ตอนที่ 723 ‘ข้อเสีย’ ของหลินเป่ยเฉิน
ปัจจุบันนี้ หมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งถึงกับมีวิหารเทพีกระบี่ ซึ่งกลายเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้วิหารประจำเมืองในพื้นที่เขตสี่ด้วยซ้ำ
ผู้อพยพจำนวนมากมีชีวิตที่ยากลำบาก
แต่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง พวกเขากลับมีชีวิตที่ปลอดภัยและสะดวกสบาย
ส่วนผู้ใดที่ก่อปัญหาสร้างความวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา ขุนนางใหญ่หรือนายทหาร ขอเพียงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น พวกเขาก็จะถูกโบยตีจนต้องคุกเข่าร้องขอความเมตตาบนพื้นดิน
เพียงหนึ่งเดือน เหล่าผู้อพยพและคนยากไร้จากหมู่บ้านอื่นๆ ก็มารวมตัวกันอยู่รอบหมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งเกือบหนึ่งล้านคน
ถือเป็นจำนวนผู้คนมากมายมหาศาล
แต่ด้วยประสบการณ์การบริหารบ้านเมืองของฉุยเฮาเฟิง ทุกคนจึงสามารถใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นและเป็นระบบระเบียบ
สำหรับอดีตท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิง นี่คืองานที่เหนื่อยล้า แต่ทว่ามีความสุข
ชีวิตของเขาเหมือนได้ตายแล้วเกิดใหม่อีกครั้ง
หลังถอนตัวออกมาจากเมืองเจี้ยนหยวน ฉุยเฮาเฟิงตัดสินใจสอบข้าราชการ เพราะอยากจะพัฒนาชีวิตของผู้คนให้ดีมากขึ้น
และด้วยความช่วยเหลือจากความยอดเยี่ยมและความสามารถที่หลากหลายของหลินเป่ยเฉิน จึงกล่าวได้ว่าผู้อพยพจำนวนนับล้านชีวิตจึงถูกช่วยเหลือไว้จากความโหดร้ายของฤดูหนาวที่ทำให้พวกเขาไม่ต้องอดตายอีกต่อไป
ดังนั้น ฉุยเฮาเฟิงจึงสามารถทำงานได้ทั้งวันทั้งคืน ราวกับว่าไม่มีวันหมดแรงอย่างไรอย่างนั้น
กล่าวได้ว่าความขยันและทุ่มเทของฉุยเฮาเฟิงช่วยแบ่งเบาภาระไปจากหลินเป่ยเฉินได้มากทีเดียว
นั่นยิ่งทำให้ฉุยเฮาเฟิงภาคภูมิใจในตนเองมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ฉุยเฮาเฟิงยังได้จัดตั้งผู้ช่วยงานจำนวนหนึ่งขึ้นมาคอยดูแลความสงบเรียบร้อยของชาวเมืองเป็นพิเศษ ไม่ต่างไปจากตอนที่เขารับตำแหน่งเป็นผู้ว่าการเมืองหยุนเมิ่งเมื่อหลายเดือนก่อน
ที่สำคัญฉุยเฮาเฟิงมีฉุยหมิงโหลวผู้เป็นบุตรชายคอยช่วยเหลืออยู่ข้างกาย
สองพ่อลูกร่วมแรงร่วมใจทำงานหนัก
นับเป็นความร่วมมือที่สมบูรณ์แบบ
ในกลุ่มผู้อพยพ หลายคนมีฝีมือและทักษะเฉพาะทางที่ควรค่าต่อการจ้างงานและได้รับความเคารพ
ค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง จึงกลายเป็นอาณาจักรแห่งเทพเจ้าในสายตาของผู้อพยพจำนวนมาก
ปัจจุบันนี้ หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพเลื่อมใส ไม่เฉพาะแต่กับผู้คนที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านของชาวเมืองหยุนเมิ่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้อพยพจากหมู่บ้านอื่นๆ อีกด้วย
ผู้คนรักและศรัทธาในตัวเขา
ไม่ต่างจากความรักและความศรัทธาที่มีให้ต่อเทพีกระบี่
หลินเป่ยเฉินได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้ไปเต็มๆ
จำนวนผู้ศรัทธาของเขาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เพียงเดือนเดียวเท่านั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ในตัวเขาก็เลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์เทวะระดับห้าแล้ว
เมื่อบวกกับการเริงรักกับเยว่เว่ยหยางทุกวันทุกคืน ความสามารถในด้านต่างๆ ของหลินเป่ยเฉินก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
สุดท้าย ร่างกายของเขาก็เลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นกระดูกทองคำขาวเช่นเดียวกับเซียวปิง
แล้วพลังปราณธาตุทองคำเป็นอย่างไรบ้าง?
พลังปราณธาตุทองคำในร่างกายของหลินเป่ยเฉินบัดนี้ทำให้เขาเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ระดับสี่แล้ว
พลังที่เพิ่มขึ้นทำให้หลินเป่ยเฉินมีความสุขมาก
แต่สิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดก็ยังคงเป็นการก่อสร้างสถานศึกษา
เพราะถ้าสามารถทำภารกิจจากแอป Keep ได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินก็อาจจะได้เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนอย่างก้าวกระโดด และเขาก็ไม่ต้องกลัวเหลียงหยวนเตาอีกต่อไป
และภายในเวลาหนึ่งเดือนนี้ สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งก็ได้รับการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อย
ไม่ว่าจะเป็นอาคารการเรียนการสอน โรงอาหาร หอพักศิษย์ ห้องสมุด สนามประลองยุทธ์ อัฒจันทร์สำหรับรับชมการประลอง ห้องสำหรับการฝึกวิชา อาคารสำหรับฝึกการต่อสู้…
ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถสรุปออกมาได้เพียงห้าพยางค์เท่านั้นว่า…
ใหญ่โตมโหฬาร
สำหรับสิ่งปลูกสร้างในหมู่บ้านของชาวหยุนเมิ่ง รวมไปถึงบ้านเช่าที่อยู่รอบๆ หมู่บ้านนั้น หลินเป่ยเฉินเพียงเป็นคนออกแบบความคิด และจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับการก่อสร้าง แต่เขาไม่ได้เป็นคนลงไปคุมงานก่อสร้างด้วยตัวเอง ผิดกับสถานศึกษาที่เด็กหนุ่มสามารถยืนมองได้ทุกวันไม่มีเบื่อ และเขาจะไม่ปล่อยให้การก่อสร้างผิดไปจากการออกแบบของตนเองแม้แต่นิดเดียว
ตอนที่มีการกระจายข่าวว่าในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งจะมีการสร้างสถานศึกษา ทุกคนเข้าใจว่ามันคงเป็นอาคารการเรียนที่เรียบง่ายธรรมดา ไม่ได้ใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนสถานศึกษาของพวกคนรวย
แต่เมื่อสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งสร้างเสร็จแล้ว มันก็กลายเป็นหน้าตาของอาณาจักรแห่งเทพเจ้าที่แท้จริง
ไม่ต้องเอ่ยถึงเลยว่าชาวเมืองหยุนเมิ่งจะตกตะลึงขนาดไหน แม้แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในนครเจาฮุย ก็แทบจะหาสถานศึกษาที่มีความใหญ่โตหรูหรามาเทียบเคียงกับสถานศึกษากระบี่ของหลินเป่ยเฉินไม่ได้อีกแล้ว
แม้แต่สถานศึกษากระบี่ที่หนึ่ง หรือสถานศึกษากระบี่หลวงประจำมณฑลเฟิงอวี่ก็ยังสู้ไม่ได้
นี่คือวันแรกที่อากาศแจ่มใส หลังจากมีหิมะตกหนักมาตลอดสามวันเต็ม
แสงตะวันอบอุ่น
ผู้คนจำนวนมากมารวมตัวกันอยู่ด้านนอกสถานศึกษา รอคอยให้คุณชายหลินทำพิธีเปิดสถานศึกษาอย่างเป็นทางการ
