ตอนที่ 721 บุคคลที่อยู่ในใจข้า
“ขอบใจท่านมากนะที่ช่วยเหลือข้า”
ท่ามกลางบรรยากาศที่มีผู้คนมากมาย เยว่หงเซียงจุดบุหรี่สูบและพ่นควันออกมาเป็นสายยาว
เด็กสาวรู้สึกตกหลุมรักความรู้สึกระหว่างการสูบบุหรี่เสียแล้ว
ไม่ใช่เพราะว่าเยว่หงเซียงเสพติดมัน แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่สูบของวิเศษชนิดนี้ พลังลมปราณในร่างกายของนางก็จะฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง
“ด้วยความยินดี”
เหลียงซือมู่ตอบด้วยความอับอาย “แต่อันที่จริง ข้าไม่ได้ช่วยเหลือเจ้าสักเท่าไหร่หรอก”
ความจริงนั้น เหตุการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เขาเพียงยืนมองเท่านั้น ส่วนผู้ที่ลงมือสังหารมือปราบอินทรีธูมรณะจริงๆ คือเยว่หงเซียงต่างหาก
นี่คือครั้งแรกที่เหลียงซือมู่ได้เห็นกับตาของตนเองว่า เด็กสาวผู้มีถิ่นฐานบ้านเกิดเป็นเมืองชายทะเลแสนห่างไกล นอกจากสามารถใช้ค่ายอาคมได้อย่างดีเยี่ยมแล้ว ฝีมือการต่อสู้ของนางยังร้ายกาจมากอีกด้วย และนั่นก็ทำให้มือปราบอินทรีธูมรณะเจ้าของรหัสหมายเลข 28 ต้องเสียชีวิตด้วยน้ำมือของเยว่หงเซียง
ในลมหายใจนั้น เหลียงซือมู่ตกตะลึงในความโหดเหี้ยมอำมหิตของเยว่หงเซียงไม่ใช่น้อย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหลียงซือมู่ถูกยกย่องให้เป็นศิษย์อัจฉริยะ มีความสามารถทั้งด้านบุ๋นด้านบู๊ แต่เมื่อได้เห็นการแสดงฝีมือของเยว่หงเซียง เขาก็เหมือนกับต้นกล้าในโรงเพาะชำที่เพิ่งเห็นต้นไม้ใหญ่ในป่าที่แท้จริง
เหลียงซือมู่รู้สึกเหมือนโลกของตนเองพังทลายลงมาทั้งใบ
เยว่หงเซียงพ่นควันเป็นรูปวงแหวนและมองหน้าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะอาหาร
เห็นได้ชัดว่าเหลียงซือมู่มีอายุมากกว่านางห้าถึงหกปี แต่บัดนี้ เยว่หงเซียงกลับรู้สึกเวทนาเขายิ่งนัก
เหลียงซือมู่มีสภาพไม่ต่างจากเด็กน้อยหลงทาง
“ท่านมีแผนการต่อจากนี้อย่างไรบ้าง?”
นิ้วมือที่เรียวยาวของเยว่หงเซียงเคาะบุหรี่สลัดเศษขี้เถ้า ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่นางเรียนรู้มาจากหลินเป่ยเฉินและถามต่อ “เห็นทีท่านคงต้องกลับไปยอมรับผิดต่อบิดากระมัง?”
“เรื่องนั้นข้าคงทำไม่ได้หรอก…”
เหลียงซือมู่ซึ่งเริ่มกลับมามีสติอยู่กับเนื้อกับตัวอีกครั้ง เพิ่งจะได้มีโอกาสกวาดสายตามองรอบตัวเป็นครั้งแรก ก่อนจะลดเสียงลง ส่งเสียงกระซิบว่า “เจ้าไม่รู้อะไรเสียแล้ว บิดาของข้าน่ะ… เขาได้กลายเป็นอสูรกายอย่างสมบูรณ์แบบ บิดาข้าไม่เคยให้อภัยผู้ใดที่ทรยศหักหลังต่อตัวเขา ครั้งหนึ่งพี่ชายของข้าเคยมีเรื่องโต้เถียงกับท่านพ่อ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น?”
