ตอนที่ 745 ทำไมท่านถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย
อากวงมองเด็กหนุ่มเดินหายลับไปทางอุโมงค์ฝั่งใต้ แล้วขนบนลำตัวของมันที่ยังไม่หายชี้ชันก็ต้องลุกซู่มากยิ่งกว่าเดิม
อุโมงค์ทางเดินที่เต็มไปด้วยก้อนหินเรืองแสงสีแดงเลือด ยิ่งมองมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งชวนให้รู้สึกหวาดกลัวมากเท่านั้น
ทันใดนั้น สายลมพัดผ่านวูบ คล้ายกับว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามาใกล้
“จี๊ด…”
อากวงตื่นตระหนกมากกว่าเดิม มันได้แต่หลับตาลง และกระแทกกำปั้นใส่แท่นหินบูชาสุดแรงเกิด
แต่ด้วยความที่แท่นหินบูชามีค่ายอาคมคอยคุ้มครองความปลอดภัย ต่อให้อดีตราชันย์หนูอสูรจะเปลี่ยนมุมทุบทำลายรอบด้าน ทว่า แท่นหินก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะพังถล่มแม้แต่น้อย
ผ่านไปอึดใจใหญ่ หลินเป่ยเฉินเดินกลับออกมาจากอุโมงค์ทิศใต้ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ก่อนที่เขาจะหมุนตัวและเดินหายเข้าไปในอุโมงค์ทางทิศเหนือ
อากวงได้แต่มองตามไปด้วยแววตาพิศวงสงสัย แต่ก็ไม่กล้าถามอะไรออกมา
มันยังคงพยายามทุบทำลายแท่นบูชาต่อไปอย่างไม่ย่อท้อ
ในที่สุด
ค่ายอาคมที่คุ้มครองแท่นหินอยู่ก็ถูกสลายลงไป และแท่นหินก็พังทลายลงมาได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
หลังจากนั้นพักใหญ่ หลินเป่ยเฉินเดินกลับออกมาจากอุโมงค์ฝั่งเหนือและเดินหายเข้าไปในอุโมงค์ฝั่งตะวันออกด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เช่นเดิม
อากวงก็ยังคงมองตามไปด้วยความพิศวงสงสัยและไม่กล้าถามอะไรออกมาเช่นเดิม
มันหันกลับมาตั้งใจทำลายแท่นหินบูชาอีกครั้ง
ผ่านไปชั่วหนึ่งก้านธูป หลินเป่ยเฉินก็เดินกลับออกมาจากอุโมงค์ฝั่งตะวันออก
เป็นจังหวะเดียวกับที่อากวงสามารถทุบทำลายแท่นหินบูชาได้สำเร็จพอดี
“จี๊ดจี๊ดจี๊ด”
มันเงยหน้าขึ้นจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยความกังวล
หลินเป่ยเฉินเดินไปนั่งบนก้อนหินใหญ่ที่แตกกระจายออกมาจากแท่นหินบูชา แววตาว่างเปล่าจนน่าเป็นห่วง
‘นายท่านพบเจอทองคำ ศิลาบูชา หรือของมีค่าอื่นใดบ้างไหมขอรับ?’
อากวงเห็นว่าเจ้านายของตนเองท่าทางอารมณ์ไม่ดี จึงเขียนข้อความสอบถามอย่างระมัดระวัง
หลินเป่ยเฉินไม่ตอบ
เจ้าหนูเห็นดังนั้นก็รีบเขียนข้อความต่อทันที ‘นายท่านอย่าเสียใจไปเลยนะขอรับ…’
อากวงพอจะคาดเดาได้อยู่บ้างว่าเหตุผลที่หลินเป่ยเฉินดูเหม่อลอยและซึมเศร้าขนาดนี้ ก็คงเป็นเพราะเรื่องราวความสัมพันธ์กับไป๋ชินหยุนนั่นเอง ดังนั้น มันจึงเขียนต่อด้วยความรวดเร็วว่า…
‘คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เห็นเนื้อหนังย่อมไม่เห็นกระดูก’
มันพยายามส่งเสียงปลอบโยนอย่างสุดความสามารถ “จี๊ดจี๊ดจี๊ด”
หลินเป่ยเฉินไม่แม้แต่จะเหลือบมองด้วยซ้ำ
อากวงชะงักไปเล็กน้อย ก็เขียนข้อความใหม่อีกครั้ง ‘โบราณกล่าวไว้ว่า จิตใจสตรีนั้นยากแท้หยั่งถึงนะขอรับ’
ให้ตายสิ
อากวงรู้จักคำพวกนี้ด้วยหรือ?
