ตอนที่ 767 ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต
เสลี่ยงของเหลียงหยวนเตาพลันปกคลุมด้วยเหรียญทองคำ
เหรียญทองคำส่องประกายระยิบระยับรอบทิศทาง
ขันทีผู้ทำหน้าที่แบกเสลี่ยงทั้งสิบคนยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ความรู้สึก พวกเขาไม่แสดงท่าทางการปัดป้อง หรือหลบเลี่ยงใด ๆ ราวกับมั่นใจว่าเหรียญทองคำเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายตนเองได้แน่นอน
ขันทีทั้งสิบคนไม่ต่างจากศพที่มีชีวิต
ลมหายใจต่อมา เมื่อกลุ่มเหรียญทองคำกำลังจะพุ่งเข้าไปกระทบกับเสลี่ยงของท่านเจ้าเมือง ทันใดนั้นเอง มวลอากาศโดยรอบในรัศมีสองวาก็ระเบิดแสงสว่างเจิดจ้า
เหรียญทองคำทั้ง 99 เหรียญถูกดูดเข้าไปในต้นกำเนิดแสงสว่างนั้น แล้วความเร็วของพวกมันก็ลดลง สุดท้าย บรรดาเหรียญทองคำก็ลอยค้างอยู่กลางอากาศ ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้อีกต่อไป
คล้ายกับว่ามีม่านพลังที่มองไม่เห็นคอยคุ้มครองเสลี่ยงของชายอ้วน
แปลกประหลาด
น่าขนลุก
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ต่างจากปาฏิหาริย์
เห็นดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ไม่แสดงอาการประหลาดใจออกมาแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มคิดอยู่แล้วว่าเหรียญทองคำของตนเองคงไม่สามารถโจมตีเหลียงหยวนเตาได้สำเร็จอยู่แล้ว
เพราะขนาดโทรศัพท์มือถือของเขายังไม่สามารถสแกนข้อมูลของชายอ้วนผู้นี้ เพราะฉะนั้น การโจมตีขั้นพื้นฐานคงไม่มีทางสามารถใช้งานกับเหลียงหยวนเตาได้เด็ดขาด
หลินเป่ยเฉินทราบดีว่าสำหรับการโค่นล้มผู้ที่มีสถานะเป็นท่านเจ้าเมืองผู้ปกครองนครเจาฮุย เขาต้องใช้ความพยายามมากกว่านี้
ตอนแรก เด็กหนุ่มตั้งใจจะพูดด้วยเสียงเข้มขรึมเพื่อเอาเท่ว่า “ประเสริฐ ดูเหมือนว่าท่านจะมีคุณสมบัติดีพอเป็นคู่ต่อสู้ของข้า”
แต่ในพริบตาต่อมานั้น เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าของเขาก็ต้องบิดเบี้ยวด้วยความโกรธแค้นสุดขีด
“เจ้าตัวบัดซบมารดาสำส่อน…”
หลินเป่ยเฉินคำรามด้วยความเดือดดาล
เพราะว่าเหรียญทองคำของเขาที่ลอยค้างอยู่กลางอากาศค่อย ๆ ละลายหายไปต่อหน้าต่อตา
เหรียญทองคำเหล่านั้นละลายกลายเป็นของเหลวหยดย้อยลงไปผสมกับดินโคลน หิมะและกองเลือดบนพื้นดิน ได้ยินเสียงดังฉ่าฉ่า ปรากฏว่าเมื่อของเหลวสีทองคำเหล่านั้นกระทบพื้นดิน พวกมันก็จะส่งควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาในอากาศ
“ฮื่อ เงินของข้า…”
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย
เหรียญทองคำ 99 เหรียญ
มีค่าเท่ากับเงิน 990,0000 หยวน
เงินก้อนใหญ่สูญสลายหายไปในพริบตา
นี่เขาร่ำรวยถึงขนาดเอาเงินมาละลายเล่นเช่นนี้ได้แล้วหรือ?
