ลำแสงสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากขอบฟ้าทางทิศเหนือ
เป็นประกายสว่างไสว
แผ่รัศมีศักดิ์สิทธิ์กว้างขวาง
ลำแสงสายนี้ให้ความรู้สึกไม่ต่างไปจากลำแสงของเทพีกระบี่
มันยิงตรงเข้ามาทางสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง
และเจาะจงครอบคลุมรูปปั้นของหลินเป่ยเฉิน
ตอนแรกหลินเป่ยเฉินไม่อยากออกหน้าออกตาอะไรมาก แต่เพราะทนกระแสเรียกร้องของผู้คนไม่ไหว สุดท้ายเขาก็ต้องสร้างรูปปั้นของตนเองมาตั้งไว้หน้าประตูสถานศึกษา
รูปปั้นตัวนี้เขาออกแบบด้วยตนเองทุกตารางนิ้ว
หลินเป่ยเฉินจำลองมันมาจากรูปถ่ายของตนเองในโทรศัพท์มือถือ
เขาตั้งชื่อมันว่ารูปปั้นลูกแกะผู้หลงทาง
ลำแสงสายใหม่นั้นยิงเข้ามาครอบคลุมรูปปั้นตัวนี้
เมื่อรูปปั้นของหลินเป่ยเฉินมีพลังศักดิ์สิทธิ์ไหลซึมเข้าไป มันก็ระเบิดรัศมีสีขาวสว่างวาบแผ่ปกคลุมทั่วบริเวณ ให้ความรู้สึกว่าสถานศึกษาแห่งนี้เป็นอาณาจักรของเทพเจ้าอย่างแท้จริง
“เอ๋ นี่มันการประทานพรครั้งที่สามแล้วนะ”
“มีใครเคยได้ยินไหมว่าเทพีกระบี่ประทานพรให้ใครมากมายขนาดนี้บ้าง?”
“ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“พวกเจ้าสังเกตหรือไม่? ครั้งนี้มันแสงสาดลงมาที่รูปปั้นของคุณชายหลิน นี่หมายความว่าอย่างไรกันนะ?”
“เจ้าว่ามันหมายความว่าอย่างไรล่ะ?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”
“พรืด…”
“อย่าหัวเราะนะ อย่างน้อยนี่ก็พิสูจน์แล้วว่าคุณชายหลินเป็นที่รักของเทพีกระบี่จริงๆ มิฉะนั้นแล้ว เทพีกระบี่จะสาดลำแสงมาบนรูปปั้นของเขาเพื่ออะไร? ขนาดองค์จักรพรรดิยังไม่เคยได้รับการอำนวยอวยพรขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ”
“จริงด้วยสินะ”
กระแสแห่งความตกตะลึงแผ่ปกคลุมผู้คนที่รับชมพิธีเปิด
โดยเฉพาะกับพ่อบ้านหวังจงและบริวารซึ่งแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนดูตามพื้นที่ต่างๆ นั่นยิ่งทำให้พวกเขาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความเคารพเทิดทูนมากกว่าเดิมหลายเท่า…
เมื่อเห็นดังนี้ ผู้คนจำนวนมากก็อยากจะส่งบุตรหลานของตนเองมาเข้าเรียนที่สถานศึกษาของหลินเป่ยเฉินแล้ว
บนเวทีขณะนี้
ปากที่อ้ากว้างของหลินเป่ยเฉินก็หุบลงอย่างช้าๆ
ใจเย็นก่อน
นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
หลินเป่ยเฉินพยายามเตือนตนเองไม่ให้ออกอาการมากเกินไป
เขาจะปล่อยให้คนอื่นรู้ไม่ได้ว่าเขาเองก็กำลังตกใจเช่นกัน
แต่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ลำแสงแรกมาจากเทพีกระบี่หิมะไร้นามบนดินแดนทวยเทพ
ลำแสงสายที่สองก็มาจาก ‘เยว่เว่ยหยาง’
ส่วนลำแสงที่สาม…
เอ่อ
มาจากไหนกันนะ?