เยว่หงเซียงดับก้นบุหรี่ และให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีด้วยการแสดงสีหน้าสงสัยใคร่รู้
เหลียงซือมู่ตอบว่า “หลังจากนั้น พี่ชายข้าก็ถูกมือปราบอินทรีธูมรณะจับตัวไปโยนใส่หม้อต้มน้ำซุป…”
สีหน้าของเด็กสาวแปรเปลี่ยนไปทันที
วันนี้ นางก็เกือบมีชะตากรรมเช่นเดียวกับพี่ชายของเหลียงซือมู่ ดูเหมือนว่ามือปราบอินทรีธูมรณะเหล่านั้นพยายามจะจับตัวนางไปใส่หม้อต้มน้ำซุปเช่นกัน…
นี่คือวิธีการปกติที่พวกเขาจัดการกับนักโทษอย่างนั้นหรือ?
วิปริตเกินไปแล้ว
มือปราบชุดเทาเหล่านั้นสามารถสังหารได้แม้แต่บุตรชายของท่านเจ้าเมือง คำอธิบายเดียวที่มีเหตุผลก็คือ มันต้องเป็นคำสั่งมาจากท่านเจ้าเมืองเหลียงหยวนเตาเท่านั้น
ขนาดสุนัขยังไม่ฆ่าลูกตัวเอง
แต่เหลียงหยวนเตากล้าสามารถสังหารลูกของตนเองได้อย่างไร?
ชายอ้วนคนนี้เลวร้ายยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉานเสียอีก
นับตั้งแต่ที่มาอาศัยอยู่ในนครเจาฮุย ถึงแม้ว่าเยว่หงเซียงจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการอ่านตำราและฝึกฝนการใช้งานค่ายอาคมชนิดต่างๆ แต่ถึงกระนั้น เด็กสาวก็ยังพอได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับความโหดร้ายอำมหิตผิดมนุษย์มนาของท่านเจ้าเมืองอยู่บ้าง
ทว่า เหลียงหยวนเตาว่ามีความโหดร้ายผิดมนุษย์แล้ว มือปราบอินทรีธูมรณะของเขายิ่งโหดร้ายมากกว่านั้นอีกหลายเท่า พวกเขากระจายกำลังกันอยู่ทั่วเมือง คอยปฏิบัติงานตามคำสั่งของชายอ้วนตลอดเวลา แต่เยว่หงเซียงนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าความโหดร้ายของท่านเจ้าเมืองกับเหล่ามือปราบคู่ใจจะวิปริตถึงขั้นนี้
จึงไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดเหลียงซือมู่ถึงได้มีอาการตื่นกลัวนัก
ยิ่งรู้อย่างนี้ เยว่หงเซียงก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณเหลียงซือมู่มากกว่าเดิมหลายเท่า
ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนเองอาจจะต้องตกอยู่ในอันตราย แต่เขาก็ยังกล้าแสดงตัวออกมาเพื่อปกป้องนาง
“หากข้ากลับไป บิดาก็คงต้องสังหารข้าเป็นแน่แท้”
เหลียงซือมู่ใบหน้าแดงก่ำ นิ่งคิดเล็กน้อยก็กล่าวต่อ “แม่นางเยว่ พวกเราหนีไปด้วยกันดีหรือไม่ คนที่บิดาข้าต้องการตัวคงตามหาไม่ง่าย บัดนี้เขายังไม่มีเวลามาสนใจพวกเรา เจ้ากับข้ายังมีโอกาสให้หลบหนีออกไปนอกนครเจาฮุย ข้ายังพอมีเงินเก็บหลงเหลืออยู่บ้าง และข้าก็มีคนรู้จักอยู่ในกองทัพจำนวนหนึ่ง พวกเขาสามารถช่วยเราออกไปจากเมืองนี้…”
เยว่หงเซียงมองหน้าเหลียงซือมู่ ไม่พูดอะไร
นางนึกเปรียบเทียบเด็กหนุ่มคนนี้กับหลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัว
เหลียงซือมู่มีอายุมากกว่าหลินเป่ยเฉินห้าถึงหกปี แต่วิธีการรับมือยามเกิดวิกฤตแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเคยถูกพวกของไป๋ไห่ชินใส่ความว่าเป็นสาวกปีศาจ และมีสถานะกลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดีในเมืองหยุนเมิ่ง แต่ถึงแม้สถานการณ์จะน่าหมดหวังเพียงใด หลินเป่ยเฉินกลับไม่เคยคิดหลบหนีออกจากเมืองหยุนเมิ่ง จนสุดท้าย หลินเป่ยเฉินก็สามารถหาโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้สำเร็จ
