ตอนที่ 731 ข่มขู่เพื่อนร่วมเมือง
เมื่อเห็นอาการของบุตรชายหัวแก้วหัวแหวน เฉียนซื่อก็ไม่รู้เลยว่าตนเองควรดีใจหรือเศร้าใจมากกว่ากัน
ชั่วขณะหนึ่ง ชายชราเผลอคิดว่าบุตรชายของตนเองถูกหลินเป่ยเฉินล้างสมองไปหมดแล้ว
แต่เมื่อมองร่างกายที่กำยำผิดหูผิดตาของเฉียนซานเซิ่ง ผู้เป็นบิดาก็พูดอะไรไม่ออก
นี่หมายความว่าบุตรชายของเขาไม่ได้ถูกทรมานอยู่ในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่ง แต่กลับถูกส่งออกไปปกป้องกำแพงเมืองในฐานะชายชาติทหารคนหนึ่งต่างหาก
“ลูกรัก… สนามรบเป็นสถานที่อันตรายจะตาย”
เฉียนซื่อใช้ความคิดเล็กน้อย ก็พยายามพูดโน้มน้าวว่า “เจ้ากลับมาทำงานเอกสารเหมือนเดิมไม่ดีกว่าหรือ?”
“ท่านพ่อพูดช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
เฉียนซานเซิ่งแสดงสีหน้าผิดหวังออกมาอย่างชัดเจน “ข้าสมัครใจลงสู่สนามรบด้วยตนเอง ท่านพ่อไม่เคยรู้เลยว่าใจจริงนั้นข้าอยากเป็นทหารมากขนาดไหน และท่านก็เป็นฝ่ายบังคับข้าให้เอาแต่ทำงานเอกสาร ท่านพ่อรู้หรือไม่ว่าข้าอึดอัดมากแค่ไหน บัดนี้เป็นคุณชายหลินเห็นคุณค่าในตัวข้า เขาค้นพบพรสวรรค์ที่แท้จริงของข้า และเป็นผู้ที่ทำให้ความฝันของข้ากลายเป็นจริง ท่านพ่อไม่คิดภูมิใจในตัวข้าบ้างเลยหรือ?”
เฉียนซื่อมองหน้าบุตรชายด้วยแววตาว่างเปล่า พูดอะไรไม่ออก
เฉียนซานเซิ่งกล่าวออกมาอีกครั้ง “โบราณกล่าวไว้ว่าลูกไม้ย่อมหล่นไม่ไกลต้น แต่ท่านพ่อได้โปรดพิจารณาตนเองดูเถิดว่า ท่านสมควรเรียกตนเองว่าเป็นบิดาของข้าหรือไม่”
เฉียนซื่อยังคงนิ่งเงียบ
แต่ในใจจริงก็รู้ดีอยู่ว่าบุตรชายกล่าวได้ถูกต้อง
ถึงกระนั้น เฉียนซื่อก็ยังเป็นห่วงอยู่ดีว่าหากบุตรชายของเขายังทำหน้าที่ปกป้องกำแพงเมืองต่อไป สักวันหนึ่ง เฉียนซานเซิ่งก็คงมีสภาพกลายเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ในสนามรบนั่นเอง
“เลิกเสียเวลาสักที ในเมื่อไม่ได้ก็คือไม่ได้ พวกเรารีบไปกันเถอะ ยังเหลือเกือบร้อยครอบครัวให้ไปแจ้งเตือนอีกนะ”
เฉียนเหมยที่อยู่ด้านข้างส่งเสียงพูดด้วยความรำคาญใจ
เฉียนซานเซิ่งตัวสั่นเทาขึ้นมาทันที เหมือนได้ยินประโยคที่น่าสยองขวัญก็ไม่ปาน เขารีบพูดว่า “ท่านพ่อได้โปรดอย่าลังเลอีกเลย รีบตัดสินใจเถิดว่าจะให้น้องสาวของข้าเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งหรือไม่?”
“ข้าไม่ส่งพวกนางไปได้หรือไม่?”
