ตอนที่ 727 จงตั้งใจทำงานให้ดี
“สามวันหลังจากนี้?”
เกาเฉิงฮั่นคำนวณเวลาอยู่ในใจ “ย่อมได้ ข้าจะไปให้ทันเวลา”
เมื่อพูดคุยรายละเอียดบางอย่างอีกเล็กน้อย พวกเขาก็ประสานมืออำลากัน
หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เดินไปหาตัวหวังจงและให้พ่อบ้านชรานำศิลาบันทึกภาพพิธีเปิดสถานศึกษาวันนี้ออกมาให้ดู เด็กหนุ่มให้ความสนใจเป็นพิเศษตอนที่มีลำแสงประทานพรทั้งสี่สายปรากฏขึ้น ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ช่วยยกระดับสถานศึกษาของเขาให้ได้รับความสนใจมากกว่าเดิม
นอกจากนี้ หลินเป่ยเฉินยังได้ภาพจากศิลาบันทึกภาพมาจากกลุ่มผู้ใช้ค่ายอาคมประจำเมืองเขตสาม ซึ่งเป็นพรรคพวกของเยว่หงเซียงบันทึกเอาไว้อีกด้วย
สามวัน
หลินเป่ยเฉินยังเหลือเวลาอีกสามวัน
ขอแค่เขารวบรวมศิษย์ให้ครบ 1,000 คน ภารกิจจากแอป Keep ก็จะสำเร็จลุล่วงด้วยดี เมื่อถึงตอนนั้น หลินเป่ยเฉินก็มีโอกาสสูงที่จะได้เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนตามความปรารถนา
“แต่ถ้าเราเกิดเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นเซียนไม่สำเร็จ ก็คงเหลือวิธีเดียวที่จะจัดการเหลียงหยวนเตาได้ คือต้องร่วมมือกับเกาเฉิงฮั่นเท่านั้น แต่เหลียงหยวนเตาเป็นผู้ว่าการมณฑลที่องค์จักรพรรดิแต่งตั้งมาด้วยตนเอง เราก็ยังแน่ใจไม่ได้หรอกว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือจริงๆ เกาเฉิงฮั่นจะเลือกอยู่ฝ่ายไหนกันแน่”
“ก็ได้แต่หวังว่าที่เกาเฉิงฮั่นรับปากออกมานั้นคงไม่ใช่คำลวงละนะ”
หลินเป่ยเฉินเกิดจิตสังหารอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาก็จะต้องสังหารเหลียงหยวนเตาให้จงได้
หากชายอ้วนผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่รอดต่อไป นอกจากจะกลายเป็นภัยคุกคามใหญ่หลวงต่อหลินเป่ยเฉินแล้ว ยังจะกลายเป็นภัยคุกคามต่อผู้อพยพจากเมืองหยุนเมิ่งทุกคนอีกด้วย
เมื่อกลับขึ้นไปถึงกระโจมที่พักบนยอดต้นสน หลินเป่ยเฉินก็เรียกให้ฉุยหมิงโหลวมาเข้าพบทันที
“การลงทะเบียนเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความกระตือรือร้น
“ในค่ายที่พักของเรามีศิษย์ที่เข้าเกณฑ์ 379 คน ส่วนการลงทะเบียนจากผู้ที่ไม่ได้อยู่ในค่ายของเรานั้น มีทั้งสิ้น 410 คน ดังนั้น จึงสรุปได้ว่าเรายังขาดลูกศิษย์ตามเป้าหมายอีก 211 คนขอรับ และไม่มีผู้คนจากพื้นที่เขตอื่นมาลงทะเบียนให้แก่บุตรหลานของตนเองเลยสักคนเดียว”
ฉุยหมิงโหลวมีสายเลือดนักบริหารเช่นเดียวกับบิดา เขาสามารถแจกแจงตัวเลขและรายละเอียดต่างๆ ได้อย่างครบถ้วน
ยังขาดอีก 211 คนใช่ไหม?