แต่ภายใต้สถานการณ์เดียวกันนี้ เหลียงซือมู่กลับเอาแต่คิดหลบหนีเพียงอย่างเดียว
ซึ่งมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก
แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ทุกครั้งที่มีเด็กหนุ่มผู้สูงศักดิ์พยายามเข้าหาเยว่หงเซียง นางก็จะต้องนำพวกเขามาเปรียบเทียบกับหลินเป่ยเฉินโดยไม่รู้ตัว
ยิ่งเปรียบเทียบมากเท่าไหร่ เด็กสาวก็ยิ่งค้นพบว่าในหัวใจของตนเองมีแต่หลินเป่ยเฉินเท่านั้น
เยว่หงเซียงรู้สึกเหมือนตนเองติดอยู่ในหลุมทรายดูด ไม่ว่าพยายามดิ้นรนตะกายขึ้นมาสักเท่าไหร่ ก็มีแต่ถูกดูดจมลึกลงไปมากขึ้นเท่านั้น
“เราจะไม่หลบหนีออกไปจากเมืองนี้”
เยว่หงเซียงดีดก้นบุหรี่ทิ้งและกล่าวต่อ “แต่ท่านสามารถติดตามข้ามาได้”
“หา? ไม่หลบหนี? แต่ให้ติดตามเจ้าเนี่ยนะ?”
เหลียงซือมู่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความงงงวย “จะให้กลับไปที่สถานศึกษาหรือ? อย่าโง่ไปหน่อยเลยน่า แม่นางเยว่ ถึงคณะอาจารย์จะเอ็นดูเจ้า เช่นเดียวกับประมุขสมาคมผู้ใช้ค่ายอาคมประจำเมือง แต่พวกเขาก็สามารถรับมือได้แค่พวกขุนนางทั่วไปเท่านั้น ถ้ามาเผชิญหน้าบิดาของข้าเข้าละก็… พวกเขาเปรียบเสมือนมดปลวกในสายตาของบิดาข้าเท่านั้น ไม่มีที่ไหนในเมืองนี้จะปลอดภัยอีกแล้ว ตราบใดที่พวกเรายังอยู่ในนครเจาฮุย อีกไม่ช้าก็เร็ว เจ้ากับข้าก็จะต้องถูกพวกมือปราบอินทรีธูมรณะจับตัวไปแน่นอน และอาจจะต้องตกตายโดยไม่มีแผ่นดินกลบฝังด้วยซ้ำ”
เยว่หงเซียงหยิบตะเกียบ จัดการห่ออาหารที่วางอยู่เบื้องหน้าพลางฉีกยิ้มพยายามพูดปลอบโยนว่า “บิดาของท่านอาจมีอำนาจล้นฟ้าก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ต้องหวาดกลัวเขาสักหน่อย ยังมีอยู่สถานที่หนึ่งที่อำนาจของเขาแผ่ขยายไปไม่ถึง …พวกเราไปกันเถอะ ข้าจะพาท่านไปพบกับใครบางคน”
“ใครหรือ?”
เหลียงซือมู่ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียวว่าในนครเจาฮุยแห่งนี้ จะมีสถานที่ใดที่อำนาจของบิดาเขาแผ่ไปไม่ถึง เช่นเดียวกับไม่มีบุคคลผู้ใดที่บิดาของเขาจะไม่สามารถควบคุมได้
“เรื่องนั้น…”
เยว่หงเซียงลังเลเล็กน้อย ก่อนตอบ “เป็นบุคคลที่อยู่ในใจข้า แต่ข้าไม่เคยเอื้อมถึงเขาเลย”
คำพูดของเด็กสาวซ่อนความหมายสำคัญต่อเหลียงซือมู่ เยว่หงเซียงนึกขอบคุณเขาที่ช่วยเหลือนางอย่างสุดชีวิต แต่ความดีของเขาก็ไม่สามารถแย่งชิงตำแหน่งในหัวใจของนางได้เลย เยว่หงเซียงไม่มีที่ว่างในหัวใจให้แก่ใครอีกแล้ว นอกจากเด็กหนุ่มผู้นั้นเพียงคนเดียว
เหลียงซือมู่เป็นคนฉลาดเฉลียว
ย่อมเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำตอบของเยว่หงเซียงเป็นอย่างดี
ทันใดนั้น ใบหน้าของเขาขาวซีด
หญิงผู้เป็นที่รักของเขากลับมีคนอื่นอยู่ในหัวใจเสียแล้ว เป็นไปได้อย่างไรกัน?