เฉียนซื่อกลืนน้ำลายและพยายามถามด้วยเสียงแหบแห้ง
ถึงชายชราจะอยากมีลูกชายไว้สืบสกุล แต่บรรดาบุตรสาวก็คือชีวิตจิตใจของเขาเช่นกัน ดังนั้น เฉียนซื่อจึงไม่อยากส่งพวกนางไปอยู่ในสถานที่อันตรายเด็ดขาด
“ท่านพ่อยังไม่เข้าใจอีกหรือ”
เฉียนซานเซิ่งชักสีหน้าด้วยความ ‘รำคาญ’ และพูดว่า “หากท่านพ่อยังลังเลอยู่เช่นนี้ ข้าก็คงช่วยอะไรท่านไม่ได้อีกแล้ว”
“เจ้าลูกทรพี…”
เฉียนซื่อกัดฟันกรอดด้วยความขุ่นเคือง…
พลัน เฉียนซานเซิ่งหันกลับไปประสานมือคำนับแม่ทัพหนุ่มหน้าหวานเฉียนเหมยด้วยความนอบน้อม ก่อนกล่าวว่า “กราบเรียนท่านแม่ทัพ บิดาของข้าตัดสินใจแล้วว่าจะส่งบุตรสาวตระกูลเฉียนมาเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งขอรับ รบกวนขอใบลงทะเบียนสามชุดด้วยขอรับ”
เฉียนเหมยพยักหน้าด้วยความพอใจ “ประเสริฐ นับว่าเจ้าเปลี่ยนแปลงเป็นคนใหม่แล้วจริงๆ …พวกเรา ส่งมอบใบลงทะเบียนสามชุด”
เสี่ยวเย่ที่ยืนรอรับคำสั่งอย่างงงๆ อยู่ด้านข้าง รีบนำใบลงทะเบียนสามชุดออกมาส่งมอบให้แก่เฉียนซานเซิ่ง
เสี่ยวเย่ไม่เข้าใจเลยว่าตนเองมาทำอะไรที่นี่
ตอนแรกเขาเพียงได้รับคำสั่งให้พานายทหารเดินทางเข้าเมือง โดยที่ไม่มีผู้ใดแจ้งภารกิจสักคนว่าเข้าเมืองมาเพื่อทำอะไรกันแน่
บัดนี้ กลายเป็นว่าพวกเขามีหน้าที่ส่งมอบ ‘ใบลงทะเบียน’ เพียงอย่างเดียวเท่านั้นหรือ?
ดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดปกติ
ดูเหมือนพวกเขาจะถูกหลอกใช้เสียแล้วสิ
เฉียนซานเซิ่งลงนามในใบลงทะเบียนและทำเรื่องบรรจุน้องสาวเข้าเป็นลูกศิษย์ใหม่ของสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งเรียบร้อย หลังจากนั้น เขาก็หันกลับไปโยนใบลงทะเบียนใส่หน้าบิดา
“ท่านพ่อ ท่านยังคงมีความคิดตื้นเขินมากเกินไป ข้าขอแนะนำให้ท่านเปิดตาเปิดใจมากกว่านี้ โชคดีที่ข้ายังอยู่ที่นี่ น้องๆ ของข้าจึงมีโอกาสเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่ง และจะได้รับการถ่ายทอดความรู้จากเทพบุตรอย่างคุณชายหลิน นี่ถือเป็นบุญวาสนาของตระกูลเฉียนแล้ว หากท่านยังไม่รีบเปลี่ยนทัศนคติเสียใหม่… ข้าคงต้องขอปลดท่านออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูล”
เฉียนซื่อพูดอะไรไม่ออก
เฉียนซานเซิ่งถึงกับจะปลดเขาออกจากตำแหน่งหัวหน้าตระกูลเชียวหรือ?
ชายชราก้มลงหยิบใบลงทะเบียนขึ้นมาถือด้วยมือที่สั่นเทา จังหวะนั้น หูก็ได้ยินบุตรชายกล่าวเสริมว่า “ก่อนมืดวันนี้ น้องๆ ของข้าต้องถูกส่งตัวไปถึงสถานศึกษาแล้ว มิเช่นนั้น ข้าจะทำให้ท่านต้องเสียใจไปตลอดชีวิต”
พูดจบ เฉียนซานเซิ่งก็นำขบวนนายทหารเดินจากไป
ต้องใช้เวลาอีกอึดใจใหญ่ทีเดียว กว่าที่ชายชราจะตั้งสติกลับคืนมาได้
เฉียนซานเซิ่งจะทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างนั้นหรือ?
