ตอนที่ 687 อยากขโมยซีนกันนักใช่ไหม!
เซียวปิงมีความสุขกับการรับประทานอาหาร
ยามที่กัดเนื้อน้องไก่เข้าไปในปาก เขาก็รู้สึกว่าโลกทั้งใบอยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง
ดังนั้น เซียวปิงจึงไม่ได้สนใจว่าหลินเป่ยเฉินพูดอะไรออกมา
เพี๊ยะ!
พลัน อุ้งเท้าปุกปุยของอากวงกระโดดขึ้นตบด้านหลังศีรษะของเด็กหนุ่ม
“จี๊ด!”
เจ้าหนูยักษ์ขนเงินส่งเสียงคำรามด้วยความไม่พอใจ
นั่นเองเซียวปิงถึงกลับมาสนใจสิ่งรอบข้าง
ตุบ!
น่องไก่ตกลงไปบนพื้นดิน
“จี๊ด!” อากวงร้องออกมาอีกครั้ง
“หา?”
เซียวปิงรีบก้มหยิบน่องไก่ขึ้นมาพูดด้วยสีหน้างงงัน “ท่านพี่เรียกข้าหรือขอรับ?”
เขามองหน้าหลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
“จี๊ด…”
อากวงส่งเสียงดุเหมือนบิดากำลังสั่งสอนบุตรชาย
เซียวปิงเบิกตาโต รีบรับคำว่า “ท่านพี่หลินได้โปรดวางใจ เดี๋ยวข้าน้อยจะออกไปจัดการมันเอง ทุกท่านตั้งใจรับชมให้ดี”
มือข้างที่ถือผืนธงของเซียวปิงจัดการปักด้ามธงลงไปบนพื้นดินที่แข็งโป๊กเสียงดังปึก จากนั้นเขาก็ย่อกายลงเล็กน้อย ก่อนดีดตัวขึ้นไปในอากาศ
“เข้ามาเลย!”
เซียวปิงร้องคำรามในขณะที่พุ่งเข้าไปหาคู่ต่อสู้
เขานำดาบออกมาจากวัตถุเก็บของวิเศษ
ดาบของเด็กหนุ่มมีขนาดใหญ่เท่ากับบานประตู
คมดาบฟันตรงไปที่ซูโหมว
บนใบหน้าของซูโหมวปรากฏความประหลาดใจ
ตัวเขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตนเองมาตลอด
แต่ดูเหมือนเด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามก็เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของตัวเองเช่นกัน
สังเกตได้จากอาวุธที่ใช้เป็นดาบขนาดใหญ่ แต่กลับสามารถควบคุมได้อย่างคล่องแคล่ว เหมือนมันมีน้ำหนักเบาหวิว
ปกติแล้วเมื่อเจอคู่ต่อสู้ที่มีกลยุทธ์ในการต่อสู้คล้ายกัน ผู้คนจำนวนไม่น้อยก็จะเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้
แต่ซูโหมวไม่ได้เป็นหนึ่งในกลุ่มคนเหล่านั้น
เขามักจะใช้กระบี่ของตนเองโจมตีศัตรูเสมอ
หนึ่งกระบี่โจมตีเข้าจุดตาย
พลังลมปราณจากตัวดาบของฝ่ายตรงข้ามปะทะเส้นผมยาวสลวยของซูโหมวปลิวไสว
นิ้วมือที่เรียวยาวของชายหนุ่มกุมอยู่บนด้ามจับกระบี่ข้างเอว
ข้อมือสะบัดฟึบ
ปรากฏลำแสงสีดำพุ่งออกมาจากข้างเอวของเขา
วูบ!
ลำแสงกระบี่พุ่งตัดผ่านอากาศ
ลำแสงกระบี่จากมือซูโหมวสมควรแทงทะลุหัวใจของเด็กหนุ่มร่างอ้วนผู้ลอยตัวอยู่เบื้องหน้า
แต่ลมหายใจต่อมา ทั้งๆ ที่ซูโหมวมั่นใจว่าคมกระบี่ของตนเองแทงทะลุเนื้อหนังของคู่ต่อสู้เข้าไปแล้ว
แต่กลับปรากฏว่าเซียวปิงสามารถยกมือขึ้นมาป้องกันหน้าอกของตนเอง และรับกระบี่ของเขาได้สำเร็จ
ซูโหมวตื่นตะลึง
ฝ่ามือของเด็กหนุ่มสามารถรับคมกระบี่ของเขาได้อย่างไร?