นี่คือความรู้สึกที่เหลียงซือมู่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน
รอยยิ้มฝืดฝืนปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของเขา
นี่คือความรู้สึกของหัวใจที่แตกสลาย
เหลียงซือมู่ย่อมเข้าใจดีว่าเด็กสาวอย่างเยว่หงเซียงผู้มีบุคลิกอ่อนนอกแข็งใน เมื่อรักใครแล้วก็จะรักหมดหัวใจ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความรู้สึกกันได้ง่ายๆ
บัดนี้ ในหัวใจของเหลียงซือมู่เต็มไปด้วยความขมขื่น
ดังนั้น ตอนที่เหลียงซือมู่เห็นคุณชายหน้าขาวท่าทางไม่ใช่ตัวดีคนหนึ่งเดินตรงมายังโต๊ะอาหารของตนเอง เขาจึงระบายโทสะที่อัดอั้นตันใจใส่เด็กหนุ่มผู้นั้นโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าจะทำอะไร?”
เหลียงซือมู่มองหน้าเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวและคำรามด้วยความเกรี้ยวกราด “ไสหัวไปซะ ถ้าไม่อยากมีเรื่อง”
หลินเป่ยเฉินมองหน้าเด็กหนุ่มรุ่นพี่ซึ่งมีสภาพเหมือนลูกหมาหลงทางด้วยแววตาเฉยเมย
เขายังไม่ทันจะพูดอะไรเลยสักคำ หมอนี่มันจะมาขึ้นเสียงใส่เขาทำไม?
ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเพื่อนของเยว่หงเซียง หลินเป่ยเฉินก็คงตบหัวทิ่มไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจเด็กหนุ่มผู้โวยวายคนนั้น เขาเดินเข้าไปตบไหล่เยว่หงเซียงพร้อมกับกล่าวว่า “มาหลบอยู่ที่นี่เอง ปล่อยให้ข้าหาเสียตั้งนาน”
เหลียงซือมู่แสยะยิ้ม รอคอยที่จะเห็นเด็กหนุ่มหน้าขาวถูกไล่ตะเพิดออกไป
เขารู้จักเยว่หงเซียงดี
ทุกครั้งที่มีเพศตรงข้ามพยายามเข้ามาทำตัวสนิทสนมกับนางเช่นนี้ เยว่หงเซียงไม่เคยไว้หน้าผู้ใดทั้งสิ้น
แต่แล้วเหลียงซือมู่กลับต้องเป็นฝ่ายตกตะลึงไปเสียเอง เมื่อเขาพบว่าใบหน้าที่เย็นชาของเด็กสาวอยู่ดีๆ กลับมีรอยยิ้มบานสะพรั่งออกมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน… แล้วไหนจะดวงตาคู่นั้นอีกเล่า มันกำลังทอประกายระยิบระยับอย่างที่เหลียงซือมู่ไม่เคยพบเห็น
“พี่หลินมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ?”
เยว่หงเซียงถามด้วยน้ำเสียงดีใจ
นางไม่รู้ตัวเลยว่าทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของตนเองในตอนนี้แตกต่างจากปกติมากขนาดไหน
จังหวะนั้น หัวใจของเหลียงซือมู่ที่ขมขื่นอยู่แล้วก็ยิ่งขมขื่นและแหลกสลายมากกว่าเดิม
เขามองหน้าเด็กหนุ่มหน้าขาวด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ จากนั้นจึงได้รู้แล้วว่าผู้ที่ ‘เป็นบุคคลที่อยู่ในใจข้า แต่ข้าไม่เคยเอื้อมถึงเขาเลย’ ซึ่งเยว่หงเซียงเอ่ยถึงก่อนหน้านี้ ก็คือเจ้าเด็กหนุ่มหน้าขาวคนนี้นี่เอง!