ตอนที่ 738 ประมุขป้อมปรากฏตัว
บางทีอาจเป็นเพราะว่าป้อมอสรพิษไม่มีผู้ใดกล้ามาบุกรุกเนิ่นนาน ความตื่นตัวของผู้คุ้มกันจึงเชื่องช้าลงตามสภาพ แต่เสี่ยวเย่ก็มั่นใจว่าถึงป้อมอสรพิษจะมีเวลาเตรียมตัวรับมือก่อนหน้า อย่างไรก็คงไม่สามารถต้านทานการบุกโจมตีของกองทัพหลินเป่ยเฉินได้อยู่ดี
แม้แต่กับเสี่ยวเย่ ผู้ผ่านการรบพุ่งในสมรภูมิชายแดนเหนือมาอย่างโชกโชน ก็ยังต้องยอมรับจากใจจริงว่า หากนำนายทหารเหล่านี้ไปรบกับพวกกองทัพของจักรวรรดิจี้กวง ต่อให้พวกเขาจะไม่สามารถเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้อย่างราบรื่น แต่อย่างน้อย สถานการณ์ของฝ่ายจักรวรรดิเป่ยไห่ก็คงดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่มากมายนัก
อย่างน้อยนายทหารส่วนที่เหลือก็พอจะมีขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นมาบ้าง
พวกเขาจะมีความหวังในการชนะสงคราม
และเมื่อคนเรามีความหวัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปได้เสมอ
แต่น่าเสียดายที่หลินเป่ยเฉินไม่มีความสนใจจะเข้าร่วมกองทัพ
เสี่ยวเย่ปะปนอยู่ในกลุ่มทหารคนงานขุดเหมือง มือหนึ่งถือกระบี่ตวัดฟาดฟันคนของป้อมอสรพิษล้มตายนับไม่ถ้วน ระหว่างนั้นก็ส่งเสียงคำรามออกมาว่า
“แก้แค้น!”
บัดนี้ เขาเองก็มีความดุดันไม่แพ้นายทหารคนงานขุดเหมืองแล้ว
นี่คือการต่อสู้ที่มีผู้ไล่ล่าอยู่เพียงฝ่ายเดียว
ไม่กี่อึดใจต่อมา ขุมกำลังสองในสามของป้อมอสรพิษก็ถูกจัดการหมดสิ้น
ถึงมันจะเป็นชัยชนะที่ได้มาอย่างง่ายดาย แต่สำหรับในใจของเสี่ยวเย่ นี่ไม่ใช่เรื่องที่จะยอมรับได้ง่ายๆ เช่นกัน เพราะว่าป้อมอสรพิษก่อตั้งอยู่ในนครเจาฮุยมาอย่างยาวนาน แม้แต่ท่านเจ้าเมืองเหลียงหยวนเตากับยอดขุนพลเกาเฉิงฮั่นก็ยังไม่กล้ามีปัญหาด้วย
และวันนี้ เสี่ยวเย่ก็ได้เห็นด้วยตาของตนเองแล้วว่า ขุมกำลังของป้อมอสรพิษมียอดฝีมือที่แท้จริงแฝงตัวอยู่ไม่ใช่น้อย
ทันใดนั้น…
“โฮก!”
เสียงคำรามของอสูรร้ายดังมาจากส่วนลึกของหมู่ตึกใหญ่
พื้นดินสั่นสะเทือน
ห่างออกไปประมาณครึ่งลี้ อาคารหลังหนึ่งได้พังถล่มลงมาราวกับเกิดเหตุแผ่นดินไหว หมอกควันสีดำลอยขึ้นมาจากร่องแยกบนพื้นดิน
หลังจากนั้น ทุกคนก็พบเห็นว่ามีสัตว์ประหลาดรูปร่างหน้าตาคล้ายเสือโคร่งผสมหมาป่าฝูงหนึ่งปีนขึ้นมาจากใต้ดิน พวกมันกำลังระเบิดเสียงคำรามพร้อมกับพุ่งกระโจนเข้ามาหากลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองด้วยความดุร้ายกระหายเลือด
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?”
หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย
หน้าตาอัปลักษณ์สิ้นดี
แต่ลมหายใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกได้ว่าเจ้าลูกเสือที่เขาขี่อยู่บนแผ่นหลังของมันดูเหมือนจะเกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาเล็กน้อย
มันส่งเสียงคำรามแหบต่ำในลำคอ
ขนทุกเส้นบนร่างกายชี้ชัน
เอาละสิ
ท่าจะสนุกกันใหญ่แล้วแฮะ
หลินเป่ยเฉินทำท่ายกมือดันแว่นแบบนักสืบจิ๋วโคนัน
หรือว่าเจ้าลูกเลี้ยงของอากวงตัวนี้อยากจะออกไปสู้กับสัตว์ประหลาดเหล่านั้น?
หึหึ
แม้แต่สัตว์เลี้ยงของเขาก็มีเลือดนักสู้ด้วยเหมือนกันหรือนี่
เด็กหนุ่มเอื้อมมือไปตบหัวเจ้าลูกเสือเบาๆ แล้วพูดว่า “ไปเลย เจ้าเสือน้อย อย่าทำให้พ่อบุญธรรมของเจ้าต้องอับอายเชียวล่ะ”
เจ้าลูกเสือระเบิดเสียงคำราม เมื่อหลินเป่ยเฉินกระโดดตีลังกาลงจากแผ่นหลังของมัน เจ้าลูกเสือก็วิ่งกระโจนออกไปไม่ต่างจากหมาบ้าที่หลุดออกจากกรงขัง
“โฮก!”
มันคำรามเสียงดังกังวาน
ก่อนจะตามด้วยการทำเสียง “จี๊ดจี๊ดจี๊ด!”
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออก
นี่มัน… กำลังเลียนแบบเสียงของอากวงอยู่อย่างนั้นหรือ?
เสียชาติเกิดเสือจริงๆ
พริบตานั้น เขาก็ยืนมองเจ้าลูกเสือวิ่งเข้าไปในกลุ่มอสูรร้าย บรรยากาศไม่ต่างไปจากมีหมาป่าหลุดเข้าไปในเล้าไก่อย่างแท้จริง ปีกบนแผ่นหลังของเจ้าลูกเสือแผ่กว้าง ยามที่มันกระพือปีกก็จะเกิดลำแสงสว่างไสว หลินเป่ยเฉินคิดไม่ถึงเลยว่าปีกของเจ้าลูกเสือจะมีความคมกริบไม่ต่างจากกระบี่คู่ และเมื่อผนวกเข้ากับกรงเล็บที่แหลมคมของมัน เจ้าลูกเสือจึงไม่ต้องหวาดกลัวผู้ใดอีกแล้ว
อสูรร้ายจากใต้ดินห้าตัวพุ่งเข้ามา แต่เพียงเจ้าลูกเสือสะบัดปีกตวัดกรงเล็บเท่านั้น ลำตัวของพวกมันก็แข็งค้าง ก่อนที่จะล้มลงสิ้นใจตายบนพื้นดินอย่างช้าๆ
และบนซากศพของอสูรร้ายเหล่านั้นก็ปรากฏรูโหว่จากกรงเล็บของเจ้าเสือน้อย
โลหิตและอวัยวะภายในไหลทะลักออกมา
แต่เทียบไม่ได้เลยกับบาดแผลเหวอะหวะจากปีกกระบี่ทั่วร่างกาย
เมื่อเห็นบาดแผลเหล่านั้น หลินเป่ยเฉินก็ตัวเย็นเฉียบขึ้นมาทันที
ให้ตายสิ
เจ้าลูกเสือของเขาแข็งแกร่งถึงขนาดนี้แล้วหรือ?
ปีกทั้งสองข้างของมันนั่นอีก พวกมันสามารถโจมตีได้ไม่ต่างจากปีกกระบี่ของหลินเป่ยเฉินเลยทีเดียว
แล้วตลอดเวลาที่ผ่านมา เขานั่งขี่อยู่บนแผ่นหลังของมันเนี่ยนะ?
แถมเขายังเคยดุด่ามันทุกครั้งที่มีโอกาสอีกด้วย
เกิดวันไหนเจ้าลูกเสือทนไม่ไหวขึ้นมาและใช้ปีกเล่นงานเขาระหว่างที่ขี่อยู่บนแผ่นหลังของมัน หลินเป่ยเฉินไม่ต้องกลายเป็นขันทีไปตลอดกาลเลยหรือ?