หลินเป่ยเฉินมั่นใจว่าตนเองไม่ได้มีระดับพลังต่ำต้อยอีกแล้ว แต่เขาก็สัมผัสอะไรไม่ได้เลย
ลำแสงประทานพรทั้งสามสายนี้ ไม่ว่าจะเป็นระดับพลัง หรือสีสัน รวมไปถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่แผ่กระจายออกมา ต่างก็มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งสิ้น
ถ้าบอกว่าพวกมันเป็นการปล่อยพลังมาจากเทพีกระบี่เพียงผู้เดียว ก็คงไม่มีผู้ใดผิดสังเกต
เพราะฉะนั้น
นี่จึงไม่ใช่เรื่องเลวร้ายหากจะบอกออกไปว่า ลำแสงสามสายเหล่านี้คือการประทานพรจากเทพีกระบี่ทั้งหมด
แต่ปัญหาที่หาคำตอบไม่ได้ในใจของหลินเป่ยเฉินก็คือ ในเมื่อลำแสงสองสายแรกเป็นฝีมือของพวกเทพีกระบี่ทั้งองค์เก่าและองค์ใหม่… ถ้าอย่างนั้น ลำแสงสายที่สามเป็นฝีมือของใครกันล่ะ?
หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดแล้วก็สงสัย
แต่เขาไม่แน่ใจ
“อะแฮ่ม…”
หลินเป่ยเฉินกระแอมไอและกล่าวต่อ “ทุกท่านคงเห็นแล้วสินะว่าเทพีกระบี่ให้ความสำคัญต่อสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งมากมายขนาดไหน มิฉะนั้นแล้ว พระองค์คงไม่มอบลำแสงประทานพรออกมาถึงสะ…”
เด็กหนุ่มพูดยังไม่ทันจบ
วาบ!
ลำแสงศักดิ์สิทธิ์อีกหนึ่งสายก็พวยพุ่งขึ้นมาจากพื้นที่เขตสี่ของนครเจาฮุย
มันแผ่รัศมีปกคลุมทั่วตัวเมืองพื้นที่เขตสี่
ก่อนที่ลำแสงเหล่านั้นจะรวมตัวกันพุ่งผ่านอากาศตรงมายังสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง
“ดูสิ มีลำแสงประทานพรอีกแล้ว”
“ให้ตายเถอะ นี่เท่ากับเป็นการประทานพรครั้งที่สี่แล้วนะ”
“ทำไมที่นี่ถึงได้รับพรเยอะขนาดนี้”
เห็นดังนั้น ผู้คนที่อยู่ร่วมพิธีเปิดสถานศึกษาต่างก็เบิกตาโตด้วยความตกตะลึงสุดขีด
ครั้งนี้ แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถปิดบังความตกตะลึงของตัวเองได้อีกแล้ว
เขาอ้าปากกว้างจนสามารถกลืนไข่เป็ดได้ทั้งใบ
ดวงตาเบิกโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
อีกแล้วหรือ?
สมองของเด็กหนุ่มพยายามหาคำตอบด้วยความสับสน
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะพอเดาได้ว่าลำแสงสายที่สามมาจากไหน เขามั่นใจว่ามันต้องเป็นฝีมือของไป๋ชินหยุนซึ่งขณะนี้น่าจะหลบซ่อนตัวอยู่ในนครเจาฮุยอย่างแน่นอน นางเคยขัดขวางเขาไม่ให้มาที่เมืองนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง
และในอดีต นางก็เคยหนุนหลังพวกตระกูลเว่ย สร้างอภินิหารจอมปลอมแอบอ้างนามของเทพีกระบี่หลอกลวงผู้คนมาแล้ว
นี่จึงเป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลมากที่สุด
แต่ลำแสงสายที่สี่… หลินเป่ยเฉินไม่สามารถหาคำตอบได้อีกแล้ว
หรือว่าจะมีปีศาจอีกตัวหนึ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในนครเจาฮุย
แต่ถ้าอย่างนั้น ปีศาจตัวนั้นก็สมควรหลบซ่อนตัวให้แนบเนียนและเงียบสงบที่สุดไม่ใช่หรือ?
เหตุไฉนถึงได้แสดงอภินิหารของตนเองออกมาเช่นนี้เล่า?
หรือว่ามันอยากได้รับความสนใจ?
แต่คำถามสำคัญก็คือ ปีศาจตนนั้นสามารถเลียนแบบเทพีกระบี่ได้อย่างไร?
นี่เป็นเพราะว่าเทพีกระบี่อ่อนแอมากเกินไป
หรือพวกปีศาจมีความแข็งแกร่งมากกว่าเดิมกันแน่?
พรึบ!
