจัดการกับเขาอย่างไร ไม่ว่าฝ่ายไหนเป็นผู้ชนะ วันนี้พวกเราศิษย์และอาจารย์ก็คงได้เรียนรู้อะไรอีกหลายอย่างทีเดียว”
“อาจารย์ขอรับ ท่านคิดหรือว่าเด็กเสเพลผู้นี้จะต้านทานกองทัพของพวกเราได้…”
หลงเสี่ยวเถียนพูดโต้แย้งออกไปโดยไม่รู้ตัว
เพี๊ยะ!
เฉินตงหยางพลันหันมาตบหน้าลูกศิษย์ของตนเองจนตัวหมุน ก่อนกล่าว “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้วให้เรียกข้าว่าท่านใต้เท้า”
หลงเสี่ยวเถียนกะพริบตาปริบๆ
ก็เมื่อสักครู่ท่านยังแทนตัวเองว่าอาจารย์อยู่เลยไม่ใช่หรือ?
นี่เป็นเพราะว่าชายชรากำลังหาเรื่องตบตีเขาเสียมากกว่า
ตาเฒ่า ท่านจะทำตัวเช่นนี้ได้อย่างไร