ตอนที่ 773 ระเบิดพลีชีพ
ร่างของมือปราบอินทรีธูมรณะหลายร้อยคนที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศพลันระเบิดพลังลมปราณออกมาอย่างรุนแรง เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมใส่โป่งพอง ตอนที่เท้าของทุกคนกลับลงมาสัมผัสพื้นดิน ตัวคนก็ระเบิดกระจายคล้ายกับเป็นลูกโป่งที่สูบลมมากเกินไป…
ตู้ม!
เศษเลือดเศษเนื้อสาดกระจาย
จังหวะที่ร่างกายผู้คนระเบิดออก คมกระบี่ ชุดเกราะ ชิ้นส่วนกระดูกและอวัยวะส่วนต่าง ๆ ล้วนพุ่งไปรอบทิศทางไม่ต่างจากลูกธนูคมกริบ
กลายเป็นมหันตภัยใหญ่หลวง
แต่ผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนกลับเป็นบรรดาเชลยศึกอดีตนายทหารกองทัพเว่ยซานซึ่งอยู่ใกล้ศูนย์กลางแรงระเบิดมากที่สุด พวกเขาไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะ จึงไม่มีสิ่งใดคอยคุ้มกันร่างกายอีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ ร่างกายของพวกเขาจึงเปราะบางยิ่งกว่าแผ่นกระดาษ แขนขาขาดกระจายจากการปะทะคลื่นแรงสั่นสะเทือน!
ส่วนผู้คนที่ยืนห่างออกมาไม่ไกลต่างก็รู้สึกร่างกายสั่นไหวเช่นกัน
เมื่อก้มลงมองสำรวจร่างกาย พวกเขากลับพบรูโบ๋ขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตามหน้าอกและช่วงท