ตอนที่ 734 บุกป้อมนรก
อู๋หงค่อยๆ หันกลับไปมองด้วยความเหลือเชื่อ
ดวงตาของนางมีเลือดคั่งเป็นสีแดงก่ำ
แสงตะวันยามเย็นของฤดูหนาวริบหรี่ลงแล้ว แต่หญิงสาวกลับรู้สึกว่ามันสว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งขี่เสือบินได้เหาะผ่านประตูเมืองเข้ามา
แสงตะวันที่สาดส่องไปบนร่างกายของเขา ทำให้เด็กหนุ่มสง่างามไม่ต่างไปจากเทพเจ้า
อู๋หงมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน
แต่นางกลับเกิดความรู้สึกว่าเด็กหนุ่มผู้ขี่อยู่บนหลังเสือมีปีกคนนี้กำลังยิ้มแย้มก็จริง ทว่าแววตาของเขาดูโกรธแค้นเป็นที่สุด
เขากำลังส่งยิ้มให้นางใช่หรือไม่?
ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องเหนือจริงไปทั้งหมด
ไม่ต่างไปจากความฝันก่อนความตายมาเยือน
อู๋หงถอนหายใจ
นางคงเห็นภาพหลอนไปเองสินะ?
เพราะนางเคยผิดหวังมาแล้วหลายครั้ง อู๋หงไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเด็กหนุ่มผู้นั้นจะมาจริงๆ ในครั้งนี้
จนกระทั่งได้ยินเสียงที่คุ้นหูดังขึ้นอีกครั้ง “ท่านพี่อู๋หงในที่สุดเราก็ได้เจอกันสักที”
อู๋หงสะดุ้งเฮือก
ครั้งนี้ หญิงสาวพยายามลืมตาที่หรี่ปิดลงของตนเองขึ้นมาอีกครั้ง
นี่ไม่ใช่ภาพมายา
“เจ้าเป็นใคร?”
คนจากป้อมอสรพิษคำรามลั่น “กล้าดีอย่างไรถึงมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของป้อมอะสอ…”
พูดยังไม่ทันจบประโยค
ลำแสงสายหนึ่งก็พุ่งทะลวงใต้ตาของชายฉกรรจ์ผู้นั้น และท้ายทอยของเขาก็มีเลือดสาดกระจายราวน้ำพุ
หลังจากม่านหมอกเลือดสาดกระจาย หัวทั้งหัวก็หายไปแล้ว
ศพไร้ศีรษะชักกระตุก ก่อนที่จะล้มลงไปบนพื้นดินภายใต้แสงอาทิตย์ยามเย็น
ได้ยินเสียงร่างไร้วิญญาณกระแทกพื้นดังตุบ
“ป้อมอสรพิษอย่างนั้นหรือ?”
เสียงที่แข็งกระด้างของเด็กหนุ่มดังขึ้นอีกครั้ง
“เมื่ออยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มที่หล่อเหลาที่สุดในนครเจาฮุย ป้อมผีสางของพวกเจ้ายังจะมีค่าอันใดอีก”
…
หลินเป่ยเฉินขี่หลังเจ้าลูกเสือผ่านประตูเมืองเขตสามเข้ามาพบเห็นชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งกำลังรุมทำร้ายใครบางคน ใบหน้าเจ้าของร่างกำยำที่ล้มลงไปนอนกองอยู่บนพื้นบวมปูด มองแทบไม่ออกเลยว่าเคยเป็นผู้ใดมาก่อน แต่เมื่อลองพิจารณาดูให้ดี เด็กหนุ่มกลับรู้สึกคุ้นหน้าขึ้นมาอย่างประหลาด
ดังนั้น เขาจึงขี่เจ้าลูกเสือเข้าไปใกล้ๆ
ให้ตายเถอะ
นั่นมันอู๋หงนี่นา
ตอนที่ไปฝึกพิเศษในหุบเขาชายแดนเหนือ หลินเป่ยเฉินเคยพบเจอพวกของอู๋หงและสำนักล่าอสูรกุหลาบไฟของนาง ซึ่งสมาชิกทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นสตรีทั้งสิ้น
หลินเป่ยเฉินหรี่ตามองอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ที่กำลังถูกทำร้ายอยู่นี้ คืออู๋หงจริงๆ หรือไม่?
