บทที่ 77 เข้าสู่ด้านมืด สาวกจอมปีศาจ
จากการประมูลก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะมีศิษย์บางคนจะได้เข็มกลัดไปมากกว่า 1 ชิ้น แต่จำนวนเข็มกลัด 4 ชิ้น ก็เพียงพอที่จะผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายได้โดยไม่มีปัญหา
เยว่หงเซียงยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
นางกลายเป็นเป้าแห่งความอิจฉาริษยาของหลายคนแล้ว
โดยเฉพาะจากศิษย์ที่ประมูลเข็มกลัดดาราไปด้วยราคาสูงลิ่ว
ทำไมถึงสองมาตรฐานอย่างนี้!
เยว่หงเซียงเพียงแค่นำผักกับผลไม้มาให้หลินเป่ยเฉินรับประทาน ก็ได้เข็มกลัดไปถึง 4 ชิ้น ในขณะที่พวกเขาต้องจ่ายเงินจำนวนมหาศาลกว่าจะได้มาสักชิ้นหนึ่ง
หลินเป่ยเฉินไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร เพราะหลังจากนั้น เขาควักเข็มกลัดดาราออกมาอีก 6 ชิ้น และส่งมอบให้แก่หลิงเฉินพร้อมกับพูดว่า “นี่สำหรับเจ้า ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ”
แม้หลิงเฉินแทบไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ แต่การที่นางยืนอยู่ข้างกายหลินเป่ยเฉินตลอดเวลา ก็ช่วยแก้ปัญหาได้หลายอย่าง นางคือคนที่ทำให้เด็กหนุ่มสามารถจัดการประมูลเข็มกลัดดาราได้อย่างราบรื่น เขาจะมอบเข็มกลัดส่วนหนึ่งเป็นสิ่งตอบแทนนางก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
หลินเป่ยเฉินรู้ดีว่าเข็มกลัด 1 ชิ้นมีมูลค่ามากมายเพียงใด
แต่เขาเป็นคนมีหลักการ
ลูกผู้ชายต้องไม่เอาเปรียบผู้หญิง
และเขาก็ได้ตอบแทนความช่วยเหลือของนางด้วย
หลิงเฉินมองหน้าเด็กหนุ่มอย่างใช้ความคิดอยู่เล็กน้อย ก่อนที่จะรับเข็มกลัดทั้ง 6 ชิ้นไปแต่โดยดี
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ราบรื่น
ตอนแรกนึกว่าต้องเสียเวลาคะยั้นคะยออีกยกใหญ่กว่าที่เจ้าหญิงจอมเย็นชาจะยอมรับเข็มกลัดไปจากเขาเสียอีก
เมื่อเป็นอย่างนี้ เท่ากับว่าหลินเป่ยเฉินเหลือเข็มกลัดไว้ให้ตัวเอง 10 ชิ้น
พอที่จะผ่านเข้ารอบต่อไปได้เช่นกัน
หลินเป่ยเฉินไม่เคยรู้สึกมีความสุขมากเท่านี้มาก่อน!
ขณะนี้ เป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว
แสงแดดริมทะเลสาบสาดส่องลงมาให้ความอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง
“อันที่จริง ข้าควรขอบคุณเจ้านะ เซินเฟย”
หลินเป่ยเฉินหันไปแสยะยิ้มให้แก่เด็กหนุ่มจากสำนักยุทธ์อิสระ
เซินเฟยรู้สึกไม่ต่างจากโดนบาทาเหยียบหน้า เพราะรู้แล้วว่าอะไรกำลังจะตามมา
หลินเป่ยเฉินพูดได้อย่างหน้าไม่อายว่า “หากเซินเฟยไม่ประเมินความสามารถของตัวเองสูงเกินไป และไม่ได้คิดเล่นงานหลิงเฉิน ข้าก็คงรวบรวมคนให้มาอยู่ในที่เดียวกันไม่ได้มากขนาดนี้ และบอกตามตรง ข้าก็คงเปิดการประมูลไม่สำเร็จด้วยซ้ำ…ข้าไม่รู้จะขอบคุณเจ้าอย่างไรจริงๆ”
“ฟังมันพูดเข้าเถอะ ไม่อายปากบ้างเลยหรือไง?” เซินเฟยมีสีหน้าคับแค้นใจจนอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แล้ว
