ตอนที่ 716 ปฏิบัติการชิงตัวประกันของหลินเป่ยเฉิน
“นายท่านจะกลับที่พักเลยไหมขอรับ?”
กงกงถามระหว่างควบคุมรถม้า
“แน่นอน…”
หลินเป่ยเฉินตอบ “ว่ายังไม่กลับตอนนี้หรอก”
ในโลกวรยุทธ์แห่งนี้ เขาเคยแต่รังแกผู้อื่น ไม่เคยมีผู้อื่นรังแกเขามาก่อน
หลินเป่ยเฉินยอมไม่ได้
เพราะมันไม่ใช่วิถีของหลินเป่ยเฉิน
ยกเว้นเรื่องบนเตียง หลินเป่ยเฉินจะไม่ยอมตกเป็นฝ่ายอยู่เบื้องล่างใครทั้งสิ้น
เขาจะต้องแก้แค้น
ครึ่งชั่วยามต่อมา
ใบหน้าที่น่ารักน่าชังของอากวงก็ปรากฏขึ้นในห้องโดยสาร
“นายท่านมีอะไรให้ข้าน้อยรับใช้ขอรับ”
มันเขียนข้อความลงบนกระดานชนวนที่แขวนอยู่กับหน้าอก
“ไม่ต้องมาทำตัวน่ารัก พวกเราไปกันได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือจับกรงเล็บของอากวง
ทันใดนั้น อากวงก็ล่องหนหายไปกับตา
แล้วร่างของเด็กหนุ่มก็ค่อยๆ เลือนหายไปด้วยเช่นกัน
รถม้าวิ่งไปบนถนนสายเปลี่ยว ประตูห้องโดยสารเปิดออกและปิดลงอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินจับกรงเล็บของอากวง ปิดบังพลังลมปราณ และใช้วิชาตัวเบาดีดกายไปข้างหน้าด้วยพละกำลังของตนเอง
หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็มาถึงลานกว้างซึ่งหลิวฉีไห่ได้มารอคอยอยู่พร้อมกับเจ้าลูกเสือมีปีก
หลินเป่ยเฉินและพรรคพวกกระโดดขึ้นไปขี่บนแผ่นหลังของเสี่ยวหู
เจ้าลูกเสือกระพือปีก
แล้วมันก็ลอยขึ้นไปในอากาศ
ความสามารถในการล่องหนของอากวงมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม หลังจากรับประทานหญ้าดาราน้อยเข้าไปเป็นประจำ ความสามารถในทุกด้านๆ ของมันก็เพิ่มมากขึ้น เมื่ออากวงกระโดดขึ้นไปขี่อยู่บนแผ่นหลังของเจ้าเสือ ลูกบุญธรรมของมันก็พลันหายตัวไปในอากาศ เมื่อบินอยู่บนท้องฟ้า จึงไม่มีใครสามารถมองเห็นพวกเขาได้อีก
เจ้าลูกเสืออาศัยเพียงพละกำลังกับปีกของมัน ตราบใดที่ไม่ต้องใช้ความเร็วมากนัก การบรรทุกน้ำหนักของพวกหลินเป่ยเฉินก็ไม่ใช่ปัญหา
ระหว่างที่นั่งอยู่บนหลังเจ้าเสือ หลินเป่ยเฉินก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาเปิดแอปไป่ตู้ แมป
เขาค้นหาตำแหน่งคุกใต้ดินของจวนผู้ว่า
เส้นทางที่ปลอดภัยที่สุดปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
หลินเป่ยเฉินเป็นผู้บอกทางให้เจ้าลูกเสือบินไปอย่างช้าๆ
ไม่นานต่อมา เขาก็เข้าสู่เมืองพื้นที่เขตห้า
กำแพงเมืองพื้นที่เขตห้ามีความสูงใหญ่แข็งแรง ไม่ทราบเลยว่าเป็นกำแพงเมืองที่ลงค่ายอาคมเอาไว้หนาแน่นขนาดไหน มีข่าวลือว่าตราบใดที่ยังเปิดใช้งานค่ายอาคมเหล่านี้ ต่อให้ผู้มีพลังระดับเซียนก็ไม่สามารถบุกทะลวงเข้าไปได้เด็ดขาด
แต่การเปิดค่ายอาคมเหล่านี้จำเป็นต้องใช้ศิลาบูชาจำนวนมาก
ดังนั้น หากไม่เกิดเหตุการณ์วิกฤตขึ้นจริงๆ กำแพงเมืองจะอาศัยการรักษาความปลอดภัยด้วยกำลังทหารธรรมดาเท่านั้น พวกเขาเดินลาดตระเวนอยู่บนกำแพงเมืองอย่างขยันขันแข็งแทบตลอดเวลา ประกอบกับชื่อเสียงในเรื่องความดุร้ายของท่านเจ้าเมือง จึงไม่เคยมีใครบุกเข้ากำแพงเมืองเขตห้าโดยไม่ได้รับอนุญาตมาก่อน และแทบไม่เคยมีเลยสักครั้งที่พวกเขาต้องเปิดการใช้งานค่ายอาคมบนกำแพงเมือง
เจ้าลูกเสือบินข้ามกำแพงเมืองไปในความเงียบ
กระแสลมปั่นป่วนเล็กน้อย
“เจ้ารู้สึกผิดปกติบ้างหรือไม่?”
มือปราบอินทรีธูมรณะที่ประจำการอยู่บนกำแพงเมืองคนหนึ่ง อยู่ดีๆ ก็ขมวดคิ้วด้วยความฉงนสงสัย “ข้ารู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรบางอย่างบินผ่านพวกเราไป”
“ลมพัดนั่นแหละกระมัง”
เพื่อนมือปราบอีกคนให้คำตอบ “เจ้าจะสงสัยอะไรมากมาย ถ้าไม่ใช่ผู้มีพลังระดับเซียน ก็คงมีแต่คนสมองเสื่อมเท่านั้นที่กล้าบุกเข้ามาในพื้นที่เขตห้า”
“จริงด้วยสินะ” ความสงสัยในแววตาของมือปราบอินทรีธูมรณะคนแรกจางหายไปทันที
จวนผู้ว่าในพื้นที่เขตห้าได้รับการคุ้มกันแน่นหนาไม่ต่างจากค่ายทหาร
ปรากฏมือปราบอินทรีธูมรณะเดินตรวจตราอยู่ทุกหนทุกแห่ง
“เหลียงหยวนเตารักตัวกลัวตายจริงๆ แฮะ ไม่งั้นคงไม่สร้างป้อมปราการแน่นหนาขนาดนี้”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา
เขาใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปพื้นที่โดยรอบ
ป้อมปราการซึ่งใช้เป็นคุกใต้ดินประจำเมืองมีเจ้าหน้าที่มือปราบอินทรีธูมรณะเดินตรวจตราอย่างแน่นหนา นอกจากนั้นยังมีผู้คนประจำการอยู่ตามหอคอยต่างๆ เพื่อตรวจสอบไม่ให้มีนักโทษหลบหนีตลอดเวลาอีกด้วย
อย่าว่าแต่จะเป็นผู้คน ต่อให้เป็นนกตัวหนึ่งบินผ่านมา ก็คงต้องถูกสอยร่วงลงมาจากท้องฟ้าแล้ว
เว้นแต่ว่าคนผู้นั้นจะมีวิชาปลอมตัว
หรือไม่ก็สามารถล่องหนได้อย่างพวกของหลินเป่ยเฉิน
รวมไปถึงผู้ใช้ค่ายอาคมที่สามารถประดิษฐ์อุปกรณ์ช่วยพรางตัวได้เช่นกัน
แต่การใช้อุปกรณ์เหล่านั้นก็ต้องใช้พลังลมปราณจำนวนมหาศาล ซึ่งทำให้ยากต่อการหลบหนีออกไปจากคุกแห่งนี้
แต่ผู้ที่ออกแบบการรักษาความปลอดภัยของคุกประจำเมือง ย่อมไม่ได้คำนึงถึงสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถล่องหนได้อย่างอากวงมาก่อน
จำนวนของเจ้าหน้าที่มือปราบที่คอยคุ้มกันคุกแห่งนี้มีมากมายนับไม่ถ้วน ตลอดเส้นทางคำนวณดูด้วยตาเปล่าคงไม่ต่ำกว่าพันคน และผู้ที่มีพลังต่ำต้อยที่สุด ก็อยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ตอนปลาย
เมื่อถึงที่ลับตาคน หลินเป่ยเฉินพบเห็นผู้คุมคนหนึ่งมีรูปร่างคล้ายกับไต้จือฉุนจึงกระโดดลงจากหลังเจ้าเสือ ย่องตามผู้คุมคนนั้นไปด้านหลัง ก่อนจะใช้ด้ามจับกระบี่ทุบเข้าไปที่บริเวณท้ายทอยของผู้คุมอย่างแรง
ผู้คุมล้มลงไปทันทีโดยไม่ได้อุทานอะไรออกมาสักคำ
“ที่เราเห็นพระเอกชอบใช้ด้ามปืนทุบหัวคนร้ายให้สลบในละครหลังข่าว มันใช้ได้ผลจริงๆ เหรอวะเนี่ย”
หลินเป่ยเฉินคิดพร้อมกับเก็บกระบี่
เขาลากตัวผู้คุมคนนั้นกลับมาด้วยมือข้างเดียว ไม่ต่างจากกำลังลากถุงกระสอบใบหนึ่ง หลังจากนั้นจึงได้กลับมาจับขาอากวงเพื่อล่องหนอีกครั้ง
ภายใต้การนำทางของแอปไป่ตู้ แมป ในไม่ช้า หลินเป่ยเฉินก็ค้นพบสิ่งที่เรียกว่าคุกทมิฬ
คุกทมิฬเป็นเหมือนอ่างน้ำขนาดใหญ่ กำแพงทั้งสี่ด้านมีความสูงแหงนมองคอตั้งบ่า ซ้ำยังกินอาณาเขตกว้างใหญ่กว่า 60 หมู่ กำแพงคุกทาสีดำให้ความรู้สึกหมดหวังและอมทุกข์ บางครั้งก็จะได้ยินเสียงกรีดร้องของนักโทษดังออกมาจากด้านในห้องคุมขัง กล่าวได้ว่าเบื้องหลังกำแพงเหล่านี้คือแดนเถื่อนที่แท้จริง
บัดนี้ เจ้าเสือไม่ได้บินอีกต่อไปแล้ว