วันนี้หลินเป่ยเฉินส่งเทียบเชิญไปให้ผู้คนมากมาย
แม้เทียบเชิญจะมีคำเชิญเพียงประโยคเดียว แต่ทุกคนก็มาร่วมพิธีเปิดด้วยความสมัครใจ
ในจำนวนผู้ที่มาชุมนุมอยู่หน้าสถานศึกษาขณะนี้ ก็มีเหลียงซือมู่อยู่ด้วยเช่นกัน
ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เขามีสถานะเป็นคนงานธรรมดาในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ทุกวันต้องทำงานหนัก ไม่ว่าจะเป็นการขนหินขนดิน ตัดต้นไม้ เกี่ยวข้าว เก็บพืชสมุนไพร จัดเตรียมพื้นที่สำหรับการสร้างค่ายอาคม…
ความหนักหน่วงของงานเหล่านี้ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูด…
คุณชายผู้สูงศักดิ์อย่างเหลียงซือมู่จึงปวดร้าวไปทั้งร่างกายและแทบเป็นลมหมดสติเมื่อใช้ชีวิตเป็นคนงานได้เพียงไม่กี่วัน
แต่ความมุ่งมั่นที่จะกระชากหน้ากากอันชั่วร้ายของเจ้าหน้าขาวหลินเป่ยเฉิน คือสิ่งที่ทำให้เหลียงซือมู่ยังอดทนมาได้จนถึงวันนี้
และการอยู่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง ก็ยังทำให้เขาสามารถพบเห็นเยว่หงเซียงในระหว่างที่นางสร้างค่ายอาคมครอบคลุมตึกต่างๆ ในทุกๆ วันอีกด้วย
ถึงจะได้พูดคุยกันเพียงไม่กี่คำ แต่ขอแค่ได้พบเห็นนาง ขอแค่ได้สูดดมกลิ่นกายของนางจากไกลๆ เหลียงซือมู่ก็รู้สึกมีความสุขมากแล้ว
หลังจากนั้น เมื่อปรับตัวได้กับชีวิตในสถานะคนงาน เหลียงซือมู่ก็เริ่มสังเกตผู้คนรอบข้าง เขาได้เห็นถึงความทุกข์ทรมานของชาวบ้านทั่วไป และถึงคนงานส่วนใหญ่จะเป็นผู้อพยพที่ร่างกายสกปรกแปดเปื้อน แต่เมื่อใช้เวลาอยู่ด้วยกันมากเข้า สุดท้ายพวกเขาก็กลายเป็นเพื่อนกันโดยไม่รู้ตัว
นั่นทำให้เหลียงซือมู่เข้าใจบางอย่าง
แต่เขาไม่อยากยอมรับ
วันนี้ เด็กหนุ่มอยากจะเห็นพิธีเปิดสถานศึกษาหยุนเมิ่งด้วยตาของตนเอง
เหลียงซือมู่คิดด้วยความขุ่นเคืองใจว่าหากหลินเป่ยเฉินนำเงินที่ใช้สร้างพิธีเปิดนี้ ไปมอบให้แก่ชาวเมืองผู้ยากไร้ ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของเงินสดหรือทรัพยากรต่างๆ ผู้อพยพจำนวนมากก็จะมีชีวิตที่ดีมากขึ้นทันที
แต่หลินเป่ยเฉินกลับนำเงินมาผลาญเล่นอย่างเปล่าประโยชน์
นี่คือ ‘ข้อเสีย’ ของหลินเป่ยเฉินเพียงอย่างเดียวที่เหลียงซือมู่ค้นพบในที่สุด หลังจากใช้เวลาฝังตัวอยู่ร่วมกับผู้อพยพนานนับเดือน
เหลียงซือมู่กัดฟันด้วยความเจ็บใจ
แต่ทันใดนั้น เมื่อเห็นร่างของคนผู้หนึ่งเดินขึ้นไปบนเวทีซึ่งตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าสถานศึกษา เหลียงซือมู่ก็ต้องยืนตัวแข็งทื่อ ปากอ้าตาค้างด้วยความไม่อยากเชื่อ