ศิษย์โดยรอบอีกหลายคนต่างก็พูดอะไรไม่ออกเช่นกัน
เจ้าเศษขยะคนนี้รังแกผู้คนมากเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินทำลายภาพลักษณ์ของเซินเฟยไม่เหลือชิ้นดี
เถาว่านเฉิงกับหลี่เทาอยากจะสังหารหลินเป่ยเฉินทิ้งไปเสียเดี๋ยวนี้
พวกเขาทั้งสองต่างก็มีเข็มกลัดดาราอยู่กับตัวคนละชิ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ ยังรับประกันว่าจะได้เข้ารอบต่อไปไร้ปัญหา
แต่ตอนนี้ หลังจากที่หลินเป่ยเฉินเปิดการประมูลอันแสนเหลือเชื่อ แค่ศิษย์อันดับที่ 20 ก็มีเข็มกลัดถึง 3 ชิ้นแล้ว หมายความว่าหลี่เทากับเถาว่านเฉิงต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านไปพร้อมกับสถานะผู้ตกรอบ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อการแข่งขันครั้งนี้สิ้นสุดลง กลุ่มพวกเขาสามพี่น้องร่วมสาบาน ก็ไม่มีใครสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปสำเร็จเลยสักคน
นี่คือโศกนาฏกรรมโดยแท้จริง
เซินเฟยก้มหน้าต่ำ
ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย
เถาว่านเฉิงกับหลี่เทาจ้องมองหลินเป่ยเฉินด้วยแววตาเคียดแค้น เหมือนเด็กหนุ่มไปฆ่าบิดาพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น
แต่ยิ่งเห็นฝ่ายตรงข้ามโกรธแค้นมากเท่าไหร่ หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งสะใจมากขึ้นเท่านั้น
เขากำลังจะพูดถากถางอีกสักหลายประโยค
แต่ในวินาทีนั้นเอง หลิงเฉินพลันยื่นมือออกมาตะปบหัวไหล่ของเขา ฉุดดึงให้ถอยหลังพร้อมกับพูดว่า “ระวัง…”
ยังไม่ทันที่เสียงของนางจะจางหายไป…
วูบ!
ลำแสงสีดำก็พุ่งเข้ามาหาหลินเป่ยเฉิน
หลิงเฉินตวัดกระบี่ในมือซ้าย เกิดเป็นประกายเหมือนแสงดาวสว่างไสว
เคล้ง!
แล้วกระบี่ในมือหลิงเฉินก็แตกกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยปลิวว่อนไปทั่วบริเวณ
“ไม่จริงน่า…”
หลิงเฉินถึงกับกระเด็นไปด้านหลัง ต้องเซไปอีกหลายก้าวกว่าจะตั้งหลักได้มั่นคง ใบหน้าของนางกลายเป็นสีขาวซีด
ศิษย์โดยรอบพร้อมใจกันอุทานด้วยความตกตะลึง
ไม่มีใครคาดคิดว่าเรื่องนี้จะเกิดขึ้น
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว
“ฮี่ๆๆๆ.. ”
เซินเฟยที่ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ดีๆ พลันส่งเสียงหัวเราะจนตัวโยน รัศมีที่น่าหวาดกลัวสายหนึ่งแผ่ออกมาจากรอบกายของเขาอย่างเชื่องช้า
ฝ่ามือของเซินเฟยมีแสงสีดำปะทุเหมือนประกายไฟ
ไอปีศาจจำนวนหนึ่งลอยออกมาจากฝ่ามือของเขาด้วยเช่นกัน
“ไม่นะ นี่มันพลังปีศาจไม่ใช่หรือ!”
หวังซินอวี่ ศิษย์หญิงอัจฉริยะอันดับสี่ ร้องอุทานเสียงดังลั่น ดวงตาเบิกโตด้วยความพรั่นพรึง “พวกเรารีบถอยออกมาเร็ว ใครก็ได้ไปตามอาจารย์เดี๋ยวนี้ บอกพวกท่านว่าเซินเฟยเป็นสาวกจอมปีศาจแฝงตัวมา…”
“สาวกจอมปีศาจ!”