นอกจากนี้ ซูโหมวยังได้รับแรงกระแทกที่ส่งผ่านขึ้นมาจากด้ามจับกระบี่อีกด้วย
ความรู้สึกในขณะนี้กำลังบอกซูโหมวว่าตนเองไม่ได้แทงกระบี่ใส่เนื้อหนังมนุษย์
แต่เขากำลังแทงกระบี่ใส่แผ่นเหล็กกล้าอยู่ต่างหาก
คมกระบี่ของซูโหมวสามารถแทงทะลุฝ่ามือของเด็กหนุ่มร่างอ้วนได้เพียงนิดเดียวเท่านั้น
จากนั้นกระบี่ก็หยุดอยู่กับที่
ในเวลาเดียวกันนี้ ดาบยักษ์ในมือของเซียวปิงก็ฟันลงมาแล้ว
ซูโหมวเบิกตาโตด้วยความตื่นตระหนก ส่งเสียงขู่คำรามอย่างโกรธแค้น ก่อนจะกระแทกกำปั้นของตนเองเข้าใส่คมดาบของฝ่ายตรงข้าม
ผลั่ก!
พลังลมปราณระเบิดออกมา
ซูโหมวรู้สึกหูอื้อ เห็นดวงดาวระยิบระยับอยู่เหนือศีรษะ
อาชาชราที่เขาขี่เกิดความแตกตื่นตกใจ
เจ้าม้าส่งเสียงกรีดร้อง ยกขาหน้าขึ้นสลัดซูโหมวหลุดออกจากบังเหียนบนแผ่นหลัง… ส่งผลให้ชายหนุ่มหล่นลงมานอนกองอยู่บนพื้นดิน
ต่อมา เจ้าม้าก็คุกเข่าลงบนพื้น
เหมือนมันกำลังร้องขอความเมตตาจากเซียวปิง
ผู้ที่ตกตะลึงที่สุดในเหตุการณ์ครั้งนี้คงหนีไม่พ้นตัวของซูโหมวเอง ตอนที่ตกลงมาจากหลังม้าคู่ใจเมื่อสักครู่ ใบหน้าของเขากระแทกพื้นอย่างแรง ทำให้ขณะนี้ยังลุกไม่ขึ้น เซียวปิงก็เดินเข้ามาใช้ด้ามดาบทุบศีรษะของเขาอย่างแรง
ซูโหมวไม่มีเวลาพูดอะไรสักคำ ได้แต่เหลือกตารับความเจ็บปวด ก่อนสลบไปทันที
กองทหารคนงานขุดเหมืองวิ่งออกมาอีกครั้ง พวกเขาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของซูโหมวอย่างชำนาญ เมื่อชายหนุ่มหลงเหลือเพียงกางเกงชั้นในสีม่วงตัวใหญ่ เขาก็ถูกจับมัดมือมัดเท้าและลากหายเข้าไปในค่ายผู้อพยพ
สมาชิกคนหนึ่งของกองทหารคนงานขุดเหมืองสบถออกมาด้วยความผิดหวังว่า “เหตุไฉนคนผู้นี้ถึงได้ยากจนนัก ทั่วร่างกายไม่มีของมีค่าเลยสักชิ้นเดียว แม้แต่กางเกงชั้นในก็เก่าเน่ายืดย้วย บัดซบเกินไปแล้ว ข้าทายสีกางเกงชั้นในของเขาผิด ต้องเสียเดิมพันโอสถเป่ยเฉินโดยไม่จำเป็นเลยจริงๆ…”
พวกเขาเล่นพนันเดิมพันกันว่านายทหารของกองทัพเว่ยซานแต่ละคนสวมใส่กางเกงชั้นในสีอะไรบ้าง
เซียวปิงยกดาบในมือขึ้นชี้หน้าม้าแก่
เจ้าม้าแสดงสีหน้าโล่งอกไม่ต่างจากผู้คน มันรีบลุกขึ้นยืน ไม่จำเป็นต้องให้เด็กหนุ่มร่างอ้วนสั่งงานอะไรอีก มันก็เดินตามทุกคนเข้าไปในค่ายผู้อพยพด้วยความเชื่อฟังเป็นอย่างดี
บัดนี้ เซียวปิงกำลังเก็บดาบยักษ์ของตนเองด้วยสีหน้าพึงพอใจ
เขาก้มมองฝ่ามือซ้าย
