ตอนที่ 692 เหรียญทองจ๋า… ข้ามาแล้ว
หลินเป่ยเฉินยืนยิ้มแฉ่งอยู่หน้ากองเหรียญทองคำที่ทับถมกันสูงเป็นภูเขาเลากา
เหรียญทองที่กองอยู่ตรงหน้าเขาขณะนี้มีมูลค่าหลายล้านเหรียญ
เพื่อเป็นการแสดงความจริงใจอย่างสูงสุด โค้วจงจึงได้สั่งให้บริวารของตนเองนำเหรียญทองคำจากวัตถุเก็บสมบัติออกมาเทต่อหน้าหลินเป่ยเฉิน จนมันกลายเป็นภูเขาทองคำขนาดย่อม
เหรียญทองคำเปล่งประกายระยิบระยับภายใต้สายลมหนาว
ค่ายที่พักของผู้อพยพชาวเมืองหยุนเมิ่ง ซึ่งเคยดูยากจนแร้นแค้น บัดนี้กลับดูหรูหรามีสง่าราศีขึ้นมาในพริบตา
ใบหน้าของผู้คนถูกอาบไล้ไปด้วยประกายจากเหรียญทองคำเหล่านั้น
แม้แต่เฉียนเหมยกับเฉียนเจินก็ยังมีความงดงามมากขึ้นเมื่อร่างกายตกอยู่ภายใต้การปกคลุมของประกายสีทองคำ
นับเป็นภาพที่น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง
เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นเหรียญทองคำมากมายขนาดนี้มาก่อน
“งู้ย เหรียญทองจ๋า… ข้ามาแล้ว”
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงครางในลำคอ
ต่อจากนั้น เขาก็อ้าแขนกว้างและกระโดดเข้าใส่กองเหรียญทองคำ
“ความฝันของข้าเป็นจริงแล้ว อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า”
น่าเสียดายที่สัมผัสแห่งการกระโดดในครั้งนี้ ไม่ได้นุ่มนวลเหมือนกระโดดใส่กองธนบัตรที่เป็นกระดาษ
อันที่จริง มันเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง
ใบหน้าของเด็กหนุ่มกระแทกเข้ากับเหรียญทองคำอย่างแรง
บัดซบ
เจ็บเหมือนกันนะเนี่ย
หลินเป่ยเฉินปีนขึ้นไปนั่งอยู่บนยอดสูงสุดของกองเหรียญทองคำ พูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “หวังจง เจ้าไปมุดหัวอยู่ที่ไหน หวังจงโว้ย!”
หวังจงรีบวิ่งแหวกกลุ่มผู้คนออกมาด้วยดวงตาเป็นประกาย พูดน้ำเสียงประจบประแจงว่า “หวังจงมาแล้ว นายน้อยต้องการอะไรหรือขอรับ?”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดและกล่าว “เจ้านำเงินหนึ่งล้านเหรียญทองคำเก็บเอาไว้ใช้สร้างสถานศึกษา แต่ห้ามแอบยักยอกเอาไว้ใช้เองเด็ดขาด หากข้ารู้ว่าเจ้าแตะต้องเงินเหล่านี้ด้วยเหตุผลส่วนตัวแล้วละก็ รับรองว่าเจ้าไม่มีทางได้ตายดี”
หวังจงชะงักกึก น้ำตาคลอเต็มสองเบ้า
นายน้อยให้เขาดูแลเงินถึงหนึ่งล้านเหรียญทองคำเลยหรือ?