แน่นอนว่าเมื่อเห็นใบหน้าของนางถนัดชัดตา เขาก็มั่นใจว่านี่ต้องเป็นอู๋หงแน่นอน
ดังนั้น จังหวะที่คนของป้อมอสรพิษกำลังจะจิกหัวนางขึ้นมาทำร้ายทุบตี หลินเป่ยเฉินจึงยกปืนอินทรีหิมะซึ่งติดที่เก็บเสียงยิงแขนของชายคนนั้นทิ้งไป
ใครจะไปคิดเลยว่าคนของป้อมอสรพิษไม่รู้จักเขา หลินเป่ยเฉินจึงรู้สึกหงุดหงิดใจเป็นอย่างยิ่ง ก็เลยจัดการระเบิดสมองพวกมันไปอีกหนึ่งคน ก่อนออกคำสั่งว่า “จับกุมพวกมันให้หมด ใครขัดขืน ฆ่าทิ้งได้ไม่ต้องลังเล…”
เสียงพูดของเด็กหนุ่มยังไม่ทันขาดคำ
เฉียนเหมยก็พุ่งตัวออกไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าฟาด
หลินเป่ยเฉินต้องรีบยกมือป้องปากตะโกนตามหลังไปว่า “อย่าลืมเหลือพวกมันเอาไว้สอบปากคำด้วยล่ะ…”
จังหวะนี้ เฉียนเหมยก็จัดการคนของป้อมอสรพิษล้มลงไปนอนแน่นิ่งได้กว่าเจ็ดคนแล้ว
ชายหนุ่มผู้หนึ่งนามว่าฉิวหลิงไม่ต้องรอให้หลินเป่ยเฉินออกคำสั่ง เขาก็พุ่งตรงเข้าไปช่วยเหลืออู๋หงออกมาทันที สมกับที่เคยเป็นหนึ่งใน 12 ยอดฝีมือประจำเมืองหยุนเมิ่ง
ที่ด้านหลัง
โจวฉุยหวูซวงผู้เป็นศิษย์เอกของอานมู่ซี และเคยเป็นผู้เข้าแข่งขันรอบ 10 คนสุดท้ายในการค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมืองหยุนเมิ่ง ก็เริ่มรักษาอาการบาดเจ็บของอู๋หงอย่างรวดเร็ว
กระบวนการทั้งหมดนี้ดำเนินไปโดยที่หลินเป่ยเฉินไม่ต้องออกคำสั่งสักคำ
นับว่าทุกคนเข้าใจหน้าที่ของตนเองดีเยี่ยม
หลินเป่ยเฉินหันหน้าไปชำเลืองมองเสี่ยวเย่ซึ่งกำลังยืนตกตะลึงอยู่ด้านข้าง ก่อนที่เขาจะยิ้มและกล่าวว่า “พี่เสี่ยว ท่านก็เห็นใช่หรือไม่ว่าพวกมันเป็นฝ่ายรังแกคนของข้าก่อน? พวกมันจึงสมควรตายแล้วไม่ใช่หรือ?”
“เรื่องนี้…”
เสี่ยวเย่อยากจะกระโดดเข้าไปขย้ำหัวหลินเป่ยเฉินนัก
ก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกหลอกให้มาทำหน้าที่เป็นผู้ส่งใบลงทะเบียนสถานศึกษายังไม่เท่าไหร่ แต่เย็นวันนี้ พ่อบ้านหวังจงไปแจ้งต่อเสี่ยวเย่ว่าหลินเป่ยเฉินจะพากลุ่มนายทหารเข้าเมืองเพื่อมาดื่มกินรับประทานอาหารในโรงเตี๊ยมหรู แล้วเหตุไฉนถึงกับกลายเป็นการร่วมรู้เห็นเหตุฆาตกรรมไปเสียได้?
ทำไมพวกของหลินเป่ยเฉินต้องฆ่ากลุ่มคนเหล่านี้ด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อดูเครื่องแบบการแต่งกายและรับฟังคำพูดของชายฉกรรจ์เหล่านี้แล้ว ก็ปรากฏว่าพวกเขาเป็นคนจากป้อมอสรพิษ
ป้อมแห่งนี้มีอำนาจล้นฟ้าไม่ใช่หรือ?