หมายความว่าอย่างไรกัน?
ทันใดนั้น เฉียนซื่อก็เข้าใจแล้วว่าบุตรชายข่มขู่คิดกระทำการอัตวินิบาตกรรมนั่นเอง
“เจ้าลูกคนนี้…”
ชายชราใบหน้ากระตุกด้วยความโกรธแค้น
เหล่าผู้คุ้มกันและคนรับใช้ต่างก็วิ่งเข้ามาห้อมล้อมเฉียนซื่อและสอบถามด้วยความตื่นตระหนก “ใต้เท้าขอรับ พวกเราจะทำอย่างไรดี? หรือว่าพวกเราต้องส่งคุณหนูทั้งสามท่านไปอยู่ในค่ายผู้อพยพสกปรกนั่นจริงๆ?”
เฉียนซื่อกัดฟันกรอด “ส่งตัวพวกนางไปซะ”
ถ้าเขาไม่ส่งไป เฉียนซานเซิ่งก็จะฆ่าตัวตาย
และเมื่อชายชราตั้งสติได้อีกครั้ง เขาก็พอจะนึกออกแล้วว่าในเมื่อบุตรชายของตนเองเป็นสมาชิกคนสำคัญในค่ายที่พักของหลินเป่ยเฉิน นั่นก็หมายความว่าเฉียนซานเซิ่งคงมีคนนับหน้าถือตาอยู่ไม่น้อย
ดังนั้น ชายหนุ่มก็คงไม่ปล่อยให้เหล่าน้องสาวทั้งสามคนต้องพบเจอกับความยากลำบากสักเท่าไหร่
บางทีนี่อาจเป็นโอกาสอันดีงามก็ได้
อย่างน้อยก็เป็นห้วงเวลาที่เฉียนซานเซิ่งจะได้พัฒนาตนเองอย่างสุดความสามารถ
เมื่อได้รับการมอบหมายงานจากผู้เป็นหัวหน้าตระกูล พ่อบ้านเฒ่าก็ออกคำสั่งให้ผู้คนจัดเตรียมรถม้าสำหรับคุณหนูทั้งสามทันที
ส่วนหัวหน้าผู้คุ้มกันร่างใหญ่ก็ได้รับคำสั่งจากเฉียนซื่อว่า
“เจ้าติดตามคุณชายใหญ่ไปดูซิว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง…”
หัวหน้าผู้คุ้มกันรีบตามติดกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองไปทันที
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป
บรรดาคนรับใช้ประจำตระกูลเฉียนก็กำลังเตรียมข้าวของเครื่องใช้และสิ่งของอำนวยความสะดวกทั้งหมดขึ้นรถม้าสามคันใหญ่ ซึ่งรถม้าเหล่านี้เป็นรถม้าประจำตัวคุณหนูทั้งสามท่าน เด็กสาวทั้งสามคนต่างพากันร้องไห้ราวกับจะขาดใจ หากมีผู้ใดไม่รู้เรื่องราวมาพบเห็นเข้า ก็อาจเข้าใจผิดคิดได้ว่าหัวหน้าตระกูลเฉียนกำลังจะส่งตัวบุตรสาวของตนเองไปขายให้แก่หอนางโลมอย่างไรอย่างนั้น
มีชาวบ้านมามุงดูด้วยความสนใจมากมาย
เฉียนซื่อดุลูกสาวทั้งสามอยู่หลายรอบ ก่อนจะสั่งให้พ่อบ้านประจำตระกูลนำตัวพวกนางขึ้นรถม้าไปส่งสถานศึกษา
“ใต้เท้าจะส่งคุณหนูทั้งสามไปที่นั่นจริงๆ หรือขอรับ?”
