บทที่ 73 ข้าคือหลินเป่ยเฉิน
จริงด้วยสิ ถ้าเกิดโดนปล้นกลางทางขึ้นมา ก็นับว่าพวกเขาต้องเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์แล้ว
นี่คือปัญหาที่จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด
ถ้าแก้ไขปัญหาข้อนี้ไม่ได้ การประมูลเข็มกลัดดาราคงต้องจบลงเพียงเท่านี้
นี่จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมถึงมีแต่ศิษย์ระดับยอดอัจฉริยะเท่านั้นที่เข้าร่วมการประมูล ส่วนกลุ่มผู้ติดตามยังคงลังเลและคอยดูสถานการณ์ต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
การนับคะแนนจะเกิดขึ้นเมื่อพวกเขานำเข็มกลัดดาราไปส่งมอบให้ถึงมือผู้ควบคุมการแข่งขันได้สำเร็จเท่านั้น เกิดถูกดักปล้นระหว่างทางกลับค่ายพัก นอกจากต้องสูญเสียเข็มกลัดดาราไปแล้ว ก็ยังต้องสูญเสียเงินไปอีกเป็นจำนวนมาก
เมื่อได้ยินคำถามของมู่ซินเยว่ กลุ่มศิษย์ที่ตัดสินใจจะเข้าร่วมการประมูลรอบหน้า ต่างก็เกิดความลังเลใจขึ้นอีกครั้ง
นางทำลายแผนการของหลินเป่ยเฉินย่อยยับไม่เหลือชิ้นดี
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินยังยิ้มแย้มได้อย่างสบายใจ “โดยปกติแล้ว มันไม่ใช่หน้าที่ของผู้จัดงานประมูลที่จะต้องรับผิดชอบการขนส่งหลังงานจบ แต่บังเอิญว่าข้ามันเป็นคนจิตใจรักความยุติธรรมและชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยู่เสมอ พวกเจ้าจะหาคนดีๆ แบบข้าได้จากที่ไหนอีก? ข้านี่มันเทพบุตรจุติลงมาเกิดแท้ๆ…มาเข้าเรื่องกันดีกว่า พวกเจ้าจงจำคำพูดต่อจากนี้เอาไว้ให้ดี ข้าเป็นคนที่พูดคำไหนคำนั้น เมื่อรับปากว่าจะช่วยเหลือพวกเจ้าแล้ว ก็ต้องช่วยให้ถึงที่สุด ข้าขอรับประกันว่าหลังจบการประมูลในครั้งนี้…พวกเจ้าเห็นหรือไม่ว่าใครกำลังยืนอยู่ข้างกายข้า?”
หลินเป่ยเฉินผายมือไปที่หลิงเฉินและสาธยายต่อ “หลิงเฉินเป็นยอดอัจฉริยะอันดับหนึ่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง นางครองตำแหน่งอันดับหนึ่งก่อนการแข่งขัน ได้รับการขนานนามให้เป็นเทพธิดาผู้งดงามเหนือมนุษย์ เมื่อมีนางคอยคุ้มกันขบวน จะมีใครกล้าปล้นพวกเราบ้าง? ดังนั้น ใครที่ประมูลได้เข็มกลัดไปแล้ว ก็ขอให้รออยู่จนงานเลิก แล้วพวกเราจะเดินทางกลับค่ายพักไปด้วยกัน ข้าขอรับประกันเลยว่าใครก็ตามที่มันกล้าลงมือปล้นพวกเรา หัวขโมยเหล่านั้นจะต้องถูกหลิงเฉินจัดการจนแม้แต่มารดามันก็จำหน้าตาเดิมไม่ได้อีก”
เมื่อได้รับฟังคำตอบ หัวใจทุกคนก็พองโต
นับเป็นความคิดที่ดีมาก
ตราบใดที่หลิงเฉินยินดีรับรองความปลอดภัยของพวกเขา ก็ไม่ต้องเป็นกังวลอีกแล้วว่าจะถูกดักปล้นกลางทาง ถ้าเป็นเช่นนั้น การจ่ายเงินเพื่อประมูลเข็มกลัดดารา ก็นับว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่ายิ่ง
ทุกสายตาหันไปมองหน้าหลิงเฉิน
นางไม่พูดอะไร เพียงแต่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น
หลินเป่ยเฉินยิ้มกริ่ม ก่อนนำเข็มกลัดดาราชิ้นที่ 3 ขึ้นส่องกับแสงแดด “อย่างที่บอกว่าข้าเป็นคนจิตใจดี ข้ารู้ว่าพวกเจ้าคงพกเหรียญทองติดตัวมาไม่มาก บางคนจึงไม่สามารถเข้าร่วมการประมูลได้ตามใจปรารถนา เพราะฉะนั้น ข้าจึงยินดีให้พวกเจ้าลงนามในสัญญากู้ยืม นอกจากจะจ่ายเป็นเหรียญทองคำแล้ว พวกเจ้าสามารถเข้าร่วมประมูลด้วยการลงนามในสัญญากู้ยืมได้เช่นกัน…”
“ว่าไงนะ?”