บาดแผลจากคมกระบี่กำลังมีเลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด
และภายใต้การจ้องมองของผู้คนจำนวนมาก พวกเขาก็เห็นว่าเด็กหนุ่มร่างอ้วนใช้มือที่มีเลือดออกข้างนั้นหยิบน่องไก่ออกมาจากในอกเสื้อ จัดการปัดฝุ่นบนน่องไก่ออกเล็กน้อย ก็กัดกินอย่างเอร็ดอร่อยอีกครั้งพลางหมุนตัวเดินกลับไป…
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสังเกตเห็นว่าบาดแผลบนฝ่ามือของเด็กหนุ่มร่างอ้วนกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว
แสงแดดฤดูหนาวสาดส่อง
ลมหนาวเย็นเยียบ
ความเงียบปกคลุมทั่วกองทัพเว่ยซาน
โค้วจงได้แต่กะพริบตาปริบๆ กล้ามเนื้อมุมปากกระตุกระริก
เหล่าขุนพลนายทหารแนวหน้าของเขามีสีหน้าเหมือนพบเห็นวิญญาณกลางวันแสกๆ
นี่มันอะไรกัน?
แม้แต่ซูโหมวก็ยังพ่ายแพ้อย่างนั้นหรือ?
ซ้ำยังถูกเจ้าอ้วนเด็กถือธงคนนั้นนำตัวกลับไปในค่ายผู้อพยพอีกด้วย?
บัดนี้ เหล่าขุนพลทหารกล้าต่างก็รู้สึกร่างกายเย็นเฉียบอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ราวกับว่าพวกของตนเองถูกถอดชุดเกราะออกและหลงเหลืออยู่แต่เพียงกางเกงชั้นในเช่นกัน
ชาวเมืองหยุนเมิ่งเหล่านี้แปลกประหลาดเกินไปแล้ว
เพราะเหตุใดถึงชอบจับผู้คนมาเปลือยกายกลางที่สาธารณะหนอ?
หากพวกเขาตกไปอยู่ในกำมือของชาวเมืองเหล่านี้ ก็คงมีเหตุให้ต้องอับอายไปชั่วชีวิตเลยกระมัง?
เฉียนซื่อฉลาดมากพอที่จะไม่พูดอะไรออกมาอีก
ชายวัยกลางคนรู้ตัวดีว่าหากเขาส่งเสียงออกมาแม้แต่เพียงคำเดียว ตนเองก็จะมีสถานะเป็นที่รองรับอารมณ์ของโค้วจงโดยทันที
ผ่านไปเนิ่นนานในความเงียบ
ไม่มีผู้ใดพูดอะไรออกมา
สายลมกรีดตัวดังหวีดหวิว
โค้วจงเดือดดาลจนเลือดขึ้นหน้า ลมหายใจติดขัด
แม่ทัพใหญ่ชักนึกเสียใจขึ้นมาแล้ว
เรื่องนี้ไม่มีเหตุอันใดเกี่ยวข้องกับตัวเขาเลย ทำไมเขาถึงต้องมามีปัญหากับหลินเป่ยเฉินด้วยนะ?
แล้วถ้าเขาตัดสินใจยกกองทัพบุกถล่มค่ายผู้อพยพของหลินเป่ยเฉินตั้งแต่แรก เรื่องราวจะยังคงเป็นเช่นนี้อยู่หรือไม่?
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่ โค้วจงก็ยิ่งรู้สึกเจ็บใจตัวเองมากเท่านั้น
เขาไม่เคยต้องเสียหน้าเช่นนี้มาก่อน
หากวันนี้ไม่สามารถกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาได้ โค้วจงไม่ต้องกลายเป็นตัวตลกให้แม่ทัพใหญ่คนอื่นๆ ในกองทัพหัวเราะเยาะเอาหรือ?