ลำแสงสายที่สี่พุ่งเข้ามาสาดจับร่างของหลินเป่ยเฉิน
ยามที่ร่างของเด็กหนุ่มตกอยู่ภายใต้ลำแสงศักดิ์สิทธิ์ เขาก็ดูมีความสง่างามราวกับเป็นเทพเจ้าตัวจริงอย่างไรอย่างนั้น
“ดูสิ ครั้งนี้ลำแสงส่องมาที่ร่างของคุณชายหลินแล้ว”
“โอ๊ะ ข้าเข้าใจแล้วล่ะ เหตุผลสำคัญของเทพีกระบี่ก็คือคุณชายหลินนี่เอง”
“ใช่แล้ว ที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งได้รับการประทานพรอย่างมากมายถึงเพียงนี้ ก็เป็นเพราะท่านเทพีกระบี่เมตตาและเอ็นดูคุณชายหลินนี่เอง”
ผู้คนจำนวนมากส่งเสียงอุทานออกมาเสียงดังอึงอล
ในจังหวะที่กำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง หลินเป่ยเฉินก็รับทราบแล้วว่าลำแสงสายนี้ไม่ได้เป็นผลร้ายกับเขาเลย ถึงจะไม่ได้ทำให้พลังในร่างกายเพิ่มขึ้น แต่มันก็ไม่ได้ดูดพลังไปจากร่างกายของเขาเช่นกัน เพียงแต่การสาดส่องมายังร่างของเขานั้นทำให้หลินเป่ยเฉินมีสง่าราศีเพิ่มมากขึ้นทวีคูณ
และเด็กหนุ่มก็รู้ดีว่าโอกาสของเขามาถึงแล้ว
เพราะชีวิตคือการเล่นละคร อยู่ที่ว่าใครจะเล่นละครได้สมจริงมากกว่ากัน
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินหลับตาลง และยกมือขึ้นมาไขว้กันบนหน้าอก ก่อนจะลืมตาขึ้นมากวาดมองไปยังผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวที
“ข้าคือเทพีกระบี่ผู้สูงส่ง”
“ข้ามาที่นี่เพื่อประทานพรให้สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง กลายเป็นสำนักศึกษาที่ดีที่สุดในจักรวรรดิเป่ยไห่”
“พวกเจ้าจะต้องจดจำการประทานพรครั้งนี้ไปตลอดชีวิต”
“ผู้ใดที่กล้าลบหลู่ดูหมิ่นสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง จะมีความผิดไม่แพ้พวกสาวกปีศาจ ถือเป็นการทำบาปที่ให้อภัยไม่ได้ และข้าไม่เคยเมตตาต่อผู้ทรยศแม้แต่ครั้งเดียว”
“แต่สำหรับผู้ที่ภักดีต่อสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง พวกเจ้าจะเป็นคนที่ข้าคอยปกป้องอยู่เสมอ…”
แม้แต่หลินเป่ยเฉินก็ยังอดแปลกใจไม่ได้ที่ตนเองสามารถเลียนแบบเสียงของเทพีกระบี่ได้เหมือนจริงขนาดนี้
บรรดาผู้อพยพส่งเสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้น
เหลียงหยวนเตากับเกาเฉิงฮั่นก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง
สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ สามารถทำให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านตกตะลึงได้จริงๆ
นี่ไม่ใช่เรื่องธรรมดาอีกต่อไป
พวกเขารู้ความลับที่คนอื่นไม่รู้ ดังนั้น ก่อนหน้านี้จึงพอเดาได้อยู่บ้างว่าอะไรเป็นอะไร แต่การได้รับลำแสงประทานพรจากเทพีกระบี่ถึงสี่ครั้งซ้อน นับเป็นเรื่องที่พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ
เกาเฉิงฮั่นหันไปพูดคุยกับนายทหารผู้ใต้บังคับบัญชาเล็กน้อย ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
“พิธีเปิดสถานศึกษาจบลงแล้ว พวกเจ้าสามารถลงทะเบียนได้ตามอัธยาศัย และข้าจะขอบอกข่าวดีให้พวกเจ้าได้รู้ หากพวกเจ้าลงทะเบียนให้แก่ลูกหลานของตนเองในเวลาหนึ่งชั่วยามต่อจากนี้ พวกเจ้าก็จะได้รับส่วนลดค่าลงทะเบียนเป็นพิเศษ…”
หลินเป่ยเฉินเห็นทุกคนกำลังแสดงแววตาเลื่อมใสอย่างเต็มที่ ก็ไม่ลืมฉวยโอกาสขายของด้วยทันที
หลังจากนั้น ผู้คนจำนวนมากก็ไปรวมตัวกันอยู่บริเวณจุดลงทะเบียนศิษย์ใหม่ ซึ่งตั้งอยู่หน้าสถานศึกษาถึง 30 จุดอย่างแน่นขนัด
นายทหารจากหน่วยคนงานขุดเหมืองรอคอยอยู่ถึง 500 คนเพื่อทำหน้าที่จัดระเบียบผู้ลงทะเบียน
เมื่อดูจากแถวอันยาวเหยียดของผู้ที่ทำเรื่องลงทะเบียนขณะนี้ ก็กล่าวได้ว่าพิธีเปิดสถานศึกษาในวันนี้สำเร็จลุล่วงด้วยดีตามที่หลินเป่ยเฉินวางแผนเอาไว้
“ขอแสดงความยินดีด้วยนะขอรับ คุณชายหลิน”
“นี่คือของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากพวกเรา ขอเชิญคุณชายหลินรับไป”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ต่อจากนี้ข้าคงต้องเรียกท่านว่าอาจารย์ใหญ่หลินแล้วสินะ พวกเรายังไม่รีบทำความเคารพอาจารย์ใหญ่หลินอีก โฮะโฮะโฮะ”
บรรดาขุนนางและเศรษฐีใหญ่จากตัวเมืองเขตสามและเขตสี่ พากันเข้ามาห้อมล้อมหลินเป่ยเฉินพร้อมกับแสดงความยินดีต่อเขาด้วยความมีไมตรีจิต
ไมตรีจิตที่มาในรูปแบบของซองสีแดงใส่เหรียญทองจำนวนไม่ใช่น้อย
แม้แต่แม่ทัพใหญ่โค้วจง ซึ่งเคยต้องเสียเงินให้หลินเป่ยเฉินมาแล้วถึงห้าล้านเหรียญ ก็ยังต้องส่งมอบซองแดงบรรจุเงินอีก 1,000 เหรียญทองคำเพื่อเป็นของขวัญให้แก่เด็กหนุ่มอีกด้วย
บัดนี้ ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีว่าคุณชายหลินชื่นชอบเงินขนาดไหน
นี่เรียกว่าการหว่านพืชหวังผล
ต่อให้ไม่สามารถตีสนิทหลินเป่ยเฉินได้จนเป็นคนใกล้ชิด แต่อย่างน้อย พวกเขาก็ถือว่ามีความสัมพันธ์อันดีงามต่อกัน ซึ่งในภายภาคหน้าอาจจะมีประโยชน์อย่างใหญ่หลวงก็เป็นได้
แน่นอนว่ารอยยิ้มไม่เคยจางหายไปจากใบหน้าของหลินเป่ยเฉิน
เขาจับไม้จับมือพลางพูดคุยกับเหล่าขุนนางและเศรษฐีใหญ่เหล่านี้เป็นอย่างดี
สุดท้าย แค่เงินของขวัญที่ได้จากซองแดงเหล่านี้ หลินเป่ยเฉินก็ได้เงินคืนมาแล้วเกือบหนึ่งล้านเหรียญ
เด็กหนุ่มมีความสุขยิ่งนัก
สมแล้วที่ขุนนางและเศรษฐีใหญ่เหล่านี้มาจากเขตตัวเมืองที่สามและที่สี่
ช่างร่ำรวยกันเสียจริง
ให้ตายเถอะ…
เขาหันไปเอาดีทางด้านเป็นจอมโจรปล้นคนรวยช่วยคนจนดีไหมเนี่ย?
“ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหลินด้วยนะขอรับ หุหุ”
ขันทีเฒ่าเดินเข้ามาประสานมือคำนับพร้อมกับส่งยิ้มประจบประแจง “รบกวนขอเวลาทุกท่านสักครู่ พอดีท่านเจ้าเมืองมีธุระเรื่องเก่าต้องหารือกับคุณชายหลินสักเล็กน้อย หวังว่าทุกท่านคงไม่ถือสา”
แน่นอนว่าในขณะนี้ ท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนกำลังยืนรออยู่ข้างรถม้าคันใหญ่ในจุดที่ห่างไกลออกไป
หลินเป่ยเฉินประสานมืออำลาแขกผู้ร่ำรวยทุกท่าน
“โอ้โห ขนาดท่านเจ้าเมืองยังต้องเป็นมิตรกับเขาเลยหรือนี่”
“เท่าที่พวกเรารับทราบมา ท่านเจ้าเมืองไม่เคยเป็นมิตรกับผู้ใดมาก่อนเลยนะ”
“แล้วท่านก็อย่าลืมสิว่าวันนี้เกาเฉิงฮั่นก็มาร่วมงานด้วยเช่นกัน”
ระหว่างที่จ้องมองแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินเดินขึ้นรถม้าหายลับไปจากสายตา กลุ่มขุนนางใหญ่และมหาเศรษฐีก็ยืนพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
นี่จะเรียกว่าเป็นปาฏิหาริย์อีกหนึ่งชนิดก็ว่าได้
เวลาเพียงเดือนเดียว เด็กหนุ่มสามารถได้รับความไว้วางใจจากคนใหญ่คนโตประจำนครเจาฮุยถึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
…
ในห้องโดยสารของรถม้าที่กำลังแล่นไปบนถนน
เหลียงหยวนเตากำลังนั่งแทะหัวหมูอย่างมูมมาม
คราบไขมันติดตามใบหน้า สองมือและลำตัวของเขาเป็นเงาวับ
“เหตุไฉนเจ้าถึงยังไม่ลงมืออีก?”
ชายอ้วนถามออกมาด้วยเสียงเรียบเฉย
หลินเป่ยเฉินยกนิ้วกลางขึ้นทำท่าดันแว่นแบบยอดนักสืบจิ๋วโคนัน “วันนี้ไม่เหมาะที่จะสังหารเกาเฉิงฮั่น มีผู้คนรวมตัวอยู่มากมายเกินไป และอาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับบาดเจ็บโดยไม่จำเป็น ยิ่งไปกว่านั้น เกาเฉิงฮั่นมีองครักษ์อยู่รอบกาย คงยากที่จะบุกเข้าไปลงมือต่อเขาได้”
“ความอดทนของข้ามีไม่มาก”
เหลียงหยวนเตาว่า “หนุ่มน้อย เจ้าคงต้องรีบเร่งมือสักหน่อยแล้ว”
พูดจบ ขันทีเฒ่าที่นั่งอยู่ด้านข้างก็ยื่นส่งกล่องสีทองมาให้
เมื่อหลินเป่ยเฉินเปิดออกดู กลิ่นคาวเลือดก็ลอยขึ้นมาเตะจมูกทันที
มีมือคนอยู่ในกล่องสีทอง
มือที่เปื้อนเลือดของคนผู้หนึ่ง
นี่คือมือของ ‘ไต้จือฉุน’
“ภายในสามวันหลังจากนี้ ข้าต้องได้เห็นศีรษะของเกาเฉิงฮั่น มิเช่นนั้น จะเป็นฝ่ายของเจ้าที่ได้เห็นศีรษะของไต้จือฉุน”
เหลียงหยวนเตากล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
หลังจากนิ่งงันไปเล็กน้อย หลินเป่ยเฉินก็ชักสีหน้าด้วยความโกรธแค้น “นี่เจ้า… ตัดมือท่านพี่ไต้มาแล้วหรือ ไหนเจ้าสัญญาว่าจะไม่ทำร้ายเขาเด็ดขาด…”
“ข้าอดทนรอให้เจ้าลงมือนานนับเดือน”
เหลียงหยวนเตาโยนหัวกะโหลกหมูสีขาวโพลนทิ้งไปอย่างไม่ไยดี ก่อนจะหันมามองหน้าหลินเป่ยเฉินและพูดว่า “แต่ที่สำคัญก็คือข้าเปลี่ยนใจแล้ว และข้าต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าสามารถทำให้เจ้ามีวันนี้ได้ ข้าก็สามารถทำลายเจ้าได้เช่นกัน และเจ้าอย่าเป็นห่วงแต่ความปลอดภัยของไต้จือฉุนเท่านั้นเลย ต่อจากนี้ไป เจ้าสมควรห่วงความปลอดภัยของผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านผู้อพยพจะดีกว่า เจ้าคิดหรือว่าตนเองจะสามารถดูแลปกป้องพวกเขาได้?”