ตอนที่ 747 โลหิตสีแดงสดบนพื้นหิมะสีขาวโพลน
“จับตัวนางให้ได้”
เว่ยหมิงเซวียนยกมือโบกสะบัดและส่งเสียงคำรามแหบต่ำ “ไม่ว่าเป็นหรือตายก็ตาม”
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนมุมปากของไป๋ชินหยุนก่อนที่ร่างของนางจะเคลื่อนไหววูบวาบ
“อ๊าก…”
เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังกังวาน
คนของป้อมอสรพิษล้มตายดั่งใบไม้ร่วง
แต่ไม่กี่กระบวนท่าหลังจากนั้น สีหน้าของเด็กสาวก็แปรเปลี่ยนไป สองเท้าของนางยืนหยัดอย่างไม่มั่นคง ตัวคนโงนเงนไปมาเหมือนกำลังจะหมดสติ
คมกระบี่สามเล่มเสียบแทงเข้าใส่ร่างกายของนาง
โลหิตสาดกระจาย
“ฮ่าฮ่าฮ่า…”
เว่ยหมิงเซวียนที่ยืนอยู่ห่างไกลปรบมือด้วยความชอบใจ “ดอกอนันตกาลสามารถรักษาบาดแผลจากเทพีกระบี่ได้ก็จริง แต่มันก็มีผลข้างเคียงด้วยเช่นกัน หนึ่งชั่วยามหลังจากรับประทานเข้าไป ผู้รับประทานจะเกิดอาการแขนขาอ่อนแรง ไม่สามารถใช้พลังลมปราณหรือขยับเขยื้อนร่างกายได้อีก เหอเหอเหอ ข้าอดใจรอที่จะได้ขยำขยี้เรือนร่างของเจ้าแทบไม่ไหวแล้ว…”
…
หลินเป่ยเฉินนั่งใช้ความคิดเงียบๆ ข้างบ่อโลหิตในสุสานใต้ดินตลอดทั้งคืน
วันต่อมา
ดวงตะวันยังไม่ทันพ้นขึ้นขอบฟ้า รุ่งเช้ายังคงเต็มไปด้วยความมืดมิด เด็กหนุ่มก็เดินออกมาจากสุสานใต้ดิน
อากวงนั่งขดตัวเป็นก้อนกลมอยู่บนเนินทรายด้านนอก เมื่อเห็นผู้เป็นเจ้านายปีนกลับขึ้นมาจากใต้ดิน เจ้าหนูก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีอกดีใจ
‘นายท่านตัดสินใจได้แล้วใช่ไหมขอรับ?’
อดีตราชันย์หนูอสูรเขียนข้อความลงบนกระดานประจำตัว
ดวงตาของหลินเป่ยเฉินมีเส้นเลือดขึ้นแดงก่ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายแผ่ออกมาด้วยรังสีอำมหิต
เขาพยักหน้า
“ข้าตัดสินใจได้แล้ว… ข้าจะต้องตามล่าหานางให้เจอ”
เด็กหนุ่มเหม่อมองขอบฟ้าที่ห่างไกลและพูดต่อไป “ข้าจะปล่อยให้เรื่องราวค้างคาอยู่เช่นนี้ไม่ได้”
พูดจบ
หลินเป่ยเฉินก็ดีดตัวลอยขึ้นไปในอากาศ ก่อนจะทิ้งตัวลงมา ต่อยหมัดใส่พื้นดินสุดแรงเกิด
นี่คือหมัดที่ปลดปล่อยพละกำลังของผู้ที่มีร่างกายอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายเต็มอัตรา
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือนทำให้นายทหารที่ตั้งค่ายเฝ้าระวังอยู่ด้านนอกถึงกับตื่นตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น?”