โค้วจงกัดฟันกรอด ค่อยๆ ยกมือขึ้นมาและพูดว่า “หลินเป่ยเฉิน ข้ามอบโอกาสให้แก่เจ้าแล้ว แต่โชคร้ายที่เจ้าไม่เห็นถึงคุณค่าของโอกาสนั้น ด้วยเหตุนี้…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวมาจากทางพื้นที่เมืองเขตหนึ่ง
พื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน
หลังจากนั้น เสียงระฆังแจ้งเตือนก็ดังออกมาจากหลังกำแพงเมืองเขตหนึ่ง
ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้ที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองของพื้นที่เขตสอง ก็สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงจุดสีดำเล็กๆ จำนวนมาก กำลังพุ่งเข้าหากำแพงเมืองเขตหนึ่งจากทางด้านนอก
“พวกชาวทะเลมันโจมตีอีกแล้ว”
ใครคนหนึ่งอุทานออกมา
เสียงตีระฆังแจ้งเตือนดังต่อเนื่อง
ดังทั้งหมด 24 ครั้ง
หลังจากการตีระฆังรอบแรกจบลง การตีระฆังรอบสองก็ดังขึ้นตามมาติดๆ
นี่คือสัญญาณขอความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน
เหล่าขุนพลผู้กล้าแห่งกองทัพเว้ยซานสีหน้าแปรเปลี่ยนไป หัวใจของพวกเขากระตุกวูบ
สัญญาณการตีระฆังอย่างต่อเนื่องนี้ บอกพวกเขาว่ากำแพงเมืองเขตตะวันตกอยู่ในภาวะวิกฤตใหญ่หลวง และกองกำลังที่ต้านทานอยู่ด่านหน้าก็พร้อมที่จะแตกสลายได้ทุกเวลา
นับตั้งแต่มีสงครามระหว่างชาวทะเลกับจักรวรรดิเป่ยไห่ นี่คือครั้งแรกของนครเจาฮุยที่เกิดสัญญาณแจ้งเตือนเช่นนี้ดังขึ้น
หัวใจของโค้วจงกระตุกวูบขณะคิดว่า ไม่ได้การ มีเภทภัยใหญ่หลวงมากกว่าหลินเป่ยเฉินกำลังคุกคามเข้ามาแล้ว
หากชาวทะเลสามารถตีฝ่ากำแพงเมืองชั้นแรกเข้ามาได้ พวกเขาชาวเมืองเจาฮุยก็จะวางกลยุทธ์การต่อสู้ยากลำบากมากกว่าเดิมหลายต่อหลายเท่า
บัดนี้ สีหน้าของหลินเป่ยเฉินก็เปลี่ยนแปลงไปแล้วเช่นกัน
เด็กหนุ่มกำลังโกรธแค้น
เจ้าพวกชาวทะเลบัดซบ
เขากำลังจะแสดงฝีมือสักหน่อย ดันมาขัดจังหวะหน้าตาเฉย
อยากขโมยซีนกันนักใช่ไหม!
ให้อภัยไม่ได้แล้ว
เด็กหนุ่มดาวน์โหลดปืนยิงจรวด Type 69 ออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ ยกมันประทับบนไหล่ เล็งปลายกระบอกไปยังด้านนอกกำแพงเมืองฝั่งตะวันตกของพื้นที่เมืองเขตหนึ่ง หลังจากนั้นก็เหนี่ยวไกยิง
ตู้ม!
เสียงกัมปนาทก้องกังวานในอากาศ
ลูกระเบิดพุ่งเป็นลำแสงสีแดงข้ามผ่านท้องฟ้า ก่อนตกเข้าใส่กลุ่มกองทัพของชาวทะเลที่รวมตัวอยู่นอกกำแพงเมืองหนาแน่น
ทุกสิ่งทุกอย่างหยุดชะงักชั่วคราว
ลมหายใจต่อมา
พื้นดินสั่นไหว
คลื่นพลังบางอย่างแผ่กระจายในอากาศ ส่งผลให้มวลอากาศปั่นป่วนโกลาหล
ก้อนหินที่อยู่บนพื้นดินถูกคลื่นพลังเหล่านั้นบดขยี้กลายเป็นผุยผง
แล้วทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในดวงตาของทุกคนก็ปกคลุมด้วยแสงสีแดงเจิดจ้า
กองทัพชาวทะเลที่อยู่ในจุดตกของลูกระเบิดภายในรัศมีสองลี้พลันสลายหายไปในอากาศ แม้แต่เถ้ากระดูกก็ไม่มีเหลือ
จากนั้น จึงได้เกิดกลุ่มหมอกควันรูปเห็ดขนาดมหึมาลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า!!!