หลินเป่ยเฉินหันกลับมาตบหัวมันไปเพี้ยะหนึ่ง ก่อนพูด “ท่าทางเจ้าจะอ่านนิยายมากเกินไปแล้วนะ”
อดีตราชันย์หนูอสูรยิ้มกว้าง
‘นางหนีไปแล้ว นายท่านอย่าไปสนใจเลยนะขอรับ’
มันเขียนข้อความอย่างเร็วไว
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้า “ไม่หรอก ข้าสังหรณ์ใจว่านางยังอยู่ในเมืองนี่แหละ”
‘อย่าบอกนะว่า… นายท่านคิดจะตามหานาง?’
อากวงเขียนข้อความด้วยมือที่สั่นเทา
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า “ข้าต้องหานางให้เจอ”
เด็กหนุ่มจ้องมองเศษซากของแท่นหินบูชา ซึ่งทำหน้าที่เป็นเครื่องปั่นมนุษย์ส่งอวัยวะส่วนต่างๆ ของเหยื่อผู้บริสุทธิ์ลงไปยังบ่อโลหิตที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นจึงได้ถอนหายใจออกมา
อากวงก้มหน้าลง
ในอดีต ตัวมันเองก็เคยคลุกคลีอยู่กับไป๋ชินหยุน จึงมีความประทับใจในตัวเด็กสาวไม่น้อย
และมันก็รู้ดีอีกเช่นกันว่า นางเป็นหนึ่งในบุคคลสำคัญประจำหัวใจของหลินเป่ยเฉิน
หากหลินเป่ยเฉินสังหารไป๋ชินหยุนด้วยมือของตนเอง เขาก็จะต้องเสียใจในภายหลังแน่นอน
แต่เจ้าหนูก็ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น
มันไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของนายท่าน
เพราะในสายตาของมัน หลินเป่ยเฉินมีความสูงส่งไม่ต่างไปจากเทพเจ้า
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินยกมือโบกสะบัด พูดว่า “เจ้ากลับไปก่อน”
‘นายท่าน…’
อากวงกำลังก้มลงเขียนข้อความบนกระดาน
มันอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มพบเจออะไรบ้างในอุโมงค์อีกสามทิศที่เหลืออยู่
เพราะนับตั้งแต่ที่หลินเป่ยเฉินเดินกลับออกมาจากการสำรวจอุโมงค์เหล่านั้น เจ้าหนูก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจิตสังหารในตัวนายท่านเข้มข้นมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า
และเรื่องนี้ก็คงไม่ส่งผลดีต่อไป๋ชินหยุนเด็ดขาด
เจ้าหนูอยากจะสอบถามอะไรอีกหลายอย่าง
แต่เมื่อชำเลืองมองบ่อโลหิตอีกครั้ง มันก็ไม่รู้จะถามอะไรอีกแล้ว
มันอยู่กับมนุษย์มานานพอที่จะเข้าใจความรู้สึกของผู้คน
โดยเฉพาะกับนายท่าน ที่ภายนอกดูเหมือนจะไม่ใช่คนได้เรื่องได้ราวอะไรนัก แต่ในหัวใจจริงๆ แล้ว เด็กหนุ่มเป็นคนที่ยึดมั่นในหลักการที่สุดคนหนึ่ง
เมื่อเขาคิดโกรธแค้นผู้ใด หลินเป่ยเฉินก็จะไล่ล่าทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก
แต่สิ่งที่อากวงไม่เข้าใจก็คือ เหตุไฉนคนสองคนที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมานับครั้งไม่ถ้วน วันหนึ่งถึงได้เปลี่ยนจากมิตรกลายเป็นศัตรู และพร้อมที่จะเข่นฆ่ากัน เหมือนต่างฝ่ายต่างเป็นคนแปลกหน้าเช่นนี้หนอ
“เจ้าไปได้แล้ว”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นเท้าคางพลางพูดว่า “ข้าอยากอยู่เงียบๆ คนเดียว”
อากวงหูลีบ คอตก เส้นขนที่เคยชี้ชันก็กลับมาราบเรียบเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนที่มันจะหมุนตัวเดินออกไปตามอุโมงค์ฝั่งตะวันตก
หลินเป่ยเฉินยังคงมีสีหน้าเหม่อลอยต่อไป
เขายังคงนั่งอยู่บนเศษซากปรักหักพังของแท่นหินบูชา ราวกับว่ากลิ่นคาวเลือดจากบ่อโลหิตไม่สามารถทำอะไรเขาได้อีกแล้ว
…
ณ สถานที่ซ่อนตัว
โลหิตไหลทะลัก
ไป๋ชินหยุนทำแผลบริเวณหัวไหล่ซ้ายของตนเองเพื่อห้ามเลือดไม่ให้ไหลออกมา
กระบวนท่า ‘กระบี่เดียวไม่รู้ลืม’ ของเทพีกระบี่เคยรุนแรงอย่างไร ก็ยังคงรุนแรงอยู่อย่างนั้น เมื่อถูกโจมตีเข้ามาแล้ว จึงเป็นเรื่องยากที่จะสามารถรักษาหายได้ในระยะเวลาอันสั้น
ใบหน้าของเด็กสาวขาวซีด
“ทำไมท่านถึงทำเช่นนี้?”
