ตอนที่ 689 ความจริงใจใช้เป็นส่วนลดไม่ได้
บรรดาขุนพลแนวหน้าของกองทัพเว่ยซานมีเหงื่อไหลเต็มใบหน้าไปตามๆ กัน
นี่คือครั้งแรกที่พวกเขาเคยเห็นผู้อพยพถือดีถึงเพียงนี้
ผู้อพยพทุกคนล้วนมีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ไม่ต่างจากหมาป่าที่ได้หลุดออกจากกรงขัง
แม้แต่เฉียนซื่อก็ยังต้องยืนตกตะลึงอยู่ตรงนั้น
ท่านแม่ทัพใหญ่ ตอนที่เดินทางมาที่นี่ เราไม่ได้พูดคุยกันไว้เช่นนี้นี่นา!
แล้วนี่เขาต้องกลายเป็นคนจ่ายค่าไถ่อย่างนั้นหรือ?
เฉียนซื่อไม่เข้าใจเลยจริงๆ
แต่คนที่ไม่เข้าใจมากที่สุดก็คือเฉียนซานเซิ่ง
ชายหนุ่มพบว่าอยู่ดีๆ ตนเองก็จะถูกสั่งตัดหัวเสียแล้ว
เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับเขาตรงไหนกัน?
แต่ก่อนที่เฉียนซานเซิ่งจะทันได้พูดอะไร กงซุนไป๋ก็ได้นำบริวารจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาควบคุมตัวบุตรชายสุดที่รักของท่านที่ปรึกษาเอาไว้พร้อมกับใช้เชือกมัดพันธนาการร่างกาย
“เฮอะ พวกเจ้าคิดจะทำอะไร…”
เฉียนซานเซิ่งพยายามดิ้นรน ส่งเสียงร้องโวยวาย
ผลั่ก!
กงซุนไป๋เตะข้อพับขาของเฉียนซานเซิ่ง
ชายหนุ่มล้มโครมลงไปบนพื้นดิน ใบหน้ากระแทกพื้นมีเลือดไหลเต็มปาก
เฉียนซานเซิ่งพยายามจะยันตัวลุกขึ้นมาเพื่อพูดอะไรบางอย่าง แต่แล้วกระบี่สองเล่มก็ทาบลงมาที่ข้างลำคอของเขา
นั่นเอง เฉียนซานเซิ่งจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก และทำได้เพียงก้มหน้ามองพื้นดินด้วยความสงบเสงี่ยมเจียมตนเท่านั้น
เฉียนซื่อเห็นดังนั้นก็ร้อนใจขึ้นมาทันที
“ความจริงใจ ใช่แล้ว พวกเรามาที่นี่เพื่อแสดงความจริงใจ”
ท่านที่ปรึกษาชายวัยกลางคนวิ่งออกมาข้างหน้าพร้อมกับหยิบแหวนทองคำ ซึ่งแกะสลักลวดลายงูสองตัวเลื้อยรัดพันกันรอบวงแหวนออกมาวงหนึ่ง และพูดว่า “นี่คือความจริงใจที่ท่านแม่ทัพโค้วกล่าวถึงเมื่อสักครู่นี้ แหวนวงนี้มีทองคำอยู่ทั้งสิ้นสี่แสนเหรียญ คุณชายหลินได้โปรดรับไป…”
“มีเพียงสี่แสนเหรียญเองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ
เขารับแหวนทองคำมาถือและพูดว่า “พวกท่านเห็นข้าเป็นขอทานหรืออย่างไรฮะ? ตกลงว่าวันนี้ต้องการมาไถ่ตัวผู้คนหรือไม่? หรือว่าท่านมีเจตนาดูถูกข้า”
เฉียนซื่อเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
นี่หรือคือการดูถูก?