เสี่ยวเย่มองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความเศร้า
เขาเข้าใจแล้ว
ครั้งนี้ เขาก็ถูกหลอกอีกเช่นกัน
แต่ใครจะไปคิดเลยว่าหลินเป่ยเฉินกลับอาศัยจังหวะที่เสี่ยวเย่ยังไม่หายตกตะลึง พูดออกมาเสียงดังและหนักแน่นว่า “พี่น้องทุกท่านได้โปรดฟังให้ดี แม้แต่ท่านแม่ทัพเสี่ยวเย่ก็ยังทนเห็นความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นไม่ได้ เขาโกรธแค้นถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว… นับว่าตัววายร้ายกลุ่มนี้กำเริบเสิบสานมากเกินไป ทุกคนจัดแถว พวกเราจะเดินขบวนบุกไปที่ป้อมอสรพิษ ข้าอยากจะถามประมุขป้อมด้วยตนเองว่าพวกมันกล้าดีอย่างไรมารังแกพี่สาวของหลินเป่ยเฉิน”
พูดจบ เขาก็ช่วยประคออู๋หงเดินขึ้นไปบนรถม้า
เมื่อเสี่ยวเย่ได้ยินดังนั้น หัวใจก็ร้อนผ่าว
ความคิดแรกคืออยากหลบหนีเหลือเกิน
ทำไมฮันปู้ฟู่ผู้มีนิสัยเรียบง่ายและจริงใจ ถึงมีเพื่อนสนิทเป็นเด็กหนุ่มที่เจ้าเล่ห์แสนกลอย่างหลินเป่ยเฉินได้นะ?
แล้วทำไมผู้มีฝีมือระดับเซียนอย่างท่านเกาเฉิงฮั่นถึงต้องยอมอ่อนข้อให้กับหลินเป่ยเฉินด้วย?
นายทหารหนุ่มรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ
เขารู้สึกตกต่ำอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่หลินเป่ยเฉินไม่เปิดโอกาสให้เสี่ยวเย่มีจังหวะหลบหนี
บัดนั้น เฉียนเหมยก็จัดการสังหารคนของป้อมอสรพิษไปได้ 30 กว่าคนแล้ว
“พวกเราเลิกราเรื่องราวที่นี่ก่อน จงเดินขบวนบุกไปที่ป้อมอสรพิษเดี๋ยวนี้!”
หลินเป่ยเฉินคำรามออกคำสั่ง
ผู้คนที่รวมตัวอยู่บนถนนรีบหลบเข้าข้างทางทันที
และภายใต้การเฝ้ามองของชาวเมืองนับไม่ถ้วน กลุ่มของนายทหารคนงานขุดเหมืองก็เดินขบวนด้วยความรวดเร็วตรงไปยังทิศทางที่ตั้งของป้อมอสรพิษ
นี่หมายความว่าฝ่ายป้อมอสรพิษแทบไม่มีเวลาตั้งตัวเลย
เหตุการณ์ครั้งนี้จะต้องบานปลายแน่นอน!
หลินเป่ยเฉิน เด็กหนุ่มผู้เป็นยอดฝีมือที่น่าจับตามองคนใหม่ กำลังจะต้องเผชิญหน้ากับท่านประมุขแห่งป้อมอสรพิษผู้ร้ายกาจ
นี่หมายความว่าจะต้องมีการต่อสู้นองเลือดเกิดขึ้น
นี่คือการปะทะกันของดาวมรณะสองดวง
ข่าวด่วนแพร่กระจายออกไปอย่างเร็วไว
…
รถม้าวิ่งไปข้างหน้า
อู๋หงฟื้นคืนสติขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
“คุณชายหลิน… เป็นท่านจริงๆ หรือ?”
หญิงสาวพยายามยันตัวลุกขึ้นนั่ง เพื่อจ้องมองเด็กหนุ่มให้แน่ใจว่าเขาไม่ใช่ภาพมายาที่นางคิดฝันไปเอง เมื่อพบว่าเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านตรงข้ามเป็นตัวจริง อู๋หงก็พูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกตื้นตันใจไม่ต่างกันเมื่อได้พบเจอสหายเก่าอีกครั้ง
โชคดีที่เฉียนซื่อบอกเรื่องนี้กับเขาได้ทันเวลา หลินเป่ยเฉินจึงนำบริวารของตนเองมาบุกถล่มคลังเก็บสมบัติ… ไม่ใช่สิ บุกมาช่วยเหลือผู้คนและช่วยชีวิตอู๋หงเอาไว้ได้ทันเวลา หากช้ากว่านี้อีกเพียงนิดเดียว อดีตนักล่าอสูรผู้นี้ก็คงต้องนอนทอดร่างกลายเป็นซากศพไปแล้ว
เด็กหนุ่มกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง
ตุบ!
ทันใดนั้น อู๋หงขยับตัวลงมานั่งคุกเข่าอยู่ในห้องโดยสาร
“คุณชายหลิน ได้โปรดรีบไปช่วยเหลือซือเหนียงกับคนอื่นๆ ด้วย…”
“พี่อู๋หง รีบลุกขึ้นเถิดขอรับ ท่านไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้เลย”
หลินเป่ยเฉินรีบพูดออกมาโดยเร็ว “พวกเรากำลังมุ่งหน้าไปที่ป้อมอสรพิษอยู่แล้ว”
อู๋หงพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนพูดว่า “ซือเหนียงกับคนอื่นๆ ถูกคุมตัวอยู่ในป้อมอสรพิษ และที่นั่นยังมีคนบริสุทธิ์ถูกจับตัวอีกมากมาย… พวกเราพี่น้องนักล่าอสูรถูกส่งมาขายให้กับป้อมอสรพิษทั้งหมด พวกมันเป็นปีศาจ หาได้เป็นมนุษย์ไม่…”
หญิงสาวร่างกำยำพูดด้วยความร้อนใจและหวาดผวา
หลินเป่ยเฉินเข้าใจความรู้สึกของนางดี
กลุ่มนักล่าอสูรจากหุบเขาชายแดนเหนือนับว่าโชคร้ายยิ่งนัก
ก่อนหน้านี้ หลินเป่ยเฉินเคยบุกถล่มสมาคมนักล่าอสูรประจำพื้นที่ชายแดนเหนือด้วยตัวเพียงคนเดียว แต่เขากลับไม่พบสิ่งของมีค่าใดมากมาย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง
ในภายหลัง เขาถึงได้รู้ว่าของมีค่าทั้งหมดได้ถูกขนย้ายถ่ายเทให้แก่หัวหน้าของพวกมันคนอื่นๆ ไปก่อนแล้ว
เช่นเดียวกับพวกของเฟิงซือเหนียงและหญิงสาวนักล่าอสูรในสำนักของนาง
ทางเมืองหยุนเมิ่งเคยสืบสวนเรื่องนี้อย่างลับๆ
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาสืบไม่พบเบาะแสใดเลย
หลินเป่ยเฉินไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าพวกของเฟิงซือเหนียงยังมีชีวิตอยู่อีกหรือไม่
อู๋หงไม่สามารถปล่อยให้พี่น้องของตนเองต้องพานพบชะตากรรมเลวร้ายเพียงลำพัง นางจึงอำลาหลินเป่ยเฉินเดินทางออกจากเมืองหยุนเมิ่ง และออกตามหาทุกคนด้วยตนเอง
คิดไม่ถึงเลยว่านางจะมาพบเจอทุกคนในนครเจาฮุย
สายสัมพันธ์ระหว่างสตรีคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน
ช่างน่าประทับใจนัก
หลินเป่ยเฉินเคารพชื่นชมบุคคลอย่างอู๋หงเป็นอย่างยิ่ง
ถือเป็นเกียรติสำหรับเขาที่ได้มีมิตรสหายจิตใจดีงามเช่นนี้
“แต่คุณชาย… ต้องระวังตัวให้มากเข้าไว้ ป้อมอสรพิษมีขุมกำลังแข็งแกร่งมาก… ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของพวกมัน และข้ายังเคยสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอปีศาจด้วยซ้ำ…”
อู๋หงพูดด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล
หลินเป่ยเฉินหัวเราะในลำคอ “พี่อู๋หงไม่ต้องเป็นกังวล ไม่มีใครรู้จักปีศาจเหล่านั้นดีมากกว่าข้าอีกแล้ว”
เด็กหนุ่มไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย
ตอนนี้เขามีพละกำลังทางร่างกายอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
ต่อให้พบเจอพวกสาวกปีศาจ หลินเป่ยเฉินก็มั่นใจว่าตนเองสามารถจัดการได้ไม่มีปัญหา
กลุ่มนายทหารเคลื่อนขบวนไปด้วยความรวดเร็ว เมื่อผู้คุ้มกันประตูเมืองเขตสี่เห็นชุดเกราะสีแดงสดของแม่ทัพเฉียนเหมยจากที่ไกลตา พวกเขาก็ไม่กล้าสอบถามอะไรให้มากความ ได้แต่ปล่อยให้กลุ่มนายทหารเคลื่อนขบวนผ่านประตูเมืองเข้าไปโดยสะดวก…
ไม่กี่ลมหายใจต่อมา
ป้อมอสรพิษก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว!