ตอนที่ 719 ทำไมองค์ชายถึงคอเอียง
ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง
“อะฮ้า องค์ชายเจ็ดฟื้นแล้วหรือพะยะค่ะ ไม่ทราบว่าพระองค์ทรงรู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ข้างเตียง ส่งยิ้มอบอุ่นให้อย่างคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์
องค์ชายเจ็ดเมื่อสลัดความมึนงงออกไปได้ ก็ต้องเอียงศีรษะมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความตกตะลึงและพูดว่า “เจ้าถูกขังอยู่ที่นี่ได้อย่างไร… ไม่ใช่สิ ที่นี่คือที่ไหน? ข้า…”
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ต้องกลัวพ่ะย่ะค่ะ องค์ชายปลอดภัยแล้ว องค์ชายปลอดภัยแล้ว”
องค์ชายเจ็ดยังคงเอียงศีรษะพูดว่า “หลินเป่ยเฉิน เจ้า… เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้หรือ?”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น “ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่พระองค์ไม่ต้องขอบคุณหม่อมฉันก็ได้ เปลี่ยนจากคำขอบคุณ เป็นเหรียญทองคำสักสิบล้านเหรียญดีกว่า อีกอย่าง หม่อมฉันก็ไม่ใช่คนที่ช่วยเหลือผู้อื่นโดยหวังผลตอบแทนอยู่แล้ว… เอ๊ะ ว่าแต่ทำไมองค์ชายเวลาพูดต้องเอียงคอด้วยพ่ะย่ะค่ะ ?”
องค์ชายเจ็ดยกมือนวดลำคอของตนเองและตอบว่า “อ้อ ดูเหมือนคอข้าจะเคล็ดน่ะ ไม่สามารถขยับคอได้ชั่วคราว มานึกๆ ดูตอนนี้ ข้าก็รู้สึกเหมือนกับว่าตอนที่อยู่ในห้องขัง มีใครบางคนแอบมาทุบหัวข้าจากด้านหลัง…”
ว่าไงนะ?
คอเคล็ดอย่างนั้นหรือ?
สรุปว่าหลินเป่ยเฉินใช้ด้ามกระบี่ทุบแรงเกินไปจริงๆ ด้วยสินะ?
เด็กหนุ่มหัวใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม รีบพูด “อ้อ เรื่องนั้นต้องโทษเป็นความผิดของเจ้าลูกเสือสัตว์เลี้ยงของหม่อมฉันเองพ่ะย่ะค่ะ มันใช้กรงเล็บตบศีรษะของท่าน… เดี๋ยวกลับออกไปข้าน้อยจะสังหารมันซะ แล้วเอาเนื้อแจกจ่ายให้ผู้คนรับประทาน…”
เจ้าลูกเสือที่กำลังรับประทานปลาหมึกแห้งอยู่นอกกระโจมพลันหยุดชะงัก และเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อกับสิ่งที่มันเพิ่งได้ยิน
เมื่อองค์ชายเจ็ดได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มก็ต้องรีบสั่งห้ามเป็นพัลวัน “ไม่ได้เด็ดขาด มันก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีส่วนในการช่วยชีวิตข้าเช่นกัน แล้วข้าจะไปโกรธแค้นมันได้อย่างไร…เอาละ สรุปว่าเจ้าช่วยข้าออกมาจากคุกทมิฬใช่หรือไม่? เรื่องราวเป็นมาเป็นไปอย่างไรกันแน่?”
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้องค์ชายรับฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมแต่งเสริมเพิ่มเติมเรื่องราวบางอย่างเพื่อเพิ่มอรรถรสลงไปเล็กน้อย
องค์ชายเจ็ดจับมือหลินเป่ยเฉินแนบแน่นพร้อมกับกล่าวว่า “ที่แท้ก็เป็นเพราะเจ้านิมิตระหว่างหลับฝัน ว่าเทพีกระบี่มาบอกว่าข้าถูกขังอยู่ในคุกทมิฬ เจ้าจึงบุกเข้าไปในเมืองเขตห้า และช่วยเหลือข้าออกมาจากคุกนรกแห่งนั้น แม้จะต้องสังหารบริวารของเหลียงหยวนเตาตายเป็นภูเขาเลากาก็ตาม… น้องหลิน ไม่ทราบว่าเจ้าบาดเจ็บตรงไหนบ้างหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างจริงใจ “องค์ชายไม่ต้องเป็นกังวล หม่อมฉันดีขึ้นมากแล้วพ่ะย่ะค่ะ ”
หลังจากหยุดเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็สอบถามว่า “แต่ที่ข้าน้อยไม่เข้าใจก็คือ องค์ชายไปติดอยู่ในนั้นได้อย่างไร?”
“อ้อ เรื่องมันยาวหน่อยนะ มันเริ่มจากที่ข้าต้องมาควบคุมการรบในนครเจาฮุยในนามขององค์จักรพรรดิ ตอนแรกทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดี ใครจะไปคิดเลยล่ะว่าระหว่างที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ ข้าได้ค้นพบว่าเหลียงหยวนเตาคิดก่อกบฏโค่นล้มราชบัลลังก์ ระหว่างทางที่ข้ากำลังจะกลับวังหลวง พวกมันจึงส่งคนไปจับตัวข้ามาคุมขังไว้ที่นี่…”
พูดมาถึงตรงนี้ องค์ชายเจ็ดผู้คอเอียงก็อดหลั่งน้ำตาออกมาไม่ได้ ราวกับว่ารายละเอียดต่อจากนั้นคือสิ่งที่ไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่
หลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้สอบถามอะไรอีก
เขากล่าวว่า “เหลียงหยวนเตาผู้นี้บังอาจคิดการใหญ่ ความผิดของมันให้อภัยไม่ได้ หม่อมฉันอยากจะเอากระบี่สับมันให้ตายเป็นพันๆ ชิ้นนัก… ฮ่าฮ่า ว่าแต่หม่อมฉันขอสอบถามอะไรองค์ชายหน่อยได้หรือไม่ นี่ก็เป็นโอกาสดีแล้ว เหตุไฉนพวกเราถึงไม่ไปขอความช่วยเหลือจากท่านแม่ทัพเกาเฉิงฮั่น และเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชนล่ะพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้น พวกเราจะร่วมมือกับท่านแม่ทัพเกาจัดการตัดหัวเหลียงหยวนเตาเพื่อแก้แค้นให้แก่องค์ชายเอง”
องค์ชายเจ็ดส่ายหน้าทั้งๆ ที่คอเอียงอยู่อย่างนั้น “ไม่ได้”
“หืม?”
หลินเป่ยเฉินชะงักกึก “ทำไมถึงไม่ได้?”
จากนั้นเด็กหนุ่มถึงได้รู้ตัวว่าพูดวาจาห้วนสั้นมากเกินไป จึงรีบกล่าวเสริม “หรือองค์ชายเกรงว่าเหตุการณ์ครั้งนี้จะทำให้นครเจาฮุยปั่นป่วน ชาวทะเลอาจอาศัยโอกาสนี้บุกทะลวงเข้ามา? เฮ้อ นับว่าองค์ชายมีจิตใจโอบอ้อมอารีมากเกินไปแล้ว สมแล้วที่เป็นสายเลือดขององค์เง็กเซียนฮ่องเต้บนสวรรค์ลงมาเกิดใหม่บนโลกมนุษย์ หม่อมฉันได้ยินมาว่าผู้ที่ช่วยเหลือราชวงศ์มักได้รับสิ่งตอบแทนเสมอ ครั้งนี้หม่อมฉันช่วยเหลือองค์ชาย ถ้าอย่างนั้นก็…”
องค์ชายเจ็ดหัวเราะออกมาเล็กน้อย
ตัวเขาเองไม่เคยเข้าใจความคิดความอ่านของหลินเป่ยเฉินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
แล้วบัดนี้ เขาจะไปเข้าใจได้อย่างไรว่าหลินเป่ยเฉินต้องการจะสื่อสารอะไร?
ปัญหาใหญ่ก็คือเด็กหนุ่มมีสมองผิดปกติ ทำให้บางครั้งการพูดคุยหรือการกระทำเรื่องราวต่างๆ ล้วนเป็นเรื่องที่ยากต่อการเข้าใจ
“พวกเราไม่รู้เลยว่าเกาเฉิงฮั่นอยู่ฝ่ายไหนกันแน่ เพราะเขาเป็นขุนพลคนสนิทขององค์ชายสี่ พี่ชายของข้าเอง”
องค์ชายเจ็ดกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าลองประเมินดูแล้ว เกรงว่าเกาเฉิงฮั่นคงอยู่ฝ่ายเดียวกับเหลียงหยวนเตาเป็นแน่แท้ ต่อให้พวกเขาจะไม่ใช่พันธมิตรกัน แต่ก็มีอำนาจเกื้อหนุนกันอยู่ หากข้าไปขอความช่วยเหลือจากเกาเฉิงฮั่น นั่นก็คงกลายเป็นจุดจบของข้าแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น มันจะกลายเป็นโอกาสดีให้เกาเฉิงฮั่นกำจัดข้าเพื่อองค์ชายสี่ และเจ้ารวมถึงผู้คนในค่ายผู้อพยพแห่งนี้ ก็จะต้องพลอยได้รับความเดือดร้อนไปด้วย”
เขาพูดสิ่งเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินคิดทุกประการ
สมองของเด็กหนุ่มรู้สึกชาดิกไปหมด
การตัดสินใจช่วยเหลือองค์ชายเจ็ดในครั้งนี้ นอกจากไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ แก่พวกของหลินเป่ยเฉินแล้ว นี่อาจกลายเป็นการหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวอีกด้วย
องค์ชายเจ็ดมีสภาพย่ำแย่เหลือเกิน
ไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไมถึงคอเอียง
“ถ้าอย่างนั้นแผนการต่อไปของพระองค์จะเอาอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ ?”