ถ้าการดูถูกหมายถึงมีผู้อื่นนำเงินมาให้ครั้งละหลายแสนเหรียญทองคำ อย่างนั้นเฉียนซื่อก็ยินดีโดนดูถูกทุกวันแล้ว
“คุณชายหลิน ได้โปรดใจเย็นลงก่อน นี่เป็นเพียงเงินมัดจำเท่านั้น ใช่แล้ว นี่เป็นเพียงเงินมัดจำ ฮ่าฮ่าฮ่า ส่วนเงินค่าไถ่ที่เหลือนั้นจะรีบจัดส่งให้คุณชายหลินโดยเร็วที่สุด”
เฉียนซื่อพยายามฉีกยิ้ม แต่ยิ่งยิ้ม ใบหน้าของเขาก็ดูน่าเกลียดกว่าตอนร้องไห้เสียอีก
เงินสี่แสนเหรียญทองคำที่อยู่ในแหวนวงนี้ เขาเก็บหอมรอมริบสุดชีวิตเป็นระยะเวลาหลายปี
เมื่อต้องยกให้ผู้อื่นไปต่อหน้าต่อตา
เฉียนซื่อจึงแทบกระอักเลือดออกมาแล้ว
“หืม?”
ใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความไม่สบอารมณ์ของหลินเป่ยเฉินพลันกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นก็ย่อมได้ ตกลงว่าเงินค่าไถ่อีกสี่ล้านเหรียญทองคำที่เหลือ พวกท่านจะจ่ายเมื่อไหร่?”
ว่าไงนะ?
อีกสี่ล้านเหรียญทองคำอย่างนั้นหรือ?
เฉียนซื่อรู้สึกอยากจะเป็นลม
“เรื่องนั้น…”
เขาหันกลับไปมองหน้าท่านแม่ทัพใหญ่โค้วจงด้วยสายตาตั้งคำถาม
แม่ทัพใหญ่โค้วจงยกมือลูบหนวดเคราของตนเอง ก่อนจะหันหน้ามองไปทางอื่น ราวกับไม่เห็นสายตาขอความช่วยเหลือของเฉียนซื่ออย่างไรอย่างนั้น
เฉียนซื่อร้อนใจขึ้นมาในทันที
แม่ทัพใหญ่โค้วจงนับว่าหาเรื่องเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่นโดยแท้จริง
จิตใจอำมหิตมากเกินไปแล้ว
ไม่ใช่ว่าเฉียนซื่อไม่อยากจ่ายเงินค่าไถ่ แต่ตอนนี้ต่อให้ถลกเนื้อเถือหนังเขาออกมาทั้งเป็น เฉียนซื่อก็ไม่มีเงินมาจ่ายอีกสี่ล้านเหรียญทองคำเด็ดขาด
บรรดาขุนพลชั้นแนวหน้าของกองทัพเว่ยซาน ขณะนี้ถึงพวกเขาจะไม่ได้ถูกจับปลดเปลื้องชุดเกราะจนเหลือแต่กางเกงชั้นในตัวเดียว แต่ทุกคนก็รู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ โดยเฉพาะเมื่อได้ยินจำนวนเงินค่าไถ่ถึงสี่ล้านเหรียญทองคำ เหล่านายทหารกล้าก็รู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบที่ไล่ขึ้นมาจากปลายเท้า วิ่งขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง สุดท้ายก็ไปกระจุกความเย็นกันอยู่บนศีรษะของตนเอง
นั่นหมายความว่าเงินค่าไถ่ในครั้งนี้ พวกเขาต้องจ่ายทั้งหมดถึงสี่ล้านสี่แสนเหรียญทองคำเชียวหรือ?
นี่คือจำนวนเงินมากมายมหาศาลในชนิดที่ว่าต่อให้คิดถึงเพียงอย่างเดียว ก็สามารถทำให้ผู้คนเวียนหัวตาลายได้แล้ว
หลินเป่ยเฉินกล้าพูดออกมาได้อย่างไรกันนะ
แต่หลังจากคิดดูดีๆ แล้ว ทุกคนก็อดรู้สึกเศร้าใจไม่ได้
โดยเฉพาะแม่ทัพใหญ่โค้วจง
เขาเป็นนายทหารชื่อดังประจำกองทัพเว่ยซาน บัดนี้กลับถูกกลุ่มผู้อพยพข่มขู่คุกคามกลางวันแสกๆ โดยที่ฝ่ายของตนเองไม่กล้าโงหัวขึ้นสู้
พวกเขาจะไปเอาเงินมาจากที่ไหนกัน?