นี่เป็นเพราะว่านายน้อยเชื่อใจหวังจงคนนี้มากเลยสินะ
ชายชรายกมือตบหน้าอกตนเองและให้คำสัญญาว่า “นายน้อยได้โปรดวางใจ คำว่าจงในชื่อหวังจงมาจากจงรักภักดี หวังจงคนนี้เลี้ยงดูนายน้อยเสมือนบุตรชายของตนเอง…”
“หุบปากซะ”
หลินเป่ยเฉินตวาด กระโดดลงจากกองเหรียญทองคำและลอยตัวถีบขาคู่ใส่ชายชรากระเด็นออกไป
ตาแก่นี่เห็นโอกาสไม่ได้ ต้องคอยประจบเขาทุกทีสิน่า
ชาวเมืองหยุนเมิ่งที่มารวมตัวกันอยู่ในขณะนี้ เมื่อเห็นกองเหรียญทองคำขนาดใหญ่โตมโหฬารด้วยตาของตนเอง พวกเขาก็อดอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นไม่ได้
หลายคนมีชีวิตอยู่มาอย่างยืนยาว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้มีวาสนาพบเห็นเงินทองมากมายถึงเพียงนี้
นี่เป็นภาพที่ไม่ใช่จะพบเห็นกันได้ง่ายๆ
บริเวณนอกค่ายที่พัก กลุ่มผู้อพยพจากเมืองอื่นๆ มารวมตัวกันและจ้องมองกองเหรียญทองคำที่อยู่ในใจกลางค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ถึงจะมองดูจากระยะไกล แต่พวกเขากลับรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด แม้แต่สายลมหนาวก็ทำอะไรพวกเขาไม่ได้อีกแล้ว
เหรียญทองคำเหล่านี้เป็นเสมือนความหวังที่พวกเขาไม่เคยพบเจอมาเนิ่นนาน
“หลานชาย นี่คือความจริงใจของข้า”
โค้วจงเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นอ่อนโยน ยิ้มแย้มด้วยความเอ็นดูเด็กหนุ่ม
ไม่ต่างจากญาติผู้ใหญ่ใจดีคนหนึ่ง
“โอ๊ะ ใช่แล้วขอรับ ความจริงใจของท่านครบถ้วน และเป็นของแท้แน่นอน”
หลินเป่ยเฉินสุ่มหยิบเหรียญทองคำเหรียญหนึ่งขึ้นมาลองกัด หลังจากนั้น ทุกคนก็ได้ยินเสียงดังถนัดหู
ก๊อก !
นี่คือสิ่งที่เด็กหนุ่มอยากทำมานานแล้ว
เขาเคยเห็นพวกตาแก่ในโรงรับจำนำเวลาจะพิสูจน์ว่าทองคำเป็นของจริงหรือไม่ ก็มักจะนำขึ้นมาใช้ฟันกัดเสมอ
หลินเป่ยเฉินจึงลองทำดูบ้าง
“ฮ่าฮ่า หลานรัก คืนนี้ข้าจะจัดเลี้ยงที่หอนางโลมบุปผารื่นรมย์ เจ้ากับข้าไปดื่มกินและรับการปรนนิบัติจากสาวๆ สักหน่อยดีหรือไม่?”
โค้วจงยิ้มกว้างมากกว่าเดิม
บุคลิกของเขาสามารถปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว
หลังจากที่ต้องเบิกงบหลวงมาจ่ายเงินค่าไถ่เป็นจำนวนมหาศาลถึงห้าล้านเหรียญทองคำ พฤติกรรมของแม่ทัพใหญ่โค้วจงก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ทุกคนไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นก็ได้เห็น สิ่งที่ทุกคนไม่เคยคิดว่าจะได้ยินก็ได้ยิน
บัดนี้ แม่ทัพโค้วจงมีความตั้งใจแน่วแน่ที่จะผูกมิตรกับหลินเป่ยเฉินให้จงได้
เด็กหนุ่มคนนี้มีพลังอยู่ในขั้นเซียน ไม่ว่าจะอยู่ในขั้นเซียนระดับไหน แต่ก็นับว่าเป็นคนที่สามารถพลิกสถานการณ์ได้แล้ว
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าหากมีสัมพันธ์อันดีงามแน่นเเฟ้น ภายภาคหน้า หลินเป่ยเฉินก็จะต้องทำให้เขาเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ประจำนครเจาฮุยได้อย่างแท้จริง
ในเมื่อต้องเสียเงินเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเพียงนี้ แม่ทัพใหญ่โค้วจงก็จำเป็นต้องกอบโกยผลประโยชน์ให้คุ้มค่ามากที่สุด
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินหันขวับกลับมามองหน้าแม่ทัพใหญ่ และพูดด้วยน้ำเสียงห่างเหิน “จัดเลี้ยงที่หอนางโลม? ไม่มีทาง ข้าไม่ไปที่นั่นเด็ดขาด”
ผู้เป็นแม่ทัพใหญ่เข้าใจว่าเด็กหนุ่มอาจจะเขินอาย จึงรีบกล่าวด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “เจ้าจะปฏิเสธได้อย่างไร นี่คือสัญญาที่ข้าให้ไว้กับบิดาของเจ้ามานานแล้ว ไม่ได้เด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรคืนนี้ข้ากับเจ้าจะไปที่หอนางโลมและดื่มกันสักหลายจอก ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ “ข้าไม่ควรเคารพท่านเลยจริงๆ ไสหัวไปซะ”
แม่ทัพใหญ่โค้วจงเบิกตาโต
ทำไมเจ้าเด็กคนนี้ถึงได้เปลี่ยนท่าทีอีกแล้วละนี่?
เกิดอะไรขึ้น?
หลินเป่ยเฉินหันกลับมามองกองเหรียญทองคำที่อยู่เบื้องหน้า ประกายสีทองคำช่างสวยงามยากที่จะละสายตาออกไปได้ เด็กหนุ่มจึงฉุกใจคิดได้ว่าเขาไม่ควรทำตัวเช่นนี้กับผู้ที่ให้เงินแก่ตนเอง
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงพูดว่า “ข้าเข้าใจว่าท่านมีเจตนาดี แต่ช่วงนี้ข้างานยุ่งมาก ไม่มีเวลาเลยขอรับ ว่าแต่หอนางโลมแห่งนั้น หากข้าไปใช้บริการในภายหลัง…ไม่ทราบว่าพอจะได้รับส่วนลดบ้างหรือไม่?”
แม่ทัพใหญ่โค้วจงพูดอะไรไม่ออก
ได้แต่จ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความไม่อยากเชื่อ
เขาไม่อยากเชื่อสิ่งที่ตนเองได้ยิน
ขอส่วนลดอย่างนั้นหรือ?
นี่คือเรื่องที่คนปกติธรรมดาเขาพูดคุยกันในที่สาธารณะหรืออย่างไร?
แม่ทัพโค้วจงไม่เข้าใจกระบวนการความคิดในสมองของเด็กหนุ่มเลยจริงๆ
ถึงจะเคยผ่านสมรภูมิสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน เผชิญหน้าศัตรูร้ายไม่จำกัดจำนวน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่โค้วจงรู้สึกเดือดดาลใจขึ้นมาอย่างแท้จริง
หลินเป่ยเฉินนับว่าได้คืบจะเอาศอก
แม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพเว่ยซานโกรธแค้นจนแทบจะเป็นลม
หนวดเคราของเขาสั่นไหว
“ย่อมได้ ย่อมได้ ย่อมได้…”
เขาพูดคำนี้ออกมาสามครั้งติดกัน เพื่อข่มกลั้นอารมณ์ฉุนเฉียวของตนเอง “เจ้าต้องได้รับส่วนลดเป็นกรณีพิเศษอยู่แล้ว”
พลัน ท่านแม่ทัพโค้วจงยกมือโบกสะบัดและคำรามว่า “ที่ปรึกษาเฉียน ท่านมัวทำอะไรอยู่ หากใช้บริการจัดเลี้ยงห้องอาหารที่หรูที่สุดในหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ หลานชายของข้าจะต้องจ่ายเท่าไหร่?”
เฉียนซื่อยังคงหูอื้อตาลายไม่เสื่อมคลาย พูดตะกุกตะกักออกมาว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพ… เรื่องนั้น ข้าไม่อาจทราบได้ เพราะมันไม่ใช่สถานที่ที่ข้าเคยไป”
โค้วจงหันกลับมามองหน้าที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ด้วยแววตาเย็นเยียบ “ไม่จริง ท่านไปที่นั่นบ่อยจะตาย”
“ข้าไม่เคยไปจริงๆ ขอรับ…”
“ท่านเคยไป”
“คือว่า… อ้อ ข้าจำได้แล้วขอรับ บริวารของข้าผู้หนึ่งเป็นลูกค้าประจำของที่นั่น เขาบอกว่าการจัดเลี้ยงในห้องอาหารที่แพงที่สุดของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ มีค่าใช้จ่ายอยู่ที่คืนละ 1,000 เหรียญทองคำขอรับ”
“แล้วท่านมัวทำอะไรอยู่ ทำไมถึงยังไม่จ่ายออกมาอีก”
“เอ๋ ข้าต้องจ่ายหรือขอรับ?”
“ไม่ใช่ท่านแล้วยังจะเป็นผู้ใด?”
“แต่ว่า… อุ๊ย… ได้ขอรับท่านแม่ทัพ… ไม่มีปัญหา”