หลินเป่ยเฉินกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ รู้สึกเย็นเฉียบที่กลางหว่างขาขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เขาบอกกับตนเองว่าหลังจากนี้คงต้องทำตัวดีๆ กับเจ้าลูกเสือสักหน่อยแล้ว มิเช่นนั้น เขาก็คงขี่หลังมันไม่ได้อีกเด็ดขาด
เมื่อมีความห้าวหาญของเจ้าลูกเสือบุกตะลุยและได้รับการสนับสนุนโดยเฉียนเหมย อู๋หงและกลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมือง สุดท้าย การบุกโจมตีของฝูงอสูรร้ายจากใต้ดินก็หยุดลง
และตอนนั้นเองที่ควันดำจากใต้ดินพวยพุ่งขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะมีสัตว์ประหลาดฝูงใหม่ปีนขึ้นมาจากใต้ดินเป็นระลอกที่สอง
“โฮก…”
“จี๊ด”
เจ้าลูกเสือส่งเสียงออกมาด้วยความตื่นเต้น
ปีกของมันกระพือพัด แล้วสัตว์ประหลาดฝูงใหม่ก็ต้องดับดิ้นไปด้วยเวลาอันรวดเร็ว
ห่างออกไป
ประตูของตึกสูงสีดำพลันเปิดออกอย่างช้าๆ
“ผู้ใดกล้ามาบุกรุกป้อมอสรพิษของข้า?”
เสียงนั้นดังกังวานไม่ต่างจากเสียงของเทพเจ้า
ผู้พิทักษ์ตึกซึ่งสวมใส่ชุดเกราะเหล็กนับร้อยคน วิ่งกรูออกมาจากด้านในตึกสีดำหลังนั้น ระดับพลังของพวกเขาไม่ต่ำต้อย แต่ละคนล้วนถูกจัดอยู่ในขั้นยอดฝีมือ
แต่ที่น่ากลัวก็คือในจำนวนนี้มีผู้ที่อยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายถึงแปดคน และกระบี่ที่อยู่ในมือก็จัดเป็นยอดศาสตราวุธ มีความน่ากลัวทั้งตัวคนและอาวุธพอๆ กัน
หลังจากนั้น ปรากฏชายหญิงคู่หนึ่งเดินออกมา พวกเขาต่างก็มีใบหน้าหล่อเหลาและสวยงาม ดวงตาเป็นประกายแวววาว เช่นเดียวกับชุดเกราะที่สะท้อนประกายระยิบระยับหรูหราราคาแพง
ชายหญิงคู่นี้ต่างก็ถือกระบี่ที่ยังไม่ได้ชักออกจากฝักอยู่ในมือคนละเล่ม ด้ามจับกระบี่ทำมาจากทองคำบริสุทธิ์ ตกแต่งเป็นรูปหางหงส์เพลิงอย่างปราณีต เพียงมองดูแค่ปราดเดียว ก็รับทราบแล้วว่าเป็นยอดกระบี่ในกระบี่ด้วยกันทั้งมวล
ชายหญิงคู่นี้สวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ เช่นเดียวกับใบหน้าที่ผุดผ่องแจ่มใส
พวกเขามีอายุต้น 20 การเคลื่อนไหวร่างกายมีสง่าราศีและอ่อนหวานชดช้อย ไม่ต่างจากเทพเจ้าที่ลงมาอยู่บนโลกมนุษย์
ใช่แล้ว…
นี่มันตัวละครที่หลุดออกมาจากเทพนิยายชัดๆ
กลุ่มผู้พิทักษ์ป้อมกระจายกำลังกันปิดล้อมรอบบริเวณอย่างรวดเร็ว
“สองคนนี้แหละที่เป็นประมุขของพวกมัน”
เมื่ออู๋หงเห็นหน้าชายหญิงคู่นี้ ไฟแค้นในดวงตาของนางก็ลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง หญิงสาวแสดงสีหน้าเกลียดชัง ก่อนจะสะกิดปลายเท้าลงบนพื้นดิน และลอยตัวขึ้นไปในอากาศ พุ่งเข้าไปหาชายหญิงมฤตยูด้วยจิตสังหารเปี่ยมล้น