“แย่แล้ว มีคนบุกเข้าไปในนั้น”
กลุ่มนายทหารที่ยืนยามเฝ้าป้อมอสรพิษ ซึ่งได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นทะเลทรายไปแล้วนั้น บัดนี้กลางทะเลทรายได้เกิดหลุมยุบขนาดใหญ่ คล้ายกับว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินถล่มอย่างไรอย่างนั้น
และศูนย์กลางของหลุมยุบปรากฏเป็นรูปกำปั้นมือขนาดใหญ่ชัดเจน
ทุกสิ่งทุกอย่างกลายเป็นผุยผง หลินเป่ยเฉินกางปีกกระบี่ลอยตัวอยู่เหนือหลุมยุบ แสงสว่างแผ่ออกมาจากปีกทั้งสองข้างของเขา ช่วยเสริมสร้างสง่าราศีไม่ต่างจากเทพเจ้าตัวจริง
เด็กหนุ่มหลับตาลงและลอบถอนหายใจ พึมพำว่า
“ขอให้วิญญาณผู้บริสุทธิ์ทุกดวงที่เสียชีวิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้จงไปสู่สุคติเถิด”
พลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาแผ่ออกไปครอบคลุมดินแดนโลหิตใต้ดิน
หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าการที่ตนเองทำเช่นนี้ มันพอจะช่วยอะไรได้บ้างหรือไม่
แต่อย่างน้อยพลังศักดิ์สิทธิ์ของเขาก็คงช่วยชำระล้างบาปในสุสานใต้ดินได้บ้างไม่มากก็น้อย
กลุ่มนายทหารที่วิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามารับชมเหตุการณ์ รีบก้มตัวลงคุกเข่าสวดภาวนาโดยเร็วไว
หลังจากนั้น เมื่อพาตัวสัตว์เลี้ยงออกมาในที่ลับตาคนแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ตัดสินใจแยกจากอากวงที่ตรงนี้
“เจ้ากลับค่ายที่พักไปก่อน” หลินเป่ยเฉินพูด “ข้าจะออกไปตามล่านาง”
อากวงมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาห่วงใย
แต่เด็กหนุ่มก็พยักหน้าตอบกลับมาอย่างหนักแน่น
เจ้าหนูจึงได้แต่ก้มศีรษะรับคำสั่งและหมุนตัววิ่งจากไป
ด้วยความหงุดหงิดใจ
เมื่อกลับไปถึงค่ายที่พักแล้ว อากวงจึงระบายโทสะด้วยการทุบตีเซียวปิงและสั่งการบ้านศิษย์ของสถานศึกษากระบี่หยุนเมิ่งเพิ่มเติมหลายร้อยคนอย่างไม่มีเหตุผล
หลังจากเห็นอากวงหายลับไปจากสายตาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็ทอดถอนใจ นำกระบี่คู่หนึ่งออกมาใช้เป็นพาหนะเหาะไปในอากาศ และเริ่มต้นออกตามหาไป๋ชินหยุน
…
ติ๋ง!
ติ๋ง!
ติ๋ง!
เสียงโลหิตไหลหยดตกลงบนพื้นดิน
ไป๋ชินหยุนเนื้อตัวชุ่มโชกด้วยเลือดสดๆ นางไม่รู้เลยว่าตนเองถูกแทงไปทั้งหมดกี่กระบี่
เด็กสาวจำได้เพียงแต่ว่าตนเองพยายามหลบหนีออกมาอย่างสุดชีวิต
บัดนี้ นางก็ยังคงหลบหนีอยู่
ถึงกลุ่มผู้ไล่ล่าจะยังไม่ปรากฏตัว แต่ไป๋ชินหยุนก็สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณของพวกมันที่เข้าใกล้มากขึ้นทุกที ทุกที
แม้ร่างกายจะได้รับผลข้างเคียงจากกลีบดอกอนันตกาล แต่เด็กสาวก็ยังมีพลังมากพอที่จะฝ่าวงล้อมหลบหนีออกมาได้สำเร็จ
แต่เรี่ยวแรงในร่างกายก็เหือดหายลงไปมากขึ้นทุกขณะ
อาการบาดเจ็บทำให้เด็กสาวรู้สึกอ่อนแอ
ไป๋ชินหยุนหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม
นางเดินโซเซไม่ต่างจากคนเมาสุรา
ภาพความทรงจำจากในอดีตผุดพราวขึ้นมาเป็นฉากๆ
“ก่อนที่มารดาจะตาย นางเคยบอกเราว่าเผ่าพันธุ์ปีศาจทุกคนก่อนเสียชีวิต มักจะเห็นภาพในอดีตย้อนกลับมาเสมอ…”
“ถ้าอย่างนั้นเราคงใกล้ตายเต็มทีแล้วสินะ”
รอยยิ้มแสนเศร้าปรากฏขึ้นบนใบหน้าเด็กสาว…
บางทีความตายอาจไม่เลวร้ายอย่างที่คิดก็ได้
บางทีมันอาจเป็นเพียงการหลับใหลชั่วนิรันดร์เท่านั้น
ไป๋ชินหยุนหยุดเท้า
นางเห็นภาพมายาปรากฏขึ้นในสายตา
ไป๋ชินหยุนเห็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนอยู่บนกระบี่เหาะลงมาจากท้องฟ้า
เป็นเขานั่นเอง
ฮ่าฮ่าฮ่า
ทำไมข้าถึงตัดใจจากเขาไม่ได้สักทีนะ?