พ่อบ้านเฒ่าสอบถามด้วยความลังเล
เฉียนซื่อกัดฟันกรอดด้วยความเจ็บใจ “ข้าไม่มีทางเลือก หลินเป่ยเฉินผู้นี้เป็นตัวชั่วร้ายที่นรกส่งมาเกิด แม้แต่หน้าของมันข้าก็ทนเห็นไม่ได้แล้ว เจ้าจำคำพูดของข้าไว้เลยนะ ตราบใดที่ข้ามีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่มีทางไปพบหน้าหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด…”
เสียงพูดยังไม่ทันขาดหาย
“ใต้เท้าขอรับ”
หัวหน้าผู้คุ้มกันที่ติดตามบรรดานายทหารคนงานขุดเหมืองไปเมื่อสักครู่ ส่งเสียงตะโกนพร้อมกับใช้วิชาตัวเบาทิ้งตัวลงมาอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นเจ้านาย “ท่าไม่ดีแล้วขอรับใต้เท้า พวกเรารีบหลบหนีกันก่อนดีกว่าขอรับ…”
เฉียนซื่อตอบกลับไปน้ำเสียงแข็งกระด้าง “ตัวโง่งมบัดซบ เจ้าจะตะโกนทำไม… เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ไหนค่อยๆ พูดออกมา”
หัวหน้าผู้คุ้มกันคุกเข่าลงหอบหายใจและรายงานว่า “ใต้เท้าขอรับ… บัดนี้ คุณชายใหญ่ได้นำกลุ่มคนของหลินเป่ยเฉินบุกค้นตามบ้านเรือนผู้คนซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่เขตสาม และบีบบังคับให้ทุกคนลงทะเบียนส่งตัวลูกหลานของตนเองเข้าเรียนที่สถานศึกษาในค่ายผู้อพยพ แม้แต่จวนที่พักของแม่ทัพโค้วก็ไม่มีข้อยกเว้น ท่านแม่ทัพโค้วต้องจำใจส่งบุตรชายทั้งสองคนเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งแล้วขอรับ…”
“ว่าอย่างไรนะ?”
เฉียนซื่อรู้สึกเหมือนตนเองจะเป็นลม “เจ้าลูกทรพีนั่น…”
นี่คือหายนะแท้ๆ
หัวหน้าผู้คุ้มกันสูดหายใจลึก และรายงานต่อ “แต่ที่สำคัญก็คือบุตรชายเพียงคนเดียวของท่านแม่ทัพกงซุนไป๋ รวมถึงบุตรชายคนสำคัญของตระกูลฉู่ และคุณชายหกผู้เป็นบุตรชายของท่านประมุขแห่งสมาคมผู้ใช้ค่ายอาคม… ล้วนแต่ถูกคุณชายใหญ่ของเรา บังคับให้เข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งทั้งสิ้น…”
“ขณะนี้จึงมีหลายตระกูลโกรธแค้นหลินเป่ยเฉินเป็นอย่างมาก แต่พวกเขาไม่สามารถเอาเรื่องเด็กหนุ่มผู้นี้ได้ จึงลงมติเป็นเอกฉันท์ หันมาเอาเรื่องใต้เท้าแทนขอรับ ข้าน้อยจึงรีบมาที่นี่ในระหว่างที่กลุ่มคนเหล่านั้นร่วมประชุมกันอยู่ที่จวนของแม่ทัพโค้ว คาดว่าอีกไม่นาน พวกเขาและเหล่าผู้คุ้มกันอาวุธครบมือคงมาถึงที่นี่เป็นแน่แท้ พวกเรารีบหนีกันก่อนดีกว่าขอรับ…”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
เฉียนซื่อชะงักไปด้วยความเหลือเชื่อ
จบสิ้นกัน
จะมีอะไรเลวร้ายไปมากกว่านี้อีกหรือไม่?
เขาจะหาทางออกอย่างไรดี
เพียงคิดถึงเหล่าบริวารของแม่ทัพโค้วจง เฉียนซื่อก็รู้แล้วว่ากลุ่มคนของตนเองไม่มีทางสู้ได้แน่นอน
เอาล่ะสิ
สงสัยต้องหาสถานที่หลบภัยเสียแล้ว
แต่จะไปหลบที่ไหนล่ะ?