หลินเป่ยเฉินลองสอบถาม
องค์ชายเจ็ดใช้เวลาคิดอยู่เล็กน้อย ก็ตอบว่า “ข้าคงต้องหาทางกลับไปให้ถึงวังหลวงให้ได้ และข้าก็จะกลับไปบอกเสด็จพ่อถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นี่…”
หลินเป่ยเฉินกล่าวว่า “แต่บัดนี้พวกชาวทะเลมันได้ปิดล้อมเมืองไว้หมดแล้ว แม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่สามารถรั่วไหลออกไปได้ เกรงว่าการที่องค์ชายจะหลบหนีออกไปนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกแล้ว และกว่าจะเดินทางไปถึงวังหลวง เส้นทางก็เต็มไปด้วยอันตรายมากมาย หากไม่มีคนติดตามไปคุ้มกันองค์ชาย หม่อมฉันเกรงว่าองค์ชายคงกลับไปไม่ถึงวังหลวงหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะว่าเหลียงหยวนเตาจะต้องส่งกองทหารและมือสังหารของตนเองมาไล่ล่าองค์ชายแน่นอน”
องค์ชายเจ็ดตอบ “เจ้าพูดถูกแล้ว ครั้งนี้ข้าต้องปลอมตัวไม่ให้มีผู้ใดจำได้ จากนั้นก็ต้องจ้างผู้คุ้มกันพิเศษและรอคอยให้สถานการณ์สงบลงกว่านี้อีกสักหน่อย ถึงค่อยหาทางหลบหนีออกไปจากเมืองนี้ให้ได้”
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็ลงความเห็นว่านี่คงเป็นวิธีเดียวแล้วจริงๆ
“น้องหลิน ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าพบหน้าเจ้า ข้าก็มีความรู้สึกว่าเจ้าเป็นเหมือนน้องชายแท้ๆ ของตนเอง ครั้งนี้เจ้าช่วยเหลือข้า ครั้งหน้าข้าไม่มีทางลืมบุญคุณเจ้าเด็ดขาด”
ทันใดนั้น อยู่ดีๆ องค์ชายคอเอียงก็มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความกระตือรือร้น
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
คำพูดหวานหูเช่นนี้ แววตากระตือรือร้นเช่นนี้
นี่มันท่าทางของคนที่กำลังจะขอยืมเงินกันชัดๆ
“น้องหลิน ข้าขอรบกวนยืมเงินเจ้าสักล้านเหรียญทองคำได้หรือไม่ ไว้ข้ากลับไปถึงวังหลวงและสามารถฟื้นตัวได้เมื่อไหร่ ข้าจะจ่ายคืนเจ้าเป็นสองเท่าเลย”
องค์ชายคอเอียงพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ
หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็เกือบหลุดสบถออกมา
ยังมีคนที่คิดยืมเงินผู้อพยพอย่างเขาอีกหรือนี่?
นี่มันไม่ต่างจากการรีดเลือดจากปูแล้วนะ
องค์ชายเจ็ดยังมีสติดีอยู่หรือเปล่าเนี่ย
หลินเป่ยเฉินลังเลเล็กน้อยก่อนให้คำตอบ
“กราบเรียนองค์ชาย ที่แท้ท่านก็รู้สึกเช่นเดียวกับหม่อมฉัน ครั้งแรกที่หม่อมฉันเห็นหน้าองค์ชาย หม่อมฉันก็รู้สึกเหมือนได้พบเจอพี่ชายแท้ๆ ของตนเองเช่นกัน สำหรับพวกเราแล้ว เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาเลยพ่ะย่ะค่ะ เอาเป็นว่าเรามาลงนามในสัญญาการกู้เงินก่อนดีหรือไม่ แต่ก่อนอื่นใดนั้น พวกเรามากำหนดดอกเบี้ยที่ทั้งสองฝ่ายพอใจก่อนดีกว่า เอ่อ… ในเมื่อพวกเราเป็นเสมือนที่น้องร่วมสาบาน หม่อมฉันจะลดราคาดอกเบี้ยให้เป็นพิเศษแล้วกัน เอาเป็นว่าองค์ชายต้องจ่ายดอกเบี้ยเดือนละหนึ่งแสนเหรียญทองคำ เป็นอันตกลงไหมพ่ะย่ะค่ะ ?”