ได้ยินดังนั้น ศิษย์จำนวนมากก็อุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น
หากหลินเป่ยเฉินยินดีให้ประมูลด้วยการลงนามในสัญญากู้ยืม อย่างนั้น พวกเขาก็พอจะมีโอกาสแล้ว
เพราะมีคนน้อยนักที่จะพกเหรียญทองคำติดตัวเป็นจำนวนมากๆ
สภาพคล่องทางการเงินในการประมูลครั้งนี้จึงค่อนข้างต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
การลงนามในสัญญากู้ยืมเป็นวิธีแก้ปัญหาที่เรียบง่าย แต่ได้ผลชะงัด
หลังรับฟังคำตอบของเด็กหนุ่ม มู่ซินเยว่ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาไม่น้อย
เดิมทีนางอยากทำลายแผนการของหลินเป่ยเฉิน ไม่คิดเลยว่าคำถามของตนเอง จะทำให้หลินเป่ยเฉินขยายช่องทางทำเงินได้หน้าตาเฉย
สุดท้าย มู่ซินเยว่ก็ต้องหันไปมองหน้าหลี่เทาด้วยแววตาขออภัย
แล้วจังหวะนั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็หันมามองทางมู่ซินเยว่พอดิบพอดี มิหนำซ้ำ ยังยิ้มแย้มให้เด็กสาวด้วยความซาบซึ้งใจ ก่อนจะกล่าวว่า “ต้องขอบคุณแม่นางมู่เป็นอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่ค่อยนำข้อมูลของฝ่ายตรงข้ามมาบอกข้าตลอดหลายวันที่ผ่านมา ข้าก็คงเตรียมตัวไม่ทัน นับว่าความร่วมมือของเราส่งผลเกินคาดคิดจริงๆ ฮิฮิฮิ ไม่เสียทีที่เจ้าเคยเป็นคนรักของข้า เพียงมองตาก็รู้ใจแล้ว…”
มู่ซินเยว่ถึงกับจุกอก พูดอะไรไม่ออก
คนฉลาดอย่างนางย่อมเข้าใจว่าหลินเป่ยเฉินมีเจตนาใส่ร้ายป้ายสี แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยคำปฏิเสธ หลินเป่ยเฉินก็ส่งเสียงพูดต่อไปว่า “เอาละ ทุกคน เรามาเริ่มการประมูลเข็มกลัดชิ้นที่ 3 กันเลยดีกว่า!”
พลัน บรรยากาศตกอยู่ภายใต้ความตื่นเต้นในพริบตา
“12 เหรียญทองคำ!”
“ข้ายอมจ่าย 18 เหรียญ!”
“ข้าขอลงนามสัญญากู้ยืม จ่ายเป็น 20 เหรียญทองคำ…”
“25 เหรียญ!”
เสียงตะโกนดังอื้ออึงรอบบริเวณ
ไม่มีใครได้ยินเสียงของมู่ซินเยว่อีกต่อไป
ปัญหาหนักใจของทุกคนได้รับการแก้ไข แม้แต่ศิษย์ที่อยู่อันดับรั้งท้ายสุด ก็เข้าร่วมการประมูลเข็มกลัดดาราโดยไม่ลังเลอีกแล้ว
นี่คือครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เข็มกลัดดาราสามารถซื้อหาได้ด้วยเงินทอง
และน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายเช่นกัน
ครั้งนี้ พวกเขาจะเข้าสู่รอบต่อไปได้หรือไม่ ล้วนขึ้นอยู่กับความใจถึงและความพร้อมในกระเป๋าเงินของตัวเองแล้ว
สุดท้าย เข็มกลัดดาราชิ้นที่ 3 ก็ตกเป็นของศิษย์ที่อยู่อันดับ 78 ในรายชื่อก่อนการแข่งขัน ด้วยราคา 30 เหรียญทองคำถ้วน
“ฮ่าฮ่าฮ่า ขอบคุณมาก ขอบคุณ”
เขาเป็นศิษย์นามว่าเว่ยชงเฟิงจากสถานศึกษากระบี่ที่สี่ เป็นบุตรชายของพ่อค้าผู้มั่งคั่งประจำเมืองหยุนเมิ่ง หลังลงนามในสัญญากู้ยืม 30 เหรียญทองคำแล้ว เด็กหนุ่มก็ได้รับเข็มกลัดดาราไปครอบครองสมใจอยาก ทำให้ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว
ด้วยความสามารถของเขา ย่อมไม่มีทางตามหาเข็มกลัดดาราได้ด้วยตัวเอง
แต่ตอนนี้ เป็นเพราะความหน้าเงินของหลินเป่ยเฉิน ความฝันของเว่ยชงเฟิงจึงได้กลายเป็นความจริง
“ขอบคุณเจ้ามาก”
เมื่อรับเข็มกลัดไปถือในมือ เว่ยชงเฟิงก็พูดเสียงดังด้วยความซาบซึ้งใจ
หลังจากนั้น ทุกคนก็ทำตามอย่างบุตรชายพ่อค้าใหญ่
การประมูลต่อจากนี้ กลายเป็นความบ้าคลั่งโดยสมบูรณ์แบบ
เข็มกลัดดาราถูกประมูลไปด้วยมูลค่าที่สูงมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนที่ประมูลมาถึงเข็มกลัดชิ้นที่ 9 ราคาก็ไปจบที่ 50 เหรียญทองคำ
“ขอแสดงความยินดีกับผู้กล้าหาญท่านนี้ เข็มกลัดดาราชิ้นที่ 9 ตกเป็นของเจ้าแล้ว”
รอยยิ้มแทบไม่เคยห่างหายไปจากใบหน้าของหลินเป่ยเฉินสักวินาทีเดียว
นั่นเป็นเพราะว่าเขากอบโกยมาได้แล้วถึง 310 เหรียญทองคำ
นับว่าเป็นเงินจำนวนมหาศาล
แม้ว่า 7 ใน 10 ส่วนของรายได้จากการประมูล จะมาในรูปแบบสัญญากู้ยืม แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่น่าเป็นกังวลแม้แต่น้อย เพราะศิษย์เหล่านี้ล้วนมาจากครอบครัวที่ร่ำรวย ไม่มีทางผิดสัญญาแน่นอน
และอีกเหตุผลหนึ่งก็คือ สัญญากู้ยืมจัดทำขึ้นในนามของเซียนกระบี่ผู้ก่อตั้งจักรวรรดิ นอกจากสามารถบังคับใช้ตามกฎหมายได้แล้ว ยังมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมากอีกด้วย
เป็นที่ทราบกันดีทั่วเมืองหยุนเมิ่งว่า แม้แต่ขุนนางใหญ่ประจำเมือง ก็ไม่มีสิทธิ์ฉีกสัญญาเหล่านี้
“ต่อไปก็เป็นเข็มกลัดดาราชิ้นสุดท้าย”
หลินเป่ยเฉินชูเข็มกลัดดาราชิ้นที่ 10 ให้ทุกคนได้เห็น ใบหน้าหล่อเหลาของเขาประดับด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “สำหรับใครที่ยังไม่มีเข็มกลัดดาราในการครอบครอง นี่คือโอกาสสุดท้าย ถ้าเจ้าไม่เข้าร่วมประมูลในตอนนี้จะต้องเสียใจไปตลอดชีวิต เพียงเข็มกลัดชิ้นเดียวก็ช่วยส่งเจ้าเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ มันจะทำให้เจ้าจะได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน…”
ดวงตาทุกคู่จ้องมองไปที่มือของหลินเป่ยเฉิน
ดวงตาของพวกเขาแทบจะลุกเป็นไฟ
ศิษย์จำนวนมากจ้องมองเข็มกลัดดาราในมือหลินเป่ยเฉินไม่วางตา
บรรดาคนที่ยังไม่มีเข็มกลัด ต่างก็กัดฟันกรอดด้วยความหงุดหงิดใจ สิ่งที่พวกเขากำลังคิดอยู่ล้วนเหมือนกันคือ…
“นี่คือเข็มกลัดชิ้นสุดท้ายแล้ว”
“ไม่ว่าแพงแค่ไหนเราก็ต้องประมูลเอามาให้ได้”
เพราะฉะนั้น ทันทีที่หลินเป่ยเฉินตะโกนคำว่า “เริ่มต้นการประมูล” บรรยากาศก็ตกอยู่ภายใต้ความวุ่นวาย
“ข้ายินดีจ่าย 20 เหรียญทองคำ”
“25 เหรียญ!”
“30 เหรียญ!”
“60 เหรียญ!”
พวกเขาหลายคนเริ่มมีสีหน้าเหมือนถูกผีพนันเข้าสิง ต่างพากันมายืนรวมตัวอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉินหมดสิ้น