ไป๋ชินหยุนได้แต่ถามตัวเอง
ทำไมนางถึงเห็นภาพมายาของเขาอีก
ร่างมายาของเด็กหนุ่มชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
เด็กหนุ่มถือกระบี่ ใบหน้าเย็นชาอำมหิต ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำราวกับมีโลหิตไหลรินอยู่ในนั้น
ใช่แล้ว
แม้แต่ภาพมายา หลินเป่ยเฉินก็ยังอยากจะฆ่านาง
คนอะไรใจดำขนาดนี้
ไป๋ชินหยุนยกมือขยี้ตา
เดี๋ยวก่อนนะ?
ไม่ใช่แล้ว
นี่มัน…
ไม่ใช่ภาพมายาหรอกหรือ?
ไป๋ชินหยุนเห็นเต็มสองตาว่าหลินเป่ยเฉินกำลังถือกระบี่เดินเข้ามาหาตนเอง
ลมหายใจที่เป่าออกมาจากจมูกเป็นหมอกขาว รอยเท้าของเขาปรากฏขึ้นบนพื้นหิมะ
เป็นหลินเป่ยเฉินจริงๆ ด้วย
เขาอยู่ที่นี่แล้วจริงๆ
ไป๋ชินหยุนไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วนางก็ส่งเสียงครางในลำคอคล้ายกับเป็นสัตว์ป่าที่บาดเจ็บ ก่อนกัดฟันถามออกไปว่า “เจ้า… คงปล่อยข้าไปไม่ได้แล้วสินะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น
หลินเป่ยเฉินก็ตอบว่า “ถูกต้อง ข้าลองคิดทบทวนดูแล้ว ข้าปล่อยเจ้าไปไม่ได้จริงๆ”
“อย่างนั้นหรือ?”
ไป๋ชินหยุนหัวเราะในลำคอ ก่อนพูดต่อ “ข้าก็อยู่ตรงนี้แล้วไง มาสิ เข้ามาฆ่าข้าเพื่อแก้แค้นให้กับคนของเจ้า ฮ่าฮ่าฮ่า เข้ามาเลย”
ไม่เป็นไร
ตายด้วยคมกระบี่ของเขา ก็ยังนับเป็นความตายที่ดี
อย่างไรก็ดีกว่าตายด้วยน้ำมือของเว่ยหมิงเซวียนละนะ
อย่างน้อยหลังจากตายแล้ว ซากศพของนางคงถูกดูแลเป็นอย่างดี
กระบี่สายฟ้าในมือหลินเป่ยเฉินสั่นไหว
“ประเสริฐ”
เด็กหนุ่มคำรามในลำคอ ตวัดกระบี่ฟาดฟันแนวขวาง
คมกระบี่สาดประกายแวววับ
หัวคนลอยกระเด็นขึ้นไปในอากาศ
ฟู่!
โลหิตสีแดงสดพลันสาดกระจายลงไปบนพื้นหิมะสีขาวโพลนเกิดเป็นลวดลายประหลาดตายิ่งนัก