ตอนที่ 697 กระบี่บินได้?
อีกหนึ่งวันผ่านไป
เกล็ดหิมะโปรยปรายปลิวไปตามสายลมหนาว
หลินเป่ยเฉินกำลังนั่งอยู่… ริมหน้าต่างของกระโจมที่พักบนยอดไม้ที่สูงนับสิบจั้ง สายตาของเขาเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของชาวเมืองในค่ายที่พัก และสัมผัสถึงความคึกคักแจ่มใสได้อย่างชัดเจน
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มเข้าใจแล้วว่าการมีบ้านอยู่บนต้นไม้มันดีอย่างนี้นี่เอง
ถึงสายลมบนนี้จะพัดแรงมากกว่าด้านล่างสักหน่อย แต่ก็แลกมาด้วยวิวทิวทัศน์อันสวยงามไม่มีสิ่งใดกีดขวาง
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินจึงล้มเลิกแผนการที่จะโค่นต้นไม้เหล่านี้ทิ้งไป
ข้อเสียอย่างเดียวก็คือ มันทำให้ผู้ที่จะมาขอเข้าพบหลินเป่ยเฉินต้องพบเจอกับความยากลำบากมากขึ้น
การปีนขึ้นมาบนยอดไม้ที่สูงนับสิบจั้งว่าเหนื่อยมากแล้ว แต่การปีนกลับลงไปก็เหนื่อยไม่แพ้กัน
อย่างเช่นในขณะนี้ หวังจงต้องขึ้นมารายงานอะไรบางอย่าง พ่อบ้านชราก็ได้แต่กอดเจ้าหนูอากวงแน่นอยู่บนหลังลูกเสือมีปีกและบินขึ้นมาลอยอยู่ตรงหน้าต่างกระโจมของเด็กหนุ่มพร้อมกับพูดว่า “นายน้อยขอรับ… มีคนมาขอเข้าพบนายน้อยอยู่ด้านนอกทางเข้าค่ายที่พักขอรับ”
“มันเป็นใคร?”
หลินเป่ยเฉินกำลังเตรียมตัวดูดซับพลังจากศิลาบูชา พูดออกไปด้วยความรำคาญใจ “ไล่มันไปซะ”
หวังจงกอดเจ้าหนูอากวงแน่นมากกว่าเดิมเพราะกลัวตกจากกลางอากาศ ขณะรายงานว่า “หวังจงก็ไล่มันไปแล้วขอรับ แต่คนผู้นั้นบอกว่าตนเองแซ่เกา มีนามว่าเกาเฉิงฮั่น”
“คนแซ่เกาอย่างนั้นหรือ?”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้ว “เฮอะ ขนาดแซ่ยังฟังดูต่ำต้อยขนาดนี้… เดี๋ยวก่อนนะ เกาเฉิงฮั่น? หืม? ทำไมชื่อนี้ข้าถึงรู้สึกคุ้นหูชอบกล?”
“อ้อ นั่นเป็นชื่อยอดฝีมือระดับเซียนเพียงคนเดียวในนครเจาฮุยไงล่ะ”
ได้ยินเสียงของหลิวเฉิงเหนียนดังออกมาจากในส่วนลึกของกระโจม
เดี๋ยวก่อนนะ?
อากวงและหวังจงพร้อมใจกันเบิกตาโตด้วยความประหลาดใจ
ทั้งคนทั้งหนูต่างพูดอะไรไม่ออก
ให้ตายสิ
เย็นป่านนี้แล้ว เด็กสาวยังอยู่ในกระโจมที่พักของนายน้อยอยู่อีกหรือ?
สถานการณ์เช่นนี้
รอยยิ้มกรุ้มกริ่มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังจงทันที
นานมากแล้วที่นายน้อยไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับเพศตรงข้าม
ในที่สุด นายน้อยที่เขารู้จักก็กลับมาแล้วสินะ
จังหวะนั้น ได้ยินเสียงหลินเป่ยเฉินอุทานลั่นด้วยความตกใจ “ยอดฝีมือระดับเซียนประจำเมืองเจาฮุยอย่างนั้นหรือ?”
เอาแล้วไง
ทำไมมาเร็วจังเลยวะ?
หลังจากที่ใช้ปืนยิงจรวดถล่มกองทัพของพวกชาวทะเล หลินเป่ยเฉินก็รู้แล้วว่าอีกไม่นานทางคนใหญ่คนโตของนครเจาฮุยคงต้องมาเคาะประตูบ้านเขาแน่ๆ
คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่มาหาเขากลับเป็นถึงยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดประจำเมือง
“เชิญเขาเข้ามา”
หลินเป่ยเฉินรีบพูดด้วยน้ำเสียงร้อนรน “รีบเชิญเขาเข้ามาเดี๋ยวนี้”
อีกฝ่ายเป็นถึงยอดฝีมือระดับเซียน และด้วยการมาเยือนอย่างมีมารยาทเช่นนี้ หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าตนเองไม่ควรทำตัวหยาบคายเด็ดขาด… สิ่งที่เขาควรทำในตอนนี้คือการทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี
“ช้าก่อน เดี๋ยวข้าไปหาเขาเองดีกว่า”
หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนและพูดพึมพำในลำคอ “กระบี่เงินของข้า จงปรากฏออกมา ณ บัดนี้”
วูบ!
พริบตานั้น กระบี่เงินสองเล่มก็ลอยฉวัดเฉวียนอยู่ตรงหน้าเด็กหนุ่ม
ทำไมถึงต้องใช้กระบี่สองเล่ม?
เพราะว่าถ้าใช้กระบี่เพียงเล่มเดียว หลินเป่ยเฉินกลัวว่าตนเองอาจจะร่วงลงมาจากกลางอากาศได้นั่นเอง
เขาควบคุมให้กระบี่ทั้งสองเล่มลอยเข้ามาชิดติดกัน จากนั้นตนเองจึงกระโดดขึ้นไปยืนอยู่ด้านบน และบังคับพวกมันลอยออกมาทางหน้าต่างของกระโจมที่พัก
หวังจงอ้าปากค้างเมื่อเห็นเช่นนั้น
“นายน้อย… สามารถบินได้แล้วหรือนี่?”
…
บริเวณทางเข้าค่ายที่พัก
เกาเฉิงฮั่นยังคงแต่งกายในชุดขาว ดวงตาจ้องมองบรรดาต้นสนที่ยืนต้นสูงเสียดฟ้าอยู่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งด้วยความพิศวงสงสัย
หมู่บ้านผู้อพยพแห่งนี้มีบรรยากาศสดใสเหลือเกิน
คนงานจำนวนมากมายกำลังเร่งมือก่อสร้างอย่างขยันขันแข็ง
นี่คือภาพที่เกาเฉิงฮั่นไม่เคยเห็นมาก่อน
รอบๆ หมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งปรากฏค่ายที่พักชั่วคราวของผู้อพยพจากเมืองอื่นๆ มาก่อสร้างเอาไว้ คล้ายกับมีเจตนาอาศัยหมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งเป็นแหล่งหลบภัยก็ไม่ปาน
ดังนั้น พื้นที่ในบริเวณนี้จึงเกิดเป็นแหล่งชุมชนขนาดใหญ่แห่งใหม่ขึ้นมาแล้ว
ที่สำคัญก็คือบนใบหน้าของผู้อพยพแทบทั้งหมดเต็มไปด้วยความหวัง
สีหน้าและแววตาเช่นนี้ เกาเฉิงฮั่นไม่เคยเห็นจากกลุ่มผู้อพยพที่ไหนมาก่อน
เท่าที่เขาเคยพบเห็น ผู้อพยพถ้าไม่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัว ก็ต้องมีสภาพบอบช้ำอย่างรุนแรง บางคนมีสภาพไม่ต่างจากศพเดินได้
“เพียงไม่กี่วัน หลินเป่ยเฉินสามารถเปลี่ยนแปลงที่นี่ได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
เกาเฉิงฮั่นอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้
ตลอดเวลาที่เขาทำงานอยู่ในเมืองชั้นในของนครเจาฮุย ใช่ว่าเกาเฉิงฮั่นจะไม่เคยคิดแก้ปัญหาให้แก่ผู้อพยพเหล่านี้
แต่ที่เขาไม่แก้ปัญหา ก็เป็นเพราะเกาเฉิงฮั่นพบว่านี่คือปัญหาที่ไม่มีทางแก้ต่างหาก
ผู้อพยพมีจำนวนมากเกินไป สวนทางกับทรัพยากรที่มีน้อยเกินไป
เพียงปัจจัยเรื่องนี้อย่างเดียว ผู้อพยพก็แทบเอาชีวิตไม่รอดแล้ว
ต้องเข้าใจก่อนว่าทรัพยากรของนครเจาฮุยจำเป็นต้องเก็บเอาไว้ใช้เลี้ยงดูนายทหารผู้คอยรักษากำแพงเมือง
จะให้แบ่งปันมาช่วยเหลือผู้อพยพอย่างนั้นหรือ?
ออกจะเป็นเรื่องที่เกินความสามารถมากไปแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เกาเฉิงฮั่นจึงคิดไม่ถึงเลยว่าปัญหาที่แม้แต่เขาเองก็ยังแก้ไม่ตก กลับได้รับการแก้ไขเป็นอย่างดีโดยเด็กหนุ่มสมองเสื่อมจากเมืองหยุนเมิ่ง
หลู่เหวินหยวนผู้ติดตามอยู่ด้านหลังกล่าวด้วยน้ำเสียงใช้ความคิดว่า “หลินเป่ยเฉินคงสามารถเอาชนะใจผู้คนได้เป็นจำนวนมาก อีกไม่นาน ผู้อพยพนับล้านในพื้นที่เขตสองจะต้องกราบไหว้บูชาเขาราวกับเป็นเทพเจ้าอย่างแน่นอน หากเขาไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝงก็ถือว่าโชคดีไป แต่ถ้าเขาแอบวางแผนอะไรอยู่…เกรงว่าเขาคงเป็นภัยคุกคามต่อพวกเราได้น่ากลัวไม่แพ้พวกชาวทะเล หรือพวกตระกูลเว่ยเลยล่ะขอรับ”
เกาเฉิงฮั่นถอนหายใจยาวแรง “นั่นแหละที่เป็นปัญหา ยามที่บัลลังก์ขององค์จักรพรรดิเกิดการสั่นคลอน บรรดางูพิษก็จะเลื้อยออกมาจากพื้นดินจำนวนมาก… แต่อย่างน้อย สิ่งที่หลินเป่ยเฉินกระทำอยู่ตอนนี้ ก็ดีกว่าสิ่งที่พวกตระกูลเว่ยกระทำอยู่หลายเท่า”
หลู่เหวินหยวนพยักหน้า “จริงด้วยขอรับ”
เกาเฉิงฮั่นกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ฉับพลันนั้นเขาก็หรี่ตาลง และเงยหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลู่เหวินหยวนมองตามสายตาของผู้เป็นเจ้านาย และเพียงไม่กี่ลมหายใจต่อมา เขาก็เห็นร่างของใครบางคนกำลังลอยตัวลงมาจากท้องฟ้าด้วยท่วงท่าที่แปลกประหลาด จะว่าช้าก็ไม่ช้า จะว่าเร็วก็ไม่เร็ว ดูเป็นท่วงท่าที่สงบสุขุม ไม่ต่างไปจากเทพเจ้าที่ลอยลงมาจากแดนสวรรค์
เมื่อลองหรี่ตามองดูดีๆ
หากไม่ใช่หลินเป่ยเฉินแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก?
ว่าแต่สิ่งที่กำลังสะท้อนประกายแวววาวอยู่ใต้เท้าของเขานั้นคืออะไร?
ดูเหมือนว่าจะเป็น… กระบี่?
กระบี่บินได้?