ตอนที่ 702 เสพสุขเสริมพลัง
เหงื่อกาฬไหลหยดลงมาจากหน้าผากของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้อีกแล้ว
เมื่อนึกย้อนไปถึงสีหน้าโกรธแค้นของเด็กสาวตอนที่อยู่ในสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ของวิหารประจำเมืองเจาฮุย หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าวันนี้นางคงไม่มีทางปล่อยเขาให้มีชีวิตรอดต่อไปอีกเป็นอันขาด
เม็ดเหงื่อไหลหยดลงมาที่ข้างแก้มของหลินเป่ยเฉิน
‘เยว่เว่ยหยาง’ หัวเราะในลำคอ แลบลิ้นออกมาเลียเหงื่อเม็ดนั้นที่ข้างแก้มของเด็กหนุ่ม
สัมผัสแผ่วเบาจากปลายของลิ้นเยว่เว่ยหยางบนแก้มของตนเองทำให้หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณพร้อมที่จะหลุดลอยออกจากร่างได้ทุกเมื่อ
“ทำไม? เจ้ากลัวข้าหรือ?”
เสียงหัวเราะในลำคอของเด็กสาวฟังดูลึกลับและมีเสน่ห์ไม่ต่างจากเสียงหัวเราะของนางจิ้งจอกเก้าหางในเกม League of Legends ที่หลินเป่ยเฉินเคยเล่นตอนอยู่บนโลกมนุษย์
เยว่เว่ยหยางยิ้มกริ่ม เอนตัวเข้ามากระซิบข้างหูหลินเป่ยเฉิน “โบราณกล่าวว่าได้เสียกันหนึ่งครั้ง เป็นคู่กันตลอดไป พวกเราได้เสียกันแล้วในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ เจ้ายังมีอะไรต้องกลัวข้าอีก? ไหนผู้คนเล่าลือกันว่าเจ้าเป็นเด็กหนุ่มจอมเสเพลอันดับหนึ่งไงเล่า ไฉนจิตใจถึงได้อ่อนแอปวกเปียกถึงเพียงนี้”
“โอ๊ะ จริงด้วยสินะ เจ้าพูดถึงเหตุการณ์นั้นขึ้นมาก็ดีแล้ว”
หลินเป่ยเฉินรีบพูดรัวเร็ว “วันนั้นไม่ใช่ความผิดของข้านะ เป็นนักพรตใหญ่หลงเยว่ลอบวางยาข้า และจัดสถานการณ์ให้พวกเราอยู่ด้วยกัน ได้โปรดฟังคำอธิบายของข้าก่อน…”
เด็กหนุ่มพยายามหาทางรอดให้แก่ตนเองทุกวิถีทาง
“ทำไมหรือ?”
เสียงหัวเราะในลำคอของ ‘เยว่เว่ยหยาง’ กลับกลายเป็นเสียงพูดเย็นชาน่าหวาดกลัวอีกครั้ง “เจ้ากำลังจะบอกว่าถ้านักพรตใหญ่หลงเยว่ไม่ได้วางยาเจ้า ทุกสิ่งทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างนั้นหรือ? หมายความว่ารูปโฉมของข้าไม่สามารถดึงดูดใจเจ้าได้เลยสินะ?”
พูดจบ เด็กสาวก็เริ่เลียใบหูหลินเป่ยเฉินอย่างแผ่วเบา
เดี๋ยวก่อนนะ
หลินเป่ยเฉินทำตัวไม่ถูก
นี่มันอะไรเนี่ย
ทำไมทุกอย่างถึงดูไม่ชอบมาพากลไปหมด
ยิ่งคิดมากเท่าไหร่
เขาก็ยิ่งพบเห็นความผิดปกติมากเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ ‘เยว่เว่ยหยาง’ มีบุคลิกเย็นชาปานน้ำแข็ง เห็นหน้าเขาเมื่อไหร่ ก็มีแต่อยากจะฆ่าให้ตายเมื่อนั้น
แล้วอยู่ดีๆ ทำไมถึงเปลี่ยนบุคลิกเป็นนางจิ้งจอกเก้าหางได้ล่ะเนี่ย?
การค้นพบครั้งนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินสามารถใจเย็นลงได้เล็กน้อย
เขาพยายามเปลี่ยนเรื่องพูด “กราบเรียนท่านเทพีที่เคารพ ที่ท่านมาหาข้าในวันนี้ ก็เพื่อจะนำพาลูกแกะหลงทางกลับบ้านใช่หรือไม่?”
“นำกลับบ้านหรือ?”
‘เยว่เว่ยหยาง’ เกิดอาการชะงักไปเล็กน้อย
ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง “ก็อาจ… เป็นไปได้”
พูดจบ เส้นผมสีดำยาวของนางก็รัดพันร่างกายของหลินเป่ยเฉิน ก่อนดึงเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และฉุดลากกลับเข้าไปในกระโจม
“เฮ้ย เดี๋ยวก่อนสิ”
หลินเป่ยเฉินอุทานออกมาด้วยความร้อนรน “ท่านกำลังจะทำอะไร? ช่วยด้วย…”
แต่ไม่มีใครได้ยินเสียงร้องของเขาเลย
เมื่อเข้ามาถึงในกระโจม หลินเป่ยเฉินก็พบว่าสองสาวรับใช้นอนสลบอยู่บนเก้าอี้ยาว ลมหายใจของพวกนางสม่ำเสมอ เห็นได้ชัดว่าเพียงหลับไป ไม่ได้เป็นอันตรายถึงชีวิต
ฟึบ!
หลินเป่ยเฉินถูกโยนลงไปบนเตียงนอน
หืม?
เตียงนอน?
เด็กหนุ่มมึนงง แต่ไม่มีเวลาได้พูดอะไรออกมาสักคำ…
แคว่ก!
เสื้อผ้าของเขาถูกฉีกกระชากขาดออกจากกัน
ความหนาวเย็นเกาะกุมผิวกาย
ดวงตาของเขามีแต่เส้นผมสีดำสนิทปิดบัง
เด็กหนุ่มรู้สึกเพียงอย่างเดียวว่าเสื้อผ้าของเขาถูกปลดเปลื้องออกไปอย่างรวดเร็ว
แล้วเรือนร่างนุ่มนิ่มก็ค่อยๆ แนบชิดทาบทับลงมา
เอ๋?
สถานการณ์แตกต่างจากสิ่งที่เขาคิดมากทีเดียว
ดูเหมือนว่า…
เทพีกระบี่กำลังคร่อมอยู่บนร่างกายของเขาแล้ว
กำลังจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ความคิดที่น่าหวาดกลัวแวบเข้ามาในสมองของหลินเป่ยเฉิน
อย่าบอกนะว่าเทพีกระบี่กำลังจะฆ่าเขาให้ตายก่อน จากนั้นถึงได้ร่วมรักกับซากศพของเขาต่อไป?
โรคจิตวิตถารที่สุด
“หึหึ คิดจะยั่วยวนข้าคงไม่ง่ายดายขนาดนั้นหรอก”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะเยาะ พยายามข่มกลั้นความปรารถนาในจิตใจ และไม่ตอบสนองต่อการรุกเร้าของฝ่ายตรงข้าม
แต่ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ทุกอย่างก็ล้มเหลว
‘เยว่เว่ยหยาง’ มีความชำนาญในการเล้าโลมมากเกินไป
หลังจากนั้น ภายในกระโจมที่พักก็เต็มไปด้วยเสียงหอบหายใจด้วยความตื่นเต้น
กาลเวลาผ่านไป
รู้ตัวอีกที ท้องฟ้าด้านนอกก็เริ่มมีแสงสว่างไสวแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าตนเองผ่านสมรภูมิรักไปทั้งหมดกี่รอบ
มันหลายรอบเสียจนแม้แต่เขาเองก็อดแปลกใจไม่ได้
โชคดีที่โทรศัพท์มือถือผลิตพลังลมปราณให้แก่ร่างกายของหลินเป่ยเฉินตลอดเวลา เด็กหนุ่มจึงไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าอย่างที่ควรจะเป็น แม้แต่อาการปวดเมื่อยเนื้อตัวหรืออาการปวดหลังนั้น ต่างก็หายดีเป็นปลิดทิ้งในเวลาอันรวดเร็ว
หลินเป่ยเฉินพบว่าตนเองสามารถกลับมาควบคุมร่างกายได้แล้ว
เขาต้องลอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
บัดนี้เป็นเวลารุ่งสาง แต่เด็กหนุ่มยังเสแสร้งแกล้งนอนนิ่งเฉยต่อไป
เขากำลังหาโอกาสเหมาะๆ ที่จะหยุดยั้งเยว่เว่ยหยางให้ได้ หากนางอยากจะเริ่มต้นเสพสุขอีกครั้ง
“อิอิ ข้ารู้ว่าเจ้าฟื้นขึ้นมานานแล้ว จะแกล้งหลับต่อไปเพื่ออะไร?”