ระหว่างที่ไป๋ชินหยุนพยายามห้ามเลือด นางก็ไม่สามารถสะกดกลั้นความโกรธแค้นได้อีกต่อไป จึงต้องหันกลับไปมองราชันย์งูพิษที่ยืนอยู่ตรงหน้า
ศพของราชันย์งูพิษนอนแข็งทื่ออยู่บนพื้นดิน และสิ่งที่กำลังปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้าไป๋ชินหยุนในขณะนี้ ก็เป็นเพียงวิญญาณของเขาเท่านั้น
“หยุนเอ๋อร์…”
พลัน ราชันย์งูพิษยิ้มออกมาด้วยความอ่อนโยน
“หยุดนะ”
เด็กสาวตะเบ็งเสียง “ท่านไม่มีสิทธิ์มาเรียกชื่อข้าอีกแล้ว”
รอยยิ้มบนใบหน้าราชันย์งูพิษจางหายไป ก่อนที่เขาจะต้องรีบอธิบายว่า “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังโกรธที่ข้ากับพี่สาวของเจ้ากระทำเรื่องราวต่างๆ ในป้อมอสรพิษโดยไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลย แต่ที่เราทำเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะดึงดูดความสนใจของหลินเป่ยเฉินเท่านั้น เราตั้งใจใช้คนของเขาเป็นเหยื่อล่อ เหอเหอเหอ มิเช่นนั้นแล้ว นักล่าอสูรฝีมือต่ำต้อยอย่างอู๋หง จะสามารถหลบหนีออกไปจากป้อมอสรพิษได้อย่างไร?”
ไป๋ชินหยุนลุกขึ้นยืน ความโกรธแค้นทำให้โลหิตไหลทะลักออกจากบาดแผลบนหัวไหล่มากขึ้น นางขึงตาจ้องมองวิญญาณของราชันย์งูพิษและกล่าวว่า “ทำไมท่านถึงต้องทำเช่นนี้ด้วย?”
“เพราะว่า…”
ราชันย์งูพิษยิ้มออกมาอีกครั้ง “ข้ารู้ว่าเจ้าชอบหลินเป่ยเฉิน”
“เหลวไหล”
ไป๋ชินหยุนหัวเราะในลำคอ
นั่นทำให้หน้าอกหน้าใจของนางไหวกระเพื่อมอย่างรุนแรง
“มิเช่นนั้น เหตุไฉนครั้งก่อนเจ้าถึงไม่ฆ่าเขาเล่า?”
วิญญาณของราชันย์งูพิษยิ้มออกมาอีกครั้งเมื่อถามถึงประเด็นนี้
“นั่นเป็นเพราะว่า เป็นเพราะว่า…”
ไป๋ชินหยุนพยายามจะตอบโต้กลับมาด้วยความฉุนเฉียว แต่แล้วนางก็ตอบไม่ได้เช่นกันว่าเพราะอะไร สุดท้าย เด็กสาวจึงพูดด้วยความกระฟัดกระเฟียดว่า “ต่อให้ข้าชอบเขาจริง แล้วมันจะเป็นอย่างไร?”
ราชันย์งูพิษปรับเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังมากขึ้น พูดด้วยน้ำเสียงอบรมสั่งสอน “เจ้ามีความรักไม่ได้ เจ้าลืมไปแล้วหรือไร เจ้าจำได้หรือไม่ว่าเจ้ากลับมาที่โลกนี้อีกครั้งเพื่ออะไร? เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าสาวกทุกคนต้องทุกข์ทรมานขนาดไหน? แล้วเจ้ายังจะมีความรักอีกได้อย่างไร? หลินเป่ยเฉินคนนี้ทำให้เจ้าต้องเสียเวลาไปมากมายเท่าไหร่ เจ้ารู้ตัวบ้างหรือไม่?”
“ท่าน…”
ใบหน้าที่ขาวซีดของไป๋ชินหยุนกระตุกระริก
ราชันย์งูพิษกล่าวต่อ “พี่สาวของเจ้ากับข้าปล่อยให้เจ้าทำผิดพลาดไม่ได้อีกแล้ว”
ต่อจากนั้น เขาก็จ้องมองไป๋ชินหยุนด้วยแววตาหนักแน่นจริงจัง “หยุนเอ๋อร์ เจ้าคือความหวังสุดท้ายของพวกเรา อย่าลืมสิว่าพวกมันทำอะไรกับเราไว้บ้าง จงอย่าลืมว่าภารกิจของเจ้าคืออะไร จงอย่าลืมว่าทุกคนต้องเสียสละสิ่งใดบ้างเพื่อให้เจ้ามายืนอยู่ตรงนี้ แต่ทุกครั้งที่เจ้าเกิดความลังเล แผนการของพวกเราก็เสี่ยงที่จะพังทลายลงไปด้วยเช่นกัน”
“ข้าก็ตั้งใจจะสังหารหลินเป่ยเฉินด้วยมือของตนเองนั่นแหละ แต่ใครจะไปรู้เลยว่าเจ้านั่นกลับมีพลังแข็งแกร่งเกินกว่าที่คิด…” เด็กสาวพยายามแก้ต่างให้แก่ตนเอง
“แต่มันก็ไม่สำคัญอีกแล้ว เจ้ากับหลินเป่ยเฉินไม่มีทางรักกันได้เด็ดขาด นั่นคือความเป็นจริงที่ผู้ใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้…”
สีหน้าของราชันย์งูพิษกลับมาอ่อนโยนอีกครั้งขณะกล่าวต่อ “หยุนเอ๋อร์ เจ้าต้องตั้งสติได้แล้ว อย่าปล่อยให้การเสียสละของพี่น้องต้องสูญเปล่า เจ้าจะถูกพวกมนุษย์ต่ำต้อยหลอกลวงไม่ได้ เจ้าจะปล่อยให้ตนเองไร้ค่าถึงขนาดนั้นไม่ได้… จงสังหารหลินเป่ยเฉินเสีย กำจัดสิ่งที่รบกวนจิตใจเจ้าออกไปให้หมด แล้วเจ้าจะกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง”
“ท่าน…”
ไป๋ชินหยุนกำลังจะกระแทกมือออกไปข้างหน้า
แต่แล้วเด็กสาวกลับหยุดชะงัก
ราชันย์งูพิษเป็นคนที่สอนวิชาการต่อสู้ให้แก่ไป๋ชินหยุนมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนที่รักนางจากใจจริง เช่นเดียวกับพี่สาวของนาง
อีกอย่าง อดีตประมุขป้อมอสรพิษผู้นี้ก็ตายไปแล้ว
หลงเหลือแต่เพียงวิญญาณริบหรี่เท่านั้น
นางยังจะทำร้ายเขาอีกได้อย่างไร…
ไป๋ชินหยุนลดมือลงมา ก่อนร้องไห้โฮ
เด็กสาวร้องไห้สะอึกสะอื้น
นางไม่เคยร้องไห้ขนาดนี้มาก่อน
ไป๋ชินหยุนร้องไห้ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่หลงทางอยู่กลางความมืด มองไม่เห็นหนทางข้างหน้า เต็มไปด้วยความหวาดกลัว เต็มไปด้วยความเศร้า ไม่มีใครให้หันหน้าไปพึ่งพิงอีกแล้ว
วิญญาณของราชันย์งูพิษได้แต่ยืนมองในความเงียบ
ทันใดนั้น ร่างของเขาก็ค่อยๆ เลือนรางลงไป
ไม่รู้เลยว่าผ่านไปนานแค่ไหนกว่าที่ไป๋ชินหยุนจะหยุดร้องไห้
พลัน เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมา สีหน้าและแววตาของนางเปลี่ยนแปลงไปแล้ว
ความดุร้าย ความอำมหิต ความเย็นชา ล้วนแต่ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนางอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ในขณะนี้ ไป๋ชินหยุนเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน
นางละทิ้งแล้วซึ่งความรู้สึกรักโลภโกรธหลงของมนุษย์
บัดนี้ หัวใจของเด็กสาวหลงเหลืออยู่แต่เพียงความเย็นชาเท่านั้น