หลินเป่ยเฉินลองคำนวณดูในใจและรู้สึกว่าจำนวนนี้มากกว่าที่เขาคิดพอสมควรทีเดียว
“ในค่ายที่พักของเรายังมีเด็กที่เข้าเกณฑ์อีกจำนวนหนึ่งขอรับ แต่เหตุผลที่พวกเขาไม่ได้ลงทะเบียนนั้นมีอยู่สองสาเหตุหลัก หนึ่งคือครอบครัวของพวกเขายากจนเกินไป ไม่มีเงินแม้แต่เหรียญเดียวมาลงทะเบียนเข้าศึกษา สองคือบิดามารดามองว่าบุตรหลานของตนเองเล่าเรียนไปก็ไร้ประโยชน์ สู้นำตัวมาใช้แรงงานเพื่อรับค่าแรงเป็นโอสถเป่ยเฉินไม่ได้ขอรับ…”
ฉุยหมิงโหลวอธิบายทันทีเมื่อเห็นสีหน้าของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มอดพยักหน้าชื่นชมบุตรชายของท่านเจ้าเมืองฉุยเฮาเฟิงไม่ได้
ฉุยหมิงโหลวมีคุณสมบัติดีพอที่จะขึ้นเป็นผู้บริหารใหญ่ของค่ายผู้อพยพในอนาคต ถึงปัจจุบันนี้จะยังขาดประสบการณ์ในด้านงานบริหารอยู่ก็ตาม
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วใช้ความคิด
เขาต้องหาทางเปลี่ยนแปลงทัศนคติของผู้คนเหล่านี้ให้ได้
ผู้อพยพเหล่านี้คิดอย่างตื้นเขินมากเกินไป
“ออกประกาศไปว่านับตั้งแต่วันนี้ ไม่ว่าจะเป็นผู้คนในหมู่บ้านหยุนเมิ่ง หรือหมู่บ้านโดยรอบ หากครอบครัวใดมีบุตรหลานที่อยู่ในเกณฑ์สามารถเข้าศึกษาได้ แต่กลับไม่ยอมส่งตัวมารับการศึกษา บิดามารดาหรือผู้ปกครองของเด็กคนนั้นจะถูกตัดสิทธิ์การเช่าบ้านพักราคาถูกโดยทันที และพวกเขาก็จะไม่ได้เข้ามาทำงานในค่ายผู้อพยพแห่งนี้อีกต่อไป…”
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจใช้ไม้แข็ง
ฉุยหมิงโหลวก้มหน้าขมวดคิ้ว จดข้อความของหลินเป่ยเฉินลงบนสมุดและกล่าวว่า “แต่บางครอบครัวไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้จริงๆ นะขอรับ…”
หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัดเหมือนไม่ใช่เรื่องสำคัญ “ไม่เป็นไร ลงบัญชีของข้าไว้ก่อนก็ได้ เจ้าอย่าลืมออกประกาศด้วยว่าชาวเมืองที่อยู่ในพื้นที่เขตสอง ซึ่งมีครอบครัวยากจนไม่สามารถจ่ายค่าเล่าเรียนได้ ข้าจะให้บุตรหลานของพวกเขาได้รับการศึกษาด้วยทุนกู้ยืมไม่คิดดอกเบี้ย เอาไว้พวกเขาเรียนจบเมื่อไหร่ ค่อยให้หาเงินมาใช้คืนทีหลัง”
ฉุยหมิงโหลวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความประหลาดใจ
ทำไมเขาถึงคิดวิธีนี้ไม่ได้นะ?
ยิ่งไปกว่านั้น ดูเหมือนว่าคุณชายหลินคงเตรียมการเรื่องนี้มานานแล้ว จึงสามารถเสนอวิธีแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที
นี่คือวิธีการแก้ปัญหาที่สมบูรณ์แบบ
เมื่อมีเงินทุนกู้ยืมสำหรับการศึกษาโดยไม่คิดดอกเบี้ย การเล่าเรียนของลูกหลานผู้อพยพก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป และจำนวนลูกศิษย์ที่จะบรรจุเข้าในสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งก็ต้องเพิ่มมากขึ้นแน่นอน
แทบจะเรียกว่าเป็นความเมตตาจากฟ้าก็ว่าได้
ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้ชีวิตของครอบครัวผู้ยากจนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“แต่มีอีกอย่างหนึ่งที่ท่านต้องไปจัดการด้วยเช่นกัน”
หลินเป่ยเฉินกัดฟันกรอดด้วยสีหน้าดุดัน “การจะให้ทุนศิษย์แต่ละคน ท่านต้องตรวจสอบจนแน่ใจก่อนว่าพวกเขามาจากครอบครัวยากจนจริงๆ หากมีผู้ใดแอบอ้างอยากรับทุนกู้ยืมเพื่อเข้าศึกษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ครอบครัวของคนผู้นั้นจะต้องจ่ายค่าปรับเป็นค่าศึกษาที่สูงมากกว่าเดิมสองเท่า”
ฉุยหมิงโหลวชะงักกึก
“รับทราบขอรับ”
ฉุยหมิงโหลวรับคำพลางรีบจดลงในสมุด
หลังจากนั้น เขาก็กล่าวต่ออีกครั้ง “แต่ยังไม่มีผู้คนจากพื้นที่เขตสามและเขตสี่มาลงทะเบียนเลยขอรับ ถึงเราจะมีทุนการศึกษาให้กู้ยืม แต่พวกเขาก็คงไม่สนใจอยู่ดี”
หลินเป่ยเฉินชักสีหน้าด้วยความหงุดหงิดใจ “คิดไม่ถึงเลยนะว่าพวกเขาจะไม่ไหวหน้าข้าบ้างเลย”
ฉุยหมิงโหลวรีบอธิบายว่า “จะโทษพวกเขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูกขอรับ ถึงพิธีเปิดสถานศึกษาของเราจะสำเร็จลงด้วยดี แต่ปัญหาใหญ่ก็คือครอบครัวของขุนนางและมหาเศรษฐีเหล่านั้น ย่อมไม่ยอมปล่อยบุตรหลานของตนเองให้ลงมาแปดเปื้อนกับผู้อพยพเด็ดขาด และคุณชายต้องไม่ลืมว่าพื้นที่เขตสองของพวกเราอยู่ติดกับพื้นที่เขตหนึ่ง หากวันใดกำแพงเมืองของพื้นที่เขตหนึ่งถูกตีแตกขึ้นมา สถานศึกษาของพวกเราก็จะต้องพบเจอกับกองทัพชาวทะเลเป็นแห่งแรกๆ ดังนั้น พวกเขาคงไม่ยอมปล่อยบุตรหลานของตนเองให้มาเสี่ยงอันตรายที่นี่โดยง่ายหรอกขอรับ”
“ปัญหานี้แก้ไขได้ง่ายจะตาย”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ในเมื่อไม่ยอมปล่อยมาอย่างสมัครใจ เราก็แค่ต้องบังคับให้พวกเขาส่งบุตรหลานมาเรียนเท่านั้น”
ฉุยหมิงโหลวเบิกตาโตด้วยความไม่อยากเชื่อ
คุณชายหลินจะบังคับผู้อื่นให้ส่งบุตรหลานของตนเองมาเรียนในสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งอย่างนั้นหรือ?
หลินเป่ยเฉินอธิบายต่อ “สถานศึกษาของเราเป็นสถาบันระดับสูง การที่พวกเขามาเรียนที่นี่ ก็ถือเป็นผลดีต่อตัวพวกเขาเองด้วยซ้ำ หากไม่คิดลงทะเบียนตอนนี้ มาลงทะเบียนตอนหลังก็ไม่ทันการณ์แล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงต้องบังคับให้พวกเขาลงทะเบียนให้ทันเวลาก่อนเท่านั้น…”
พูดมาถึงตรงนี้ หลินเป่ยเฉินก็นำรายชื่อสีแดงที่เตรียมไว้ก่อนหน้าออกมากางดู “ท่านไปสั่งให้เฉียนเหมยพร้อมด้วยอากวง นำหน่วยทหารคนงานขุดเหมืองและพวกของเสี่ยวเย่เดินทางเข้าไปในพื้นที่เขตสามและเขตสี่ จงไปเคาะประตูตามรายชื่อผู้คนในกระดาษแผ่นนี้ หากผู้ใดปฏิเสธไม่ยอมส่งบุตรหลานมาเข้าเรียน ก็บอกพวกเขาไปว่าให้ระวังความโกรธแค้นของข้าเอาไว้ให้ดีๆ…”
ฉุยหมิงโหลวรับรายชื่อสีแดงไปดูและถามออกมาโดยไม่รู้ตัว “ทำไมรายชื่อนี้ถึงดูคุ้นตาจังเลยขอรับ?”
“ท่านต้องคุ้นตาอยู่แล้ว”
หลินเป่ยเฉินตอบเสียงเรียบ “มันเป็นรายชื่อของเหล่าขุนนางใหญ่และมหาเศรษฐีที่มอบเงินของขวัญให้ข้าหลังจบพิธีเปิดสถานศึกษาวันนี้ไงล่ะ”
ฉุยหมิงโหลวได้แต่กะพริบตาปริบๆ
คุณชายหลิน แบบนี้ไม่ไร้ยางอายไปหน่อยหรือ?
ท่านทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน
คนพวกนั้นอุตส่าห์ทำดีต่อท่าน ให้เงินของขวัญเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างมิตรภาพ แต่อยู่ดีๆ คุณชายหลินกลับสั่งให้ผู้คนไปจับตัวบุตรหลานของพวกเขามาเข้าเรียนในสถานศึกษาของตนเอง นี่คือการกระทำของคนเสียสติอย่างแท้จริง
“รับทราบขอรับ”
ฉุยหมิงโหลวได้แต่พยักหน้ารับคำสั่ง “ข้าน้อยจะไปดำเนินการเดี๋ยวนี้”
หลินเป่ยเฉินไม่ลืมกำชับว่า “อย่าลืมว่าพวกท่านต้องปล่อยให้เฉียนเหมยอาละวาดก่อนสักหน่อย เมื่อพวกเขาเห็นความบ้าเลือดของนางแล้ว ก็คงไม่กล้าเล่นลวดลายลีลาอีกต่อไป ข้าอนุญาตให้พวกท่านสามารถทุบตีบ่าวรับใช้ของพวกเขาได้เต็มที่ แต่อย่าแตะต้องพวกขุนนางหรือมหาเศรษฐีเด็ดขาด อย่างไรเราก็ต้องไว้หน้าพวกเขาบ้าง”
ฉุยหมิงโหลวปากกระตุก เกือบจะพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
“รับทราบขอรับ”
บุตรชายของฉุยเฮาเฟิงทำได้เพียงรับคำเท่านั้น
เขายังจะสามารถพูดอะไรได้อีกหรือ?
อีกอย่าง คุณชายหลินไม่เคยทำเรื่องราวตามวิถีที่คนปกติธรรมดาทำกันอยู่แล้ว
ฉุยหมิงโหลวคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ท่านมีเรื่องอื่นใดอีกหรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายถามออกมาบ้าง
ฉุยหมิงโหลวเปิดสมุดบันทึกและกวาดสายตาอ่านข้อมูลบางอย่าง
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความสงสัยว่า “เอ๊ะ ทำไมสมุดบันทึกเล่มนี้ถึงดูคุ้นๆ จริง”
“อ้อ มันเป็นสมุดของเถียนเถียน ผู้ช่วยของข้าน้อยเองขอรับ”
ฉุยหมิงโหลวตอบกลับเสียงเรียบ “เขาบันทึกรายละเอียดเรื่องการทำงานทุกอย่างลงในสมุดเล่มนี้”
“เถียนเถียน… สาวกผู้ซื่อสัตย์ของข้าคนนั้นเองสินะ ฝากไปบอกเขาด้วยว่าข้าชื่นชมเขาเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินกล่าวด้วยความพอใจ
ฉุยหมิงโหลวผงกศีรษะรับคำและตอบว่า “เถียนเถียนได้สั่งให้คนงานคัดลอกเนื้อหาสมุดบันทึกเล่มนี้เอาไว้เป็นสองชุด ชุดแรกจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานทุกอย่างในค่ายที่พักของพวกเรา ส่วนชุดที่สองจะเป็นบันทึกคำคมจากคุณชายหลิน เพื่อเอาไว้ให้กลุ่มคนงานได้พัฒนาตนเอง เถียนเถียนเรียกสมุดบันทึกส่วนที่สองนิ้ว่า ‘คัมภีร์บัญญัติเทพเจ้า’ และเขายังได้ทำสำเนาแจกจ่ายให้แก่ผู้คนที่อยู่นอกค่ายของเราอีกด้วยขอรับ…”
“ฮื่อ นับเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
หลินเป่ยเฉินปรบมือด้วยความชอบใจ “นี่เป็นเพราะว่าข้าช่วยเหลือผู้มีพรสวรรค์เช่นนี้ออกมาจากเมืองหยุนเมิ่งแท้ๆ”
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็กล่าวต่อด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “คุณชายฉุย ท่านต้องตั้งใจทำงานให้ดี มิฉะนั้นแล้ว ท่านอาจจะถูกเถียนเถียนแย่งตำแหน่งก็เป็นได้ อะฮิอะฮิ”
ฉุยหมิงโหลวถึงกับพูดอะไรไม่ออก
บางครั้ง คุณชายหลินก็มีพฤติการณ์ของผู้ที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้มากมายนับครั้งไม่ถ้วน
แต่บางครั้งก็จะปฏิบัติตัวเป็นบุคคลสมองเสื่อม…
บุคคลสมองเสื่อมที่ไม่น่าให้อภัยนัก
ฉุยหมิงโหลวเสแสร้งแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน หลังจากอ่านข้อมูลบนหน้ากระดาษแล้ว เขาก็รายงานว่า “ตามข้อมูลที่เถียนเถียนได้บันทึกไว้ ในเวลาเพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา สัมปทานแผงขายอาหารทะเลได้รับการจับจองหมดแล้วขอรับ ส่วนใหญ่ผู้ที่มาเช่าแผงขายนั้นจะเป็นคนของตระกูลใหญ่จากเขตพื้นที่สี่ เมื่อพวกเขาได้ยินว่าจะมีการเปิดตลาดอาหารทะเล ทุกคนก็รีบเสนอตัวเข้ามาจับจองทันที… คำนวณได้ว่าพวกเราน่าจะได้รับค่าเช่าเดือนละกว่าหนึ่งแสนเหรียญทองคำขอรับ…”
“นับเป็นเรื่องที่ดีงามนัก”
หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาวเป็นประกายสว่างสดใส “แต่เราควรให้สิทธิพิเศษกับพ่อค้าชาวเมืองหยุนเมิ่งก่อนเป็นลำดับแรก อย่างเช่นพวกของเจาโจวหยานและบุตรชายจากหอการค้าสามพันโยชน์ ส่วนราคาค่าเช่าของพวกเขานั้น ท่านสามารถกำหนดเองได้ตามสบาย”
“กำไรที่เราได้จากการค้าอาหารทะเลเหล่านี้จะแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ส่วนแรกหักเข้าบัญชีของข้า ส่วนที่สองหักเป็นทุนกู้ยืมสำหรับการศึกษา ส่วนที่สามส่งมอบเป็นเงินกองกลางของผู้อพยพ และส่วนสุดท้าย ให้เก็บเอาไว้เป็นค่าบำรุงรักษาโรงจำหน่ายอาหารทะเลโดยเฉพาะ…”
ฉุยหมิงโหลวพยักหน้ารับคำสั่ง “รับทราบขอรับ”
เขาเองก็คิดเอาไว้แล้วเช่นกัน
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา ฉุยหมิงโหลวก็นึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ จริงด้วยสิขอรับ ก่อนหน้านี้คุณชายรองก็เข้ามาโวยวายว่าอยากได้รับส่วนแบ่งด้วยเช่นกัน…”
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “ข้ากับเขาเป็นพี่น้องร่วมสาบาน เงินของเขาก็คือเงินของข้า บอกเขาไปว่าเงินส่วนแบ่งของเขา เดี๋ยวข้าจะเก็บไว้ให้เอง”
ฉุยหมิงโหลวรับคำด้วยความเยือกเย็นสุขุม “รับทราบขอรับ”
นี่ก็เป็นคำตอบที่เขาคิดเอาไว้แล้วเช่นเดียวกัน
ฉุยหมิงโหลวรู้สึกว่าตนเองรู้จักคุณชายหลินมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
หลังจากนั้น ชายหนุ่มก็รายงานยอดขายและรายได้ทั้งหมดที่มาจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากโรงหลอมโอสถ รายได้จากโรงจำหน่ายอาหาร รายได้จากค่าเช่าแผงลอยซึ่งตั้งอยู่รอบสถานศึกษา รวมไปถึงรายได้จากบ้านเช่าราคาถูก ซึ่งเมื่อนำยอดทุกอย่างมารวมกันแล้ว ก็ยังไม่ใช่จำนวนเงินที่มากมายสักเท่าไหร่
“ท่านไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก ของอย่างนี้ต้องใช้เวลา”
หลินเป่ยเฉินยิ้มแย้มอย่างอารมณ์ดี “สักวันหนึ่ง เมล็ดพันธุ์ที่พวกเราหว่านโปรยลงไป ก็จะเจริญเติบโตงอกงามขึ้นมา กลายเป็นพืชผลให้พวกเรารับประทาน ไม่สิ ต้องบอกว่าพวกมันจะกลายเป็นศิลาบูชาให้พวกเราดูดซับพลังต่างหาก”
สำหรับผู้คนที่มองทุกอย่างด้วยสายตาอันตื้นเขิน ย่อมไม่เข้าใจเลยว่าสถานศึกษาของหลินเป่ยเฉินจะสร้างความเปลี่ยนแปลงได้อย่างไรบ้าง
เมื่อรับทราบคำสั่งเรียบร้อย ฉุยหมิงโหลวก็หมุนตัวเดินจากมา