‘เยว่เว่ยหยาง’ ค่อยๆ ลุกขึ้นสวมใส่เสื้อผ้า
หลินเป่ยเฉินหัวใจตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
นี่นางกำลังทดสอบเขาอยู่อย่างนั้นหรือ?
เด็กหนุ่มยังคงแกล้งนอนนิ่งต่อไป
‘เยว่เว่ยหยาง’ ยิ้มกว้างมากกว่าเดิม “ข้าอยากฆ่าเจ้าให้ตายนัก… แต่บัดนี้ ข้าชักรู้สึกอยากเปลี่ยนใจขึ้นมาแล้วสิ”
พูดจบ นางก็เดินออกไปจากกระโจมที่พักและหายวับไปในอากาศ
“จำเอาไว้ เจ้าเป็นของข้า”
เสียงของเทพีกระบี่ดังอื้ออึงอยู่ในหูของหลินเป่ยเฉิน ซึ่งมีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้นที่ได้ยิน
เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นมานั่ง
ไปแล้วใช่ไหม?
ไปแล้วแน่นะ?
หลินเป่ยเฉินสะบัดศีรษะไล่ความมึนงง
เหตุผลที่เทพีกระบี่อุตส่าห์ถ่อมาถึงค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ก็เพียงเพื่อมาร่วมรักกับเขาอย่างนั้นหรือ?
น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว
ท่าทางนางจะเป็นโรคจิตจริงๆ ด้วย
ฮื่อฮื่อฮื่อ
หลินเป่ยเฉินได้แต่ร้องคร่ำครวญอยู่ในใจ
เขาแปดเปื้อนแล้ว
เขาไม่คู่ควรกับนักพรตหญิงชินอีกต่อไป
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มกระโดดลงจากเตียง และยืดเส้นยืดสายอย่างคึกคักแจ่มใส
หลังจากเผชิญศึกหนักมาทั้งคืน หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า นอกจากจะไม่มีอาการปวดเมื่อยเนื้อตัวหรือปวดหลังเหมือนครั้งที่แล้ว เด็กหนุ่มกลับรู้สึกว่ากำลังวังชาในร่างกายเพิ่มมากขึ้น เช่นเดียวกับระดับพลังปราณธาตุทองคำก็สูงมากขึ้นเช่นกัน เมื่อลองตรวจสอบดู เขาถึงได้รู้ว่าตนเองเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับหกแล้ว
นับเป็นการเติมพลังอย่างก้าวกระโดด
สามารถดูดซับพลังได้ดีกว่าศิลาบูชาเสียอีก
นี่มัน…
พลังแห่งความรักอย่างนั้นหรือ?
พลังของหลินเป่ยเฉินเพิ่มมากขึ้น หลังผ่านคืนแห่งศึกสวาทอันเร่าร้อน
ให้ตายสิ
ไม่รู้เหมือนกันว่าเทพีกระบี่จะกลับมาอีกหรือเปล่านะ?
“เฉียนเหมย เฉียนเจิน เตรียมน้ำอุ่นให้ข้าหน่อย ข้าอยากอาบน้ำ”
หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงรื่นเริง
…
วิหารประจำนครเจาฮุย
เยว่เว่ยหยางยืนอยู่หน้าประตูทางเข้าวิหารส่วนกลาง
นางสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีทอง ซึ่งขับเน้นให้เห็นถึงเรือนร่างอรชนสมส่วน
สายลมเย็นโชยพัด
ผมสีดำปลิวไสวตามแรงลม
ใบหน้าที่เคยสวยใสบริสุทธิ์อย่างผู้ที่อ่อนต่อโลก แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของเด็กสาวที่เติบโตเต็มวัย ถึงนางจะมีความสวยงามมากขึ้น แต่ก็ดูมีความอันตรายมากขึ้นเช่นกัน
นักพรตใหญ่หลงเยว่ยืนอยู่ด้านหลังเยว่เว่ยหยางขณะพูดด้วยน้ำเสียงแสดงความเคารพ “วิหารแห่งนี้ได้รับการชำระล้างเรียบร้อยแล้ว บัดนี้ ที่นี่คือสถานที่ของท่านอย่างแท้จริงแล้วเจ้าค่ะ”
เยว่เว่ยหยางพยักหน้า ไม่พูดอะไร
เพราะหัวใจของนางกำลังคิดถึงเรื่องอื่น
ร่างกายของนางมีพลังเพิ่มขึ้นด้วยการดูดซับพลังจากร่างกายของเด็กหนุ่มผู้นั้น
นี่ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนพลังระหว่างเทพเจ้า
แม้อีกฝ่ายจะมีพลังเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน แต่เมื่อเทียบกับพลังของนางแล้ว ก็ยังถือว่าน่ามหัศจรรย์เกินไปอยู่ดี
นี่ช่วยยืนยันความคิดของนางได้อย่างหนึ่ง
“น่าสนใจดีนี่ น่าสนใจเหลือเกิน เขาคือเตาหลอมพลังที่สมบูรณ์แบบสำหรับข้าที่สุด ปล่อยให้มีชีวิตรอดต่อไปอีกสักพักก็แล้วกัน”
เยว่เว่ยหยางพึมพำกับตนเอง
โลกนี้มีความน่าสนใจมากกว่าในอดีตหลายเท่า
หลังจากนั้น นางจึงจ้องมองไปยังท้องฟ้าทางทิศเหนือ
ข่าวคงแพร่กระจายออกไปแล้ว
นางมารตนนั้นก็สมควรมาแล้วเช่นกัน
…
ยอดเขาสูงเสียดฟ้า
เมื่อเข้าใกล้ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ เทือกเขาทางตอนเหนือของจักรวรรดิเป่ยไห่ก็จะถูกหิมะปกคลุมและมีความสวยงามมากยิ่งขึ้น
เรือเหาะลำหนึ่งลอยออกมาจากกลุ่มก้อนเมฆบนท้องฟ้า
ไป๋ชินหยุนสวมใส่ชุดเสื้อคลุมสีขาวนั่งอยู่บนหัวเรือเหาะ ท่อนขาเรียวขาวผ่องของนางหย่อนลงไปข้างหน้าหัวเรือและกำลังตวัดกวัดแกว่งอยู่ในอากาศรับสายลมอันเหน็บหนาว
เด็กสาวกำลังนั่งกอดอก
สีหน้าเศร้าสลด
ในลำคอครวญเพลงที่มีท่วงทำนองแปลกประหลาด เสมือนคนผู้หนึ่งที่กำลังคิดถึงบ้านจับใจ
ทันใดนั้น ใบหน้าของเด็กสาวก็มีแสงสีขาวเล็กๆ สว่างไสวไหลลงมา
หากมองดูให้ดี ก็จะพบว่ามันเป็นหยดน้ำตาที่กำลังสะท้อนประกายแวววาว
น้ำตาไหลผ่านร่องแก้ม และหยดลงไปสู่ด้านล่างตามแรงโน้มถ่วงของโลก
“ท่านปู่โจว ข้าจะต้องฆ่าท่านให้ได้…”
ไป๋ชินหยุนยกมือปาดน้ำตา
นางหันหน้ามองไปยังทิศทางของนครเจาฮุยที่อยู่ห่างออกไป
“นางเทพีชั่วร้ายนั่นกลับมาแล้วใช่ไหม? ข้าสาบานเลยว่าจะต้องฆ่าเจ้าด้วยมือของตนเองให้ได้… ข้าจะทำให้เจ้าไม่เหลือแม้แต่เศษกระดูกธุลีเดียว”
พลัน ในดวงตาของไป๋ชินหยุนเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความอาฆาตแค้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน