ตอนที่ 771 น่ากลัวเกินไปแล้ว
ทันใดนั้น เฉียนเหมยที่รอคอยจังหวะอยู่ตลอดเวลา ก็ยกนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของมือซ้ายเข้าสู่ด้านในริมฝีปาก ก่อนส่งเสียงเป่าปากออกมาดังหวีดหวิว หลังจากนั้น นางก็ควงกระบี่ที่ยาวกว่าหกเซี๊ยะพุ่งทะยานเข้าหากองทัพของศัตรูพร้อมด้วยเจ้าหมาป่าน้ำแข็งเสี่ยวซาน
เห็นดังนั้น กลุ่มนายทหารคนงานขุดเหมืองที่ยืนตั้งแถวอยู่ด้านหลังก็ระเบิดเสียงคำรามกึกก้อง ทุกคนกระชับกระบี่ในมือ และวิ่งออกมาข้างหน้าเช่นกัน
สิบลมหายใจต่อมา การปะทะหักล้างที่แท้จริงอุบัติขึ้น
หากมองลงมาจากที่สูงก็จะเห็นเป็นคลื่นมนุษย์สองกลุ่มพุ่งเข้าหากันด้วยความหนักหน่วงรุนแรง โลหิตสาดกระจายในอากาศ เสียงกรีดร้องดังขึ้นไม่รู้จบ ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว
ภายในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ ไม่ทราบเลยว่าต้องมีนายทหารยอดฝีมือจำนวนกี่คน ต้องล้มตายลงหรือไม่ก็ร่างกายพิการตลอดชีวิตจากการห้ำหั่นในครั้งนี้
ยามที่จะกองทัพทั้งสองฝ่ายเข้าปะทะกัน นายทหารที่อยู่แนวหน้าก็มีโอกาสเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บมากที่สุด
แต่ครั้งนี้กลับเป็นฝ่ายกองทัพเว่ยซานเพียงข้างเดียวเท่านั้นที่บาดเจ็บล้มตาย
เฉียนเหมยนำทัพบุกโจมตีอยู่ด้านหน้า กระบี่ยักษ์ทั้งสองเล่มในมือนางตวัดกวัดแกว่งด้วยความว่องไวและแม่นยำ หนึ่งคนและหนึ่งหมาป่าบุกโจมตีไปด้วยกันไม่ต่างจากแสงและเงา เด็กสาวมีสภาพเป็นกังหันมรณะที่ไม่ว่าเคลื่อนผ่านไปยังบริเวณใด พื้นที่บริเวณนั้นก็จะมีผู้คนตกตายดั่งใบไม้ร่วง…
พื้นที่ในรัศมีหลายสิบวารอบกายแม่ทัพเฉียนเหมยคล้ายกับมีค่ายอาคมสังหาร โลหิตสีแดงสดไหลนองเต็มพื้นดิน ซากศพของนายทหารกองทัพเว่ยซานเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย ไม่ว่าเด็กสาวเคลื่อนกายไปตรงจุดไหน จุดนั้นก็จะไม่หลงเหลือศัตรูอยู่อีกต่อไป
และนอกเขตรัศมีสังหารของนาง กลุ่มนายทหารกองทัพเว่ยซานก็ยังคงล้มตายอย่างต่อเนื่อง
บัดนี้ กองกำลังนายทหารคนงานขุดเหมืองได้แสดงความน่ากลัวของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ เมื่อเผชิญหน้ากับกองกำลังของนครเจาฮุย อดีตคนงานขุดเหมืองเหล่านี้ก็แสดงทักษะการต่อสู้ที่แท้จริงออกมาให้ทุกคนได้ประจักษ์ การรบพุ่งที่เกิดขึ้น จึงกลายเป็นการไล่สังหารแต่เพียงฝ่ายเดียวไปเสียแล้ว
เมื่อเห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้ แม่ทัพใหญ่โค้วจงก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้อีก
เขากำลังตกตะลึง
ไม่ได้การ
มันไม่ควรเป็นเช่นนี้เลย
ยิ่งก่อนหน้านี้แม่ทัพใหญ่โค้วจงมั่นใจในขุมกำลังของตนเองมากเท่าไหร่ บัดนี้ เขาก็ยิ่งตกตะลึงในฝีมือที่แท้จริงของกองทหารคนงานขุดเหมืองมากเท่านั้น
วันนี้ โค้วจงต้องการเอาใจเหลียงหยวนเตาจึงเรียกรวมตัวขุนพลคนสนิทของตนเองจากกองทัพเว่ยซานมาครบถ้วน
ผลก็คือ เมื่อขุนพลคนสนิทของเขาเผชิญหน้ากองทหารคนงานขุดเหมือง ทุกคนกลับต้องตกตายโดยไร้หนทางต่อสู้
ไม่ต่างจากเด็กน้อยที่คิดอ่านไปสู้กับผู้ใหญ่
“ท่านแม่ทัพ ระวังตัว”
เสียงร้องตะโกนของกงซุนไป๋ที่ดังขึ้นด้านหลังฉุดโค้วจงออกจากภวังค์ แม่ทัพใหญ่เงยหน้าขึ้นมองภาพเบื้องหน้า ก่อนที่จะต้องเย็นเฉียบไปทั่วร่างกายด้วยความหวาดผวา
เพราะบัดนี้ แม่ทัพเฉียนเหมยใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็สังหารกลุ่มนายทหารที่ขวางทางอยู่หมดสิ้น นางและหมาป่าคู่ใจวิ่งตะบึงเข้ามาอยู่ห่างจากพวกเขาไม่ถึงสิบวาแล้ว และกลุ่มองครักษ์รอบกายก็ไม่มีผู้ใดสามารถเหนี่ยวรั้งนางได้แม้แต่คนเดียว…
“รีบคุ้มกันข้า…”
โค้วจงร้องตะโกนด้วยความแตกตื่น
ด้วยความตึงเครียดที่เกิดขึ้น โค้วจงจึงเกือบลืมไปแล้วว่าตนเองก็เป็นผู้ที่มีพลังในขั้นยอดปรมาจารย์เช่นกัน
แต่ลมหายใจต่อมา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเห็นในสายตากลับหมุนวนตีลังกา
แม่ทัพใหญ่ผู้ขี่อยู่บนแผ่นหลังของเสือสายฟ้าและสวมใส่ชุดเกราะหนาแน่น กลับสามารถมองเห็นแผ่นหลังของตนเองเหยียดตั้งตรง ในขณะที่มีเลือดพุ่งออกมาจากกลางหน้าอกราวน้ำพุ…
“นั่นมัน…ตัวข้าเองไม่ใช่หรือ?”
กว่าที่โค้วจงจะรู้ตัว เขาก็มองเห็นร่างของตนเองล้มลงไปบนพื้นดินแล้ว
ทำไมเขาถึงเห็นร่างของตัวเองได้ล่ะ?
เมื่อคำถามนี้ปรากฏขึ้นในจิตใจ ความหวาดกลัวก็ถาโถมเข้ามา
ห้วงภวังค์สุดท้ายในชีวิตของแม่ทัพใหญ่โค้วจงหวนนึกถึงเงินมูลค่าหลายล้านทองคำที่เขามอบให้แก่หลินเป่ยเฉิน และเขาก็คิดเสียใจที่ตนเองตั้งตัวเป็นศัตรูกับเด็กหนุ่มผู้นี้…
เขาน่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าจุดจบจะเป็นเช่นไร
กว่าที่จะสำนึกเสียใจก็สายเกินไปแล้ว ความมืดมิดครอบคุมสติสัมปชัญญะ แล้วชีวิตของแม่ทัพใหญ่โค้วจง ก็จบสิ้นลงแต่เพียงเท่านี้
“แย่แล้ว ท่านแม่ทัพถูกสังหาร…”
“เด็กสาวผู้นี้สามารถสังหารท่านแม่ทัพโค้วได้อย่างไร…”
“ท่านแม่ทัพโค้วตายแล้ว ท่านแม่ทัพโค้วตายแล้ว!”
เสียงอุทานดังขึ้นรอบทิศทาง
ลมหายใจต่อมา ลำแสงสีฟ้าครามก็เคลื่อนผ่าน
ฉับ!
ธงผืนใหญ่ประจำกองทัพเว่ยซานถูกฟันขาดสะบั้น
เสาธงเหล็กกล้าหักขาดเป็นสองท่อนล้มฟาดลงไปบนพื้นดิน
ภาพเหล่านี้ทำให้นายทหารกองทัพเว่ยซานเจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งหัวใจ
ผืนธงประจำกองทัพถูกทำลาย
แม่ทัพใหญ่เสียชีวิต
นี่คือสถานการณ์ที่พวกเขาไม่เคยเผชิญมาก่อน
“แม่ทัพโค้วของพวกเจ้าตายแล้ว เลือกเอาว่าจะยอมแพ้ หรือยอมตายตามกันไป”
เสียงตะโกนของหลินเป่ยเฉินดังออกมาจากยอดไม้ใจกลางค่ายที่พัก
เสียงของเด็กหนุ่มดังกังวานไม่ต่างจากเสียงฟ้าคำราม
แม้แต่หลินเป่ยเฉินเองก็ยังอดตะลึงในทักษะการต่อสู้ที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดดของเฉียนเหมยกับเสี่ยวซานไม่ได้
การโจมตีที่เพิ่งพบเห็นด้วยตาของตนเองนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงเรื่องราวของกวนอูจากตำนานสามก๊กที่อาศัยเซ็กเธาว์ม้าคู่ใจเคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วว่องไวบุกตะลุยผ่านสนามรบ ปลิดชีพศัตรูโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้มีเวลาตั้งตัว
การเคลื่อนไหวของเฉียนเหมยกับเสี่ยวซาน มีความสมบูรณ์แบบไม่ต่างจากกวนอูกับม้าเซ็กเธาว์
หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็คือความเร็วของเสี่ยวซาน มีมากกว่าม้าเซ็กเธาว์ด้วยซ้ำ
แม้เบื้องหน้าของมันจะมีสิ่งกีดขวาง แต่ทุกอย่างกลับไม่สามารถลดทอนความว่องไวของมันได้เลย เสี่ยวซานบุกตะลุยไปข้างหน้าด้วยความเร็วในระดับที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้อีกแล้ว
มันมีความเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าฟาด
เมื่อผนวกเข้ากับพลังการโจมตีของกระบี่ในมือเฉียนเหมย แม่ทัพโค้วจงผู้บัญชาการคนสำคัญของกองทัพเว่ยซาน จึงถูกตัดศีรษะอย่างง่ายดายในกระบวนท่าเดียว
เขาตกตายโดยที่ผู้คนรอบกายไม่มีโอกาสช่วยเหลือ
กว่าที่ทุกคนจะตั้งสติได้มันก็สายเกินไปแล้ว
หลินเป่ยเฉินส่งเสียงคำรามออกมาอีกหลายครั้ง
จิตใจที่ด้านชาของกลุ่มนายทหารถูกเสียงคำรามของเด็กหนุ่มหลอมละลายไม่ต่างจากหิมะที่ถูกแสงแดดแผดเผา
ไม่มีใครรู้เลยว่าผู้ใดเป็นคนกระทำคนแรก แต่แล้วนายทหารกองทัพเว่ยซานก็ทยอยโยนอาวุธทิ้งไปและคุกเข่าลงบนพื้นดิน
ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากเกินไป
อย่าว่าแต่กับนายทหารธรรมดา แม้แต่แม่ทัพคนสนิทของโค้วจงอย่างกงซุนไป๋ ผู้บัญชาการกองพลม้าขาว ก็ยังไม่มีเวลาทำสิ่งใดทั้งสิ้น โค้วจงถึงแก่ความตายรวดเร็วมากเกินไป และด้วยความที่ตนเองอยู่ใกล้ชิดแม่ทัพใหญ่มากที่สุด กงซุนไป๋จึงยังไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจใดๆ ทั้งสิ้น
พวกเขาพ่ายแพ้แล้ว
กองทัพที่นำโดยแม่ทัพใหญ่โค้วจงต้องล่มสลายลงไปในเวลาเพียงชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วยเท่านั้น
เช่นเดียวกับกองทัพที่นำโดยหวงเฟิงและหลิวหยุน
แม่ทัพใหญ่หวงเฟิงถูกเซียวปิงซุ่มยิงด้วยปืนไรเฟิล 98k จากยอดต้นสนต้นหนึ่ง และถึงแก่ความตายตามแม่ทัพใหญ่โค้วจงไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
เมื่อเห็นดังนั้น จวงปู้โจวก็นำกองกำลังทหารคนงานขุดเหมืองของตนเองบุกเข้าไปตีกองทหารของแม่ทัพใหญ่หวงเฟิงที่เหลืออยู่แตกสลายในเวลาอันรวดเร็ว
ทางด้านแม่ทัพใหญ่หลิวหยุนก็ต้องถึงแก่ความตายด้วยฝีมือของอากวง อดีตราชันย์หนูอสูรแอบย่องล่องหนเข้าไปอยู่ด้านหลังและใช้ไม้กลองในมือฟาดศีรษะหลิวหยุนตายคาที่ ในเวลาเดียวกันนี้ เจ้าเสือมีปีกผู้เป็นลูกเลี้ยงของมันก็จัดการเหล่านายทหารผู้ติดตามของแม่ทัพใหญ่หลิวหยุนตกตายตามกันไปอีกเกือบร้อยคน…
“ปลดอาวุธพวกเขา ไม่จำเป็นต้องฆ่ากันอีกแล้ว”
“ยอมแพ้ซะ แล้วพวกเจ้าจะรอดชีวิต”
“พวกเราเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเข่นฆ่ากันเอง”
“พวกเราชาวจักรวรรดิเป่ยไห่ จะไม่ฆ่าชาวจักรวรรดิเป่ยไห่ด้วยกันเองอีกแล้ว”
เสียงตะโกนจากกลุ่มยอดฝีมือประจำค่ายผู้อพยพดังกังวานในอากาศ สะเทือนแผ่นฟ้า สะท้านแผ่นดิน
เมื่อกองทัพใหญ่ประจำนครเจาฮุยสูญเสียแม่ทัพผู้บังคับบัญชาคนสำคัญทั้งสามคน พวกเขาก็ถูกตีแตกสลายง่ายดายยิ่ง
บรรดาขุนนางใหญ่ที่เฝ้าดูสถานการณ์อยู่ด้านนอก ก็ถึงกับตกตะลึงและหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว
กองทัพที่เพิ่งถูกตีแตกแหลกสลายลงนี้นับเป็นสุดยอดกองทัพประจำเมืองของพวกเขา นี่คือนายทหารฝีมือดีสามหมื่นชีวิตที่มีความเพียบพร้อมทุกประการในการถล่มค่ายผู้อพยพของชาวเมืองหยุนเมิ่ง แต่ความเป็นจริงที่ทุกคนได้พบเห็นก็คือ กองทหารสามพันชีวิตของผู้อพยพกลับสามารถเอาชนะกองทัพใหญ่ประจำเมืองได้ในเวลาอันรวดเร็ว มิหนำซ้ำ ยังมีนายทหารจำนวนไม่น้อยถูกจับตัวเข้าไปในค่ายผู้อพยพอีกด้วย…
น่ากลัวเกินไปแล้ว
เหตุการณ์ครั้งนี้น่ากลัวเกินกว่าที่จะเป็นความจริง!!