ต่อให้ตาย โค้วจงก็คิดหาคำตอบไม่ได้จริงๆ
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็หันกลับมามองหน้าแม่ทัพใหญ่ของกองทัพเว่ยซานเขม็ง
“เลิกล้อเล่นกันได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด “วันนี้ข้าอยากเห็นความจริงใจของทุกท่านแบบไม่มีข้อสงสัย แต่ถ้าข้ารู้สึกว่าพวกท่านไม่ได้มีความจริงใจ รับรองเลยว่ากองทัพของพวกท่านจะไม่มีใครได้กลับออกไปอย่างมีชีวิตเด็ดขาด ข้าไม่สนหรอกว่าพวกท่านจะเป็นใคร เพราะข้ามันเป็นเพียงเด็กหนุ่มหล่อเหลาสมองเสื่อม ผู้ที่องค์จักรพรรดิทรงละเว้นโทษประหารชีวิตเพราะเห็นว่าข้ามีสติปัญญาไม่สมประกอบ และต้องไม่ลืมว่าข้ามีวิชากระบี่เขย่าโลกาหัตถาครองพิภพอยู่ในมือ ซึ่งมันเป็นวิชาที่พร้อมจะส่งพวกท่านลงนรกได้ทุกเมื่อ”
กล้ามเนื้อบนใบหน้าของโค้วจงกระตุกอย่างควบคุมไม่ได้
เขารู้แล้วว่าวันนี้ตนเองคงหนีกลับไปไม่ได้เด็ดขาด
เฉียนซื่อก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
บรรยากาศแห่งความเงียบผ่านไปอึดใจใหญ่ เฉียนซื่อผู้มีประสบการณ์เป็นที่ปรึกษาวางแผนกลยุทธ์สู้รบมาอย่างโชกโชนย่อมรู้ดีว่า ครั้งนี้หากเขากดดันพวกเดียวกันเองมากเกินไป ความหวังที่จะรอดชีวิตกลับออกไปจากที่นี่ ก็คงริบหรี่มากกว่าเดิม
“หลานชาย…”
โค้วจงพยายามบังคับให้ตัวเองยิ้มออกมาให้ได้ “โปรดฟังก่อน การพิสูจน์ความจริงใจในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าเจ้าพอจะลดราคาได้บ้างหรือไม่”
“หึหึ”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ ก่อนตอบ “ความจริงใจที่สามารถลดราคา ยังจะเรียกว่าเป็นความจริงใจได้อีกหรือ?”
โค้วจงถึงกับชะงักไปเล็กน้อย
นั่นก็จริงอยู่ แต่เจ้าเรียกร้องเงินก้อนโตมากเกินไป
เขาได้แต่คิดและไม่กล้าพูดออกมา
“หลานชาย เจ้าจำได้ไหมว่าตอนเจ้าเด็กๆ ข้ายังเคยอุ้มเจ้าเลยด้วยซ้ำ ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเรา…”
โค้วจงตัดสินใจก้มหน้าลงส่งเสียงหัวเราะ เหมือนคนที่กำลังนึกถึงความหลังอันแสนสุข
“เฮอะ ไม่ทราบว่าใครเป็นหลานชายท่าน?”
หลินเป่ยเฉินแกล้งทำเป็นขยับกระบอกปืนที่แบกอยู่บนไหล่แบบปลอมๆ อีกครั้ง ก่อนตะโกนว่า “จ่ายค่าไถ่อีกสี่ล้านเหรียญทองคำมาเดี๋ยวนี้!”