หลินเป่ยเฉิน หลิวฉีไห่ อากวงและเจ้าเสือแตะตัวกันเดินย่องไปบนพื้นดินตามหลังผู้คุมคนหนึ่งที่กำลังเปลี่ยนเวรเข้าไปสู่ในคุกทมิฬพอดี
เมื่อสบโอกาสเหมาะ หลินเป่ยเฉินก็เปิดฟังก์ชั่นการค้นหาตัวรับสัญญาณไวไฟ
และรายชื่อตัวรับสัญญาณที่ปรากฏบนหน้าจอ ก็มีชื่อของไต้จือฉุนแสดงขึ้นมา
เพียงแต่อีกฝ่ายยังอยู่ในระยะห่างไกล ขีดสัญญาณจึงอ่อนมาก
ระหว่างนี้ พวกของหลินเป่ยเฉินเดินมาพบเจอกับค่ายอาคมซึ่งเป็นกับดักในเรือนจำ แต่เพียงพริบตาเดียว หลิวฉีไห่ก็สามารถสลายค่ายอาคมลงได้อย่างง่ายดาย
นี่คือเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินเปลี่ยนใจเลือกมากับหลิวฉีไห่ แทนที่จะเป็นฉู่เหินตามที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรก
เพราะว่าหลิวฉีไห่คือผู้ที่สร้างค่ายอาคมส่วนใหญ่ในค่ายที่พักของพวกเขานั่นเอง
นั่นคือข้อพิสูจน์ว่าอาจารย์หลิวมีฝีมือในการใช้ค่ายอาคมระดับสูง
ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วยาม สุดท้ายพวกเขาก็มาถึงคุกใต้ดินซึ่งเป็นสถานที่คุมขังไต้จือฉุนได้สำเร็จ
เหลียงหยวนเตาไม่ได้คิดว่าไต้จือฉุนเป็นนักโทษคนสำคัญ หรือมิเช่นนั้น ท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนก็คงมั่นใจในความปลอดภัยของคุกใต้ดินมากเกินไป หน้าห้องคุมขังจึงไม่มีเวรยามรักษาการณ์อยู่เลยแม้แต่คนเดียว
มือเท้าของไต้จือฉุนถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน ร่างกายของเขาปรากฏบาดแผลฉกรรจ์หลายแห่ง ตัวคนตกอยู่ในสภาพครึ่งเป็นครึ่งตาย
หลิวฉีไห่สลายค่ายอาคมที่ประตูห้องขังเพียงครู่เดียว ประตูห้องขังก็เปิดออกอย่างง่ายดาย
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปโยนร่างผู้คุมที่จับตัวมาลงไปบนพื้นหิน จากนั้นจึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้าของผู้คุมให้กับไต้จือฉุนผู้อยู่ในอาการครึ่งเป็นครึ่งตาย หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็พยายามสร้างบาดแผลให้เกิดขึ้นบนร่างกายของผู้คุมผู้โชคร้ายให้ได้มากที่สุด
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงใช้งานแอปเมจิก คาเมร่า สลับตัวตนระหว่างผู้คุมกับไต้จือฉุนนอกจากหน้าตาจะเหมือนกันแล้ว แม้แต่เสียงของพวกเขาก็เหมือนกันอีกด้วย
ต่อมา เด็กหนุ่มสั่งให้อากวงวางระเบิดอึไว้ทั่วห้องขัง ก่อนที่เขาจะประคองไต้จือฉุนผู้สลบไม่ได้สติเดินออกมา
ในระหว่างที่เดินผ่านแถวห้องขังห้องอื่นๆ นั้น มีเสียงคนผู้หนึ่งร้องตะโกนว่า
“ปล่อยข้าไปเดี๋ยวนี้นะ เหลียงหยวนเตา เจ้าทรราชตัวบัดซบ ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้…”
“เหลียงหยวนเตา เจ้าไม่ได้ตายดีแน่ รอให้บิดาของข้ารู้เรื่องนี้เสียก่อนเถอะ ศพของเจ้าจะต้องถูกหั่นเป็นพันๆ ชิ้น”
เสียงร้องตะโกนแหบแห้งดังออกมาจากห้องขังห้องหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินชะงักฝีเท้า
เอ๋?
เสียงนี้… ทำไมถึงรู้สึกคุ้นหูจัง
เหมือนเขาเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน!!!