บทที่ 71 เข็มกลัด 10 ชิ้น
“อันที่จริง ตอนแรกที่ข้าฝึกกระบี่ ข้าไม่ได้ฝึกด้วยมือขวา แต่ว่า…”
หลิงเฉินสะบัดมือซ้ายอย่างคล่องแคล่ว
“ควับ ควับ ควับ!”
กระบี่ในมือนางตวัดวูบไหวเป็นประกายระยิบระยับ
พร่างพรายยิ่งกว่าดวงดาราบนท้องฟ้ายามราตรี
“ข้าฝึกด้วยมือซ้าย”
แล้วสีหน้าของเด็กสาวก็กลับมาดุดันอีกครั้ง
จากนั้นนางก็ลงมือโจมตี
พูดโดยรวมก็คือ คนส่วนใหญ่เมื่อฝึกกระบี่ด้วยมือขวาแล้ว ก็จะไม่มีทางใช้งานกระบี่ด้วยมือซ้ายได้อย่างคล่องแคล่ว ความรุนแรงในการโจมตียิ่งลดน้อยลงไปหลายเท่า หรือต่อให้ใช้กระบี่ได้ถนัดทั้งสองมือ ก็ไม่มีทางที่ความน่ากลัวในกระบวนท่าที่ใช้ออกมาจะเท่ากันเด็ดขาด
อย่างไรพลังในการโจมตีก็ต้องลดลง
แต่หลิงเฉินคือข้อยกเว้น
ขณะนี้ กระบี่ธรรมดาที่อยู่ในมือซ้ายของนาง มันได้กลายเป็นสุดยอดกระบี่ที่น่ากลัวยิ่งไปแล้ว
ทุกครั้งที่ตวัดฟาดฟัน คู่ต่อสู้จะต้องถอยหลังกลับไป…
คู่ต่อสู้ของหลิงเฉินย่อมเป็นศิษย์อัจฉริยะประจำเมือง
บรรดาลูกสมุนของเซินเฟยได้ยินเสียงคมกระบี่แหวกอากาศ ยังไม่ทันตั้งตัว ร่างกายก็ถูกกระแทกลอยกระเด็นออกมาแล้ว
หลิงเฉินโจมตีด้วยด้ามกระบี่เท่านั้น
หากนางคิดโจมตีด้วยคมกระบี่ขึ้นมาจริงๆ คนเหล่านี้คงไม่มีใครรอดชีวิต
หลี่เทากับเถาว่านเฉิงถลาเข้ามารับมือหลิงเฉินไม่รอช้า
พวกเขาทั้งสองคนได้รับการยกย่องให้เป็นสองอัจฉริยะประจำสถานศึกษากระบี่หลวง ยิ่งร่วมมือกัน พลังการต่อสู้ยิ่งแข็งแกร่ง
ที่น่ากลัวก็คือ เด็กหนุ่มทั้งสองสามารถสอดประสานเพลงกระบี่ของกันและกันได้อย่างน่าทึ่ง
แต่หลิงเฉินที่ใช้งานได้เพียงมือซ้าย กลับสามารถเอาชนะพวกเขาได้ในกระบวนท่าเดียว
กระบี่ในมือสองเด็กหนุ่มแตกหักเป็นสองท่อน
ในเวลาเดียวกันนี้ มือที่กุมด้ามจับกระบี่ของพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงกระแทกอันหนักหน่วง ผิวหนังบริเวณข้อต่อระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วโป้งพลันฉีกขาดเลือดพุ่งกระฉูด
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มไม่ดี เซินเฟยก็ใช้วิชาตัวเบาวิญญาณล่องนภาลอยตัวไปชักกระบี่หมื่นดาราขึ้นมาจากพื้นดิน หลังจากนั้น เขาก็เริ่มต้นร่ายรำกระบวนท่ากระบี่ฝนดาวตกอีกครั้ง เมื่อมีกระบี่อยู่ในมือ เด็กหนุ่มก็กลับมาเป็นพยัคฆ์ติดปีก ในอากาศพลันเต็มไปด้วยประกายกระบี่ระยิบระยับ ดูสวยงามตระการตาเหลือเกิน
“ให้มันจบที่ตรงนี้เถอะนะ” หลิงเฉินคำรามออกมาแผ่วเบา
นางเสือกแทงกระบี่ออกไปข้างหน้า
เกิดแสงสว่างวูบวาบ
“ติ๊ง!”
กระบี่หมื่นดาราสะบัดตัวไปข้างหลัง
“ปริ๊…เปรี๊ยะ!”
วินาทีต่อมา รอยแตกร้าวก็ปรากฏขึ้นบนตัวกระบี่ ก่อนที่อาวุธคู่กายของเด็กหนุ่มจากสำนักยุทธ์อิสระจะแตกกระจายไปต่อหน้าต่อตา
เศษกระบี่ปลิวว่อนในอากาศ บางส่วนถึงกับบาดแก้มเซินเฟยเป็นรอยแผล
“ติ๋ง!”
เลือดไหลหยดลงมาจากข้างแก้มของเด็กหนุ่ม
เซินเฟยยืนตัวแข็งทื่อ
ดวงตาเบิกกว้างด้วยความเหลือเชื่อ
ในชีวิตไม่เคยเข้าใกล้ความตายมากเท่านี้มาก่อน
เขาพ่ายแพ้
คราวนี้พ่ายแพ้โดยสมบูรณ์
กระบี่หมื่นดาราของเขามีคุณภาพมากกว่ากระบี่ทั่วไปในมือหลิงเฉินหลายร้อยเท่า กระบี่ของเขาไม่ใช่กระบี่ที่สามารถพบได้ในมือของเวรยามทั่วเมืองหยุนเมิ่งเหมือนของนาง
แต่กระบี่ในมือนางกลับทรงพลังเหลือเกิน
เซินเฟยไม่สามารถรักษาความเยือกเย็นได้อีกแล้ว สมองของเขาขาวโพลน
เขาไม่สงสัยอีกแล้วว่าถ้านี่เป็นการต่อสู้หมายมั่นเอาชีวิตกันจริงๆ ตนเองก็คงไม่มีทางรอด ไม่คิดเลยว่าเมื่อบังคับไม่ให้หลิงเฉินใช้มือขวาของนางได้สำเร็จ แต่มือซ้ายของเด็กสาวกลับสามารถใช้งานกระบี่ได้น่ากลัวมากกว่ามือขวาเจ็ดถึงแปดเท่า
นี่เองกระมังถึงทำให้นางได้ตำแหน่งศิษย์หญิงยอดอัจฉริยะประจำเมือง ที่เป็นรองก็แต่เพียงหลินถิงชานเท่านั้น
เซินเฟยไม่อยากยอมรับเลยว่าตนเองพ่ายแพ้แล้ว
ด้วยพรสวรรค์ของเขา ด้วยระดับฝีมือของเขา เซินเฟยภูมิใจในความสามารถของตนเองเสมอมา
เหตุผลที่เซินเฟยเลือกเล่นงานหลิงเฉินในตอนนี้ก็คือ เขาอยากแสดงให้ทุกคนเห็นว่าตนเองก็เก่งกาจไม่แพ้หลิงเฉิน ต่อให้สุดท้ายเขาอาจพ่ายแพ้ แต่ช่องว่างระหว่างขั้นพลังก็ไม่น่าห่างชั้นกันเกินไป
แต่ว่า…
“อะเฮื้อ…พรวด!”
เซินเฟยกระอักเลือดด้วยความสะเทือนใจออกมาเป็นครั้งที่สาม
หลังเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ทุกคนแล้ว หลิงเฉินก็สอดกระบี่คืนฝัก เดินกลับมายืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉิน
พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัว เป่าเส้นผมของนางปลิวกระจาย ยิ่งขับเน้นใบหน้าของหลิงเฉินให้ดูงามสง่ามากยิ่งขึ้น นางไม่ได้ดูน่ากลัวเลยแม้แต่น้อย กลับดูดีมีเสน่ห์อย่างประหลาดด้วยซ้ำ
บรรดาลูกสมุนของเซินเฟยเมื่อเห็นว่าเหตุการณ์เป็นเช่นนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าผลีผลามลงมือโดยพลการ
เซินเฟยก้มมองกระบี่ที่แตกหักในมือตัวเอง หยดเลือดไหลซึมออกมาจากมุมปาก จึงได้แต่นิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน พูดอะไรไม่ออก
ความเงียบปกคลุมบรรยากาศเป็นเวลาห้าถึงหกชั่วลมหายใจ
ในที่สุด เซินเฟยก็สามารถเงยหน้าขึ้นมาได้อีกครั้ง แววตาเป็นประกายเคียดแค้นอัดอั้น เขาคำรามออกมาเสียงดัง ไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งใจพูดปลุกใจทุกคนหรือตั้งใจให้กำลังใจตัวเองกันแน่ “ไม่ได้ พวกเราจะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด”
เซินเฟยพลันหันหน้ามากวาดตามองรอบตัว
ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดของเด็กหนุ่มจ้องมองกลุ่มลูกสมุนที่เป็นเหล่าอัจฉริยะจากสถาบันต่างๆ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคงว่า “พวกเจ้าจำคำสัญญาของข้าได้หรือไม่? ข้าสัญญาว่าใครก็ตามที่แข็งแกร่งหรือมีความซื่อสัตย์กับข้ามากที่สุด จะได้ผ่านเข้ารอบต่อไปพร้อมกับข้า คำสัญญานี้ยังคงอยู่ แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้มีคนกำลังขวางทางพวกเรา…”
ความรู้สึกโกรธแค้นเดือดดาลปกคลุมบรรยากาศอย่างรวดเร็ว
เขาใช้กระบี่หักในมือชี้หน้าหลิงเฉินกับหลินเป่ยเฉิน แล้วพูดต่อด้วยแววตาดุร้าย “สองคนนี้ขวางทางพวกเรา พวกมันสามารถเข้าสู่รอบต่อไปได้ไม่มีปัญหา นั่นยิ่งทำให้โอกาสของเราลดน้อยลงไปอีก ทุกคนจงฟังข้าให้ดี โอกาสนี้มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น พวกเจ้าจะช่วยกันต่อสู้เพื่อเข้าสู่รอบต่อไปให้ได้ หรือจะยอมรับชะตากรรม ตกรอบไปโดยไม่ทำอะไรเลย?”
บรรดาศิษย์อัจฉริยะที่ก่อนหน้านี้หมดหวังต่อการเข้ารอบต่อไป เริ่มกลับมาหายใจฟืดฟาดด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมอีกครั้ง
พวกเขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉินด้วยความเกลียดชัง
เซินเฟยใส่ไฟต่อไปไม่หยุดว่า “ถ้าพวกเราพยายามให้เต็มที่ จะอย่างไรก็สามารถเอาชนะพวกมันทั้งสองคนได้แน่นอน พวกเราจะได้เข้าสู่รอบต่อไปด้วยกัน หากพวกเจ้ายอมแพ้เสียแต่ตอนนี้ มันจะเป็นฝันร้ายในชีวิตไปตลอดกาล เมื่อพวกเจ้าหวนนึกถึงวันนี้อีกครั้ง ก็จะต้องสำนึกเสียใจว่าตนเองช่างไร้ประโยชน์เหลือเกิน บนเส้นทางแห่งวิถีจอมยุทธ์ เราต้องทุ่มเททุกอย่างที่เรามี เราต้องพยายามต่อสู้ให้เต็มที่ ข้าเซินเฟยคนนี้ต้องพ่ายแพ้ให้แก่พวกมันทั้งสองคน ถึงกระบี่หลุดออกจากมือก็ไม่คิดยอมแพ้…แล้วพวกเจ้าคิดยอมแพ้กันหรือไม่?”
นี่คือความพยายามครั้งสุดท้ายของเซิยเฟย
เถาว่านเฉิงยกกระบี่ที่หักเป็นสองท่อนขึ้นมา ส่งเสียงคำรามและพุ่งเข้าไปหาหลินเป่ยเฉิน
หลี่เทาก็กระโจนเข้าไปหาหลินเป่ยเฉินด้วยดวงตาแดงก่ำเหมือนสัตว์ร้ายบาดเจ็บ
เซินเฟยระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ ตวัดกระบี่หมื่นดาราในมือ โถมกายเข้าหาหลิงเฉิน
เหล่ายอดอัจฉริยะอีกสิบคน เช่น เผิงอี้หมิง หลี่รุ่ย จั้วไคซิน และคนอื่นๆ ต่างก็ชักกระบี่ออกมาห้อมล้อมรอบกายหลินเป่ยเฉินกับหลิงเฉิน
เซินเฟยกล่าวได้ถูกต้อง
พวกเขาหันหลังกลับไม่ได้อีกแล้ว
ความหวังเดียวคือสู้ต่อไป
ไม่มีใครอยากตกรอบไปด้วยชะตากรรมที่น่าอนาถเช่นนี้
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้…” หลิงเฉินพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ข้าก็จะทำให้พวกเจ้าไม่สามารถจับกระบี่ได้อีก”
เด็กสาวโบกสะบัดกระบี่ด้วยมือซ้ายอีกครั้ง
แต่ในจังหวะนั้นเอง หลินเป่ยเฉินพลันโพล่งออกมาว่า “ทุกคนหยุดมือก่อน เราไม่จำเป็นต้องมาฆ่าฟันกันเช่นนี้เลย ข้ามีวิธีทำให้พวกเจ้าได้เข้ารอบต่อไปกันทุกคน…”
ประโยคนี้เหมือนมีเวทมนตร์
เมื่อพูดออกไปแล้ว หัวใจของเหล่าศิษย์อัจฉริยะก็กระตุกวูบ ที่พวกเขาต้องทำเช่นนี้ ก็เพราะเชื่อตามคำยุยงของเซินเฟย ซึ่งเป่าหูว่ามีแต่วิธีนี้เท่านั้นพวกเขาถึงจะสามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ
ดังนั้น ทุกคนจึงหยุดชะงักไปทันที
“บอกมาว่าเจ้ามีแผนการอย่างไร?” เผิงอี้หมิงพูดเสียงดัง
“อย่าไปเชื่อมัน เจ้าเศษขยะไร้ค่าคนนี้แค่อยากซื้อเวลา พวกเรา…” หลี่เทาคำรามขัดขึ้น
แต่วินาทีต่อมา เสียงของเด็กหนุ่มหน้าขาวก็กระจุกอยู่ในลำคอของตัวเอง
หลินเป่ยเฉินยื่นมือออกมาข้างหน้า
มือของเขาเรียวยาวสวยงามยิ่งกว่ามือสตรี
แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น
ประเด็นก็คือบนฝ่ามือของเด็กหนุ่มมีเข็มกลัดดาราถึง 10 ชิ้นด้วยกัน
เข็มกลัดล้ำค่ากำลังล้อประกายกับแสงแดดระยิบระยับสวยงาม
เหล่าศิษย์โดยรอบพากันจับจ้องเข็มกลัดทั้ง 10 ชิ้นนี้อย่างไม่ละสายตา