การเห็นเงินของตนเองละลายหายไปต่อหน้าต่อตา ทำให้เด็กหนุ่มเจ็บปวดยิ่งกว่าถูกควักหัวใจเสียอีก
“ข้าจะทำให้เจ้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
หลินเป่ยเฉินเงยหน้ามองไปที่เหลียงหยวนเตาด้วยแววตาโกรธแค้นราวกับว่าอีกฝ่ายฆ่าภรรยาและชิงตัวบุตรชายของเขาไปอย่างไรอย่างนั้น
ตุบ!
หลินเป่ยเฉินกระทืบเท้าลงไปบนพื้นดิน รอยร้าวที่เหมือนกับใยแมงมุมแผ่ขยายไปบนพื้นดินทันที แล้วร่างกายของเขาก็หายวับไป
ในเวลาเดียวกันนี้
เหลียงหยวนเตาที่นั่งนิ่งเฉยอยู่บนเสลี่ยงตลอดเวลาขณะนี้ก็มีแสงสว่างเรืองรองออกมาจากร่างกายแล้วเช่นกัน
ในที่สุด ชายอ้วนก็ต้องแสดงฝีมือ
เขาโบกสะบัดมือขวาเล็กน้อย
แล้วเสลี่ยงก็ลดความสูงลงอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของขันทีผู้แบกเสลี่ยงทั้งสิบคนพลันบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด กล้ามเนื้อบนใบหน้าของทุกคนกระตุกระริก พลังลมปราณกระจัดกระจาย พวกเขาพยายามยืนหยัดอยู่ต่อไป แต่สองเท้ากลับจมหายลงไปใต้พื้นดินลึกลงถึงข้อเท้า
เหลียงหยวนเตาดีดตัวขึ้นไปจากเสลี่ยง
ชั้นไขมันบนร่างกายของเขาสั่นกระเพื่อม ไม่ต่างจากภูเขาก้อนเนื้อที่ลอยอยู่กลางอากาศ ในเวลาเดียวกันนี้ ชายอ้วนก็รัวหมัดออกมาปล่อยทั้งหมัดซ้ายและหมัดขวา
หมัดซ้ายของเขากระแทกเข้ากับอากาศธาตุที่ว่างเปล่า
ทว่า ลมหายใจต่อมา หลินเป่ยเฉินกลับปรากฏตัวขึ้นตรงนั้น
ผลั่ก!
ควับ!
เสียงหมัดและเสียงกระบี่ดังขึ้นในอากาศ
เด็กหนุ่มรูปหล่อและชายอ้วนแลกเปลี่ยนฝีมือกันหลายกระบวนท่ากลางอากาศ
เงาร่างของผู้คนเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วแทบมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ประกายไฟสาดกระจายต่อเนื่อง คลื่นพลังแผ่ปกคลุมรอบบริเวณ
เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ไม่ทราบเลยว่าหลินเป่ยเฉินกับเหลียงหยวนเตาใช้ออกมาแล้วกี่กระบวนท่า พลังลมปราณของพวกเขาแผ่กระจายไปรอบบริเวณ ไม่ต่างจากคลื่นน้ำในมหาสมุทรที่สาดซัดเข้าหาชายฝั่งระลอกแล้วระลอกเล่า…
หิมะที่กองทับถมอยู่บนพื้นดิน
ฟุ้งกระจายในอากาศ
เหล่าขุนนางใหญ่ล่าถอยออกไปภายใต้การคุ้มกันขององครักษ์
โดยเฉพาะกับผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่ง แต่ระดับพลังอยู่ในขั้นธรรมดา พวกเขาจำเป็นต้องมีองครักษ์ประจำกาย คนกลุ่มนี้ไม่สามารถทนทานพลังกดดันในขณะนี้ได้อีกแล้ว หากยังอยู่ที่นี่ต่อไป พวกเขาก็ไม่ต่างไปจากปลาที่กระโดดขึ้นมาเกยตื้นอยู่เหนือผิวน้ำ ยิ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งขาดอากาศหายใจมากเท่านั้น
ส่วนบรรดายอดฝีมือระดับเจ้าสำนักยังคงรับชมการต่อสู้ต่อไปด้วยความตื่นเต้นลุ้นระทึก
พวกเขาไม่เคยพบเห็นผู้ใดมีพลังสูงส่งถึงขั้นนี้มาก่อน
โดยเฉพาะกับหลินเป่ยเฉินที่อาศัยการโจมตีด้วยแรงกาย
แทบไม่ได้ใช้พลังลมปราณเลยด้วยซ้ำ
แต่ความแข็งแรงของร่างกายเด็กหนุ่ม ก็ทำให้เหล่ายอดฝีมือต้องงุนงงไปตาม ๆ กัน
เพราะเหตุใด หลินเป่ยเฉินจึงมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงของร่างกายหรือความแข็งแกร่งของพลังลมปราณ เรียกได้ว่าหลินเป่ยเฉินมีความสูงล้ำมากกว่าบรรดายอดฝีมือระดับเจ้าสำนักไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า
ทั้ง ๆ ที่พวกเขามีความชำนาญในการใช้พลังลมปราณสร้างชุดเกราะ มีความชำนาญในด้านการต่อสู้ มีความชำนาญในด้านการใช้ค่ายอาคม มีอายุขัยที่ยืนยาว มีร่างกายที่บำรุงด้วยทรัพยากรสมุนไพรวิเศษไม่เคยขาด มีทุกอย่างเพียบพร้อมมากกว่าหลินเป่ยเฉิน แต่ถ้าให้ต่อสู้กัน พวกเขาก็ไม่แน่ใจเลยว่าตนเองจะสามารถเอาชนะหลินเป่ยเฉินได้จริง ๆ
ไม่มีสิ่งใดให้เคลือบแคลงสงสัยอีกต่อไป
และที่สำคัญก็คือ ณ ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินสามารถลอยตัวต่อสู้อยู่ในอากาศได้เป็นระยะเวลานาน ทั้งที่ตามความน่าจะเป็นแล้ว เด็กหนุ่มสมควรทิ้งตัวลงมาเพื่อสะกิดเท้าลงบนพื้นดิน และส่งตัวเองลอยกลับขึ้นไปใหม่เป็นระยะ ๆ
เพราะตราบใดที่ยังลอยค้างอยู่กลางอากาศเช่นนี้ เรี่ยวแรงในร่างกายก็จะเสื่อมถอยลง และเพียงไม่นาน เขาก็จะต้องพ่ายแพ้ให้แก่คู่ต่อสู้
แต่หลินเป่ยเฉินกลับสามารถยื้อเวลานานขนาดนี้ได้อย่างไร
ในประวัติศาสตร์แผ่นดินตงเต้า ไม่เคยมีเคล็ดวิชาใดทำให้คนเราสามารถลอยตัวในอากาศได้เนิ่นนานขนาดนี้มาก่อน
แต่หากใช้งานค่ายอาคมหรือรับประทานสมุนไพรบางชนิดเป็นตัวช่วย มันก็พอมีทางเป็นไปได้อยู่บ้าง
บัดนี้ คลื่นพลังแห่งการทำลายล้างที่แผ่ออกมาจากหลินเป่ยเฉินกับเหลียงหยวนเตา ยิ่งมาก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นอย่างน่ากลัว
ยอดฝีมือจำนวนมากเคยได้ยินชื่อเสียงของหลินเป่ยเฉินมาก่อน แต่พวกเขาก็ไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มจะมีร่างกายแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ทว่า นั่นก็ยังไม่เท่าความแข็งแกร่งที่เหลียงหยวนเตากำลังแสดงออกมา
นี่คงเป็นฝีมือที่แท้จริงของท่านเจ้าเมืองสินะ?
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางใหญ่ มหาเศรษฐี หรือนายทหารจากกองทัพ พวกเขาล้วนพบว่ายิ่งตนเองขบคิดมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากเท่านั้น
ทุกคนล่าถอยออกไปอย่างต่อเนื่อง
เหลือเพียงแต่หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองผู้เฝ้าประตูหน้าค่ายที่พักผู้อพยพเท่านั้น ที่ยังคงยืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ราวกับเป็นต้นสนเก่าแก่ที่ไม่แยแสสายลมรุนแรง แม้ว่าคลื่นพลังในอากาศจะทำให้ชุดเกราะของพวกเขาสั่นสะเทือน แต่ตัวคนกลับไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย
ครืน!
ได้ยินเหมือนเสียงฟ้าคำรามดังกังวาน
แล้วร่างของเด็กหนุ่มกับชายอ้วนที่ต่อสู้กันอยู่กลางอากาศก็แยกออกจากกัน
เหลียงหยวนเตาผู้เป็นเสมือนภูเขาก้อนเนื้อทิ้งตัวกลับลงไปบนเสลี่ยงของตนเองอีกครั้ง
เสลี่ยงขนาดใหญ่ยักษ์ถึงกับโครงเครงทันที
ขันทีทั้งสิบคนเพิ่งจะได้ดึงข้อเท้าของตนเองกลับขึ้นมาจากพื้นดิน ใบหน้าของพวกเขาก็ต้องแดงก่ำอีกหน ทุกคนพยายามเหยียดหลังตรง แต่ร่างกายกลับไม่ต่างไปจากตะปูมนุษย์ที่ถูกตอกลึกลงไปบนพื้นดิน คราวนี้ พวกเขาถึงกับจมหายลงไปใต้ดินครึ่งลำตัวแล้ว
หลินเป่ยเฉินหมุนตัวตีลังกากำลังจะกลับลงไปถึงพื้น
แต่จังหวะนั้น เขาก็นำกระบี่เงินสองเล่มออกมาเหยียบอยู่ใต้เท้า ก่อนควบคุมด้วยพลังปราณธาตุทองคำ แต่ตอนที่กำลังจะบังคับให้กระบี่บินกลับขึ้นไปในอากาศนั้น เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงแตกหักดังเปรี๊ยะ ปรากฏว่าเขาทำสันกระบี่แตกหักไปเสียแล้ว และต้องนำกระบี่ออกมาเพิ่มเติมอีกถึงแปดเล่ม จึงจะสามารถทรงตัวอยู่กลางอากาศได้อย่างมั่นคง
ให้ตายสิ
มิน่าล่ะ พวกนักการเมืองถึงชอบบอกว่าสงครามยุคใหม่ คือการแข่งขันกันผลาญเงินนั่นเอง
เพราะสำหรับเขาเองในตอนนี้ก็ไม่ต่างกันเลย
เมื่อสักครู่ หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะเสียเหรียญทองคำไป 99 เหรียญต่อหน้าต่อตา มาบัดนี้ เขาก็ต้องเสียกระบี่คุณภาพสูงไปอีกถึงสองเล่ม
เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก้มมองลงไปที่เหลียงหยวนเตา
บอกตามตรง บัดนี้ คุณชายหลินกำลังตกตะลึงอยู่ไม่น้อย
เจ้าหมูตอนปีศาจนั่นมีความแข็งแกร่งถึงขนาดนี้เชียวหรือ?
ขนาดหลินเป่ยเฉินมีร่างกายอยู่ในระดับเดียวกับผู้ที่มีพลังขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย ก็แทบจะปัดป้องการโจมตีของเหลียงหยวนเตาไม่สำเร็จ
แต่ชายอ้วนที่น่าจะเป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคเก๊าท์ โรคไขมันพอกตับ โรคไขมันอุดตันเส้นเลือด กลับไม่ได้มีทีท่าเหน็ดเหนื่อยจากการต่อสู้กับเขาเมื่อสักครู่นี้เลยได้อย่างไร?
ไม่ต้องแปลกใจอีกแล้วว่าเพราะเหตุใดโทรศัพท์มือถือของหลินเป่ยเฉินถึงสแกนข้อมูลเหลียงหยวนเตาไม่ได้
แต่ในเมื่อเริ่มต่อสู้แล้ว ก็ต้องสู้ต่อให้จบ!
แม้ว่าระดับพลังของหลินเป่ยเฉินจะไม่สามารถฆ่าชายอ้วนผู้นี้ได้เลยก็ตาม!
ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีนะ?
เขาจะฆ่าเจ้าหมูตอนปีศาจคนนี้อย่างไรดี?