นี่คือคำต้องห้ามที่ทุกคนรู้ดี
คำพูดประโยคนี้เป็นเหมือนลางร้ายที่นำพามาสู่ความตายได้ทุกแห่งหน
พริบตานั้น ศิษย์โดยรอบพากันผงะถอยหลังด้วยความตื่นกลัว
มีเพียงหลี่เทากับเถาว่านเฉิงเท่านั้นที่แม้จะตกตะลึงตั้งตัวไม่ติด แต่ก็ยังยืนหยัดอยู่เคียงข้างลูกพี่ใหญ่ต่อไป
เด็กหนุ่มทั้งสองคนไม่อยากเชื่อเลยว่า พี่ใหญ่ที่พวกเขาเชื่อใจและยินดีมอบชีวิตให้ จะกลายเป็นสาวกจอมปีศาจไปแล้วจริงๆ
นี่มัน…
“เจ้าทำให้ข้าต้องทำเช่นนี้”
เซินเฟยเงยหน้าขึ้นมา พูดด้วยน้ำเสียงน่าขนลุก
แล้วแนวเส้นสีดำก็ปรากฏขึ้นทั่วร่างกายของเขาตลอดจนบนใบหน้า ดวงตาที่เคยปกติดีกลายเป็นสีแดงก่ำ แววตาเต็มไปด้วยความชั่วช้าสามานย์ เสริมสร้างบุคลิกให้ดูเหมือนปีศาจร้ายน่าหวาดกลัวมากขึ้นไปอีก
ไอลมปราณที่แผ่ออกมาจากตัวเซินเฟย ไม่ใช่ไอมนุษย์อีกต่อไปแล้ว
มันคือไอปีศาจ
เพียงชำเลืองมองแค่แวบเดียว ข้อมูลจำนวนมากก็หลั่งไหลเข้ามาในสมองของหลินเป่ยเฉิน
โลกจอมยุทธ์แห่งนี้มีเทพเจ้าดำรงอยู่จริงๆ
และเทพเจ้าที่ชาวจักรวรรดิทะเลเหนือเคารพบูชาก็คือเทพกระบี่
วิหารเทพกระบี่ถูกก่อสร้างไว้ทั่วดินแดน
ทว่า แต่ละภูมิภาคก็จะมีเทพเจ้าที่ชาวเมืองเคารพบูชาแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นเทพีแห่งดิน เทพีแห่งชัยชนะ เทพแห่งสงคราม เทพแห่งดวงจันทร์ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ก็มีบางภูมิภาคที่กราบไหว้เทพเจ้าองค์เดียวกัน
นั่นคือเรื่องราวที่ทุกคนรู้กันทั่วไป
เทพเจ้าเหล่านี้เป็นตัวแทนของแสงสว่าง ควรค่าต่อการกราบไหว้บูชา
แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน เมื่อมีตัวแทนแห่งแสงสว่าง ก็ต้องมีตัวแทนแห่งความมืดมิด และเทพเจ้าเหล่านี้ก็เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของมนุษย์ทุกหย่อมหญ้า
เพราะเทพเจ้าจากความมืด จะนำพามาซึ่งความตาย การพลัดพราก และความทรมานต่อโลกใบนี้
เทพเจ้าแห่งความมืดมีนามว่าจอมปีศาจ
บรรดาผู้ที่เคารพศรัทธาในจอมปีศาจ จะถูกสังคมรังเกียจยิ่งกว่าหนูสกปรกข้างถนน
หลินเป่ยเฉินหวาดกลัวแทบตายว่าหากสักวันหนึ่งตัวตนที่แท้จริงของเขาถูกเปิดเผย ว่าเป็นบุคคลย้อนเวลามาจากต่างมิติ ตนเองคงถูกสังคมรังเกียจไม่ต่างจากคนที่เป็นสาวกจอมปีศาจ และน่าจะโดนจับไปเผาไฟทั้งเป็นที่ลานจัตุรัสหน้าวิหารเทพกระบี่แน่นอน เพราะเป็นกฎซึ่งรู้กันดีว่าใครก็ตามที่เป็นสาวกจอมปีศาจ จะต้องถูกจับไปประหารชีวิตด้วยการเผาทั้งเป็น
พฤติกรรมของเซินเฟยในตอนนี้ บอกชัดเจนว่าเขาเป็นสาวกจอมปีศาจคนหนึ่ง
“เจ้าบังคับให้ข้าต้องทำเช่นนี้”
ดวงตาสีแดงก่ำของเซินเฟยจ้องมองหลินเป่ยเฉินไม่วางตา ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยลวดลายสีดำน่าขนลุกขนพอง
แต่สิ่งที่แปลกประหลาดมากกว่านั้น ก็คือเสียงของเด็กหนุ่มเปลี่ยนไป
ก่อนหน้านี้ยังเป็นเสียงผู้ชายปกติ แต่ขณะนี้ เสียงที่พูดออกมากลายเป็นเสียงผู้หญิงไปแล้ว
“ข้าแค่อยากเข้าสู่รอบต่อไปให้ได้ มันไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรเลย แต่เจ้าก็ทำลายแผนการของข้าครั้งแล้วครั้งเล่า จนบีบบังคับให้ข้าต้องเปิดเผยตัวเอง…หลินเป่ยเฉิน เจ้ามันโง่เหลือเกิน เจ้าไม่รู้เสียแล้วว่าทำอะไรลงไป จงไถ่บาปของเจ้าด้วยความตายเสียเถิด”
ระหว่างที่พูดประโยคนี้ เสียงเล็กๆ ของเซินเฟยก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?” หลินเป่ยเฉินได้แต่คิดอยู่ในใจด้วยความสับสน “หมอนี่แม่งเป็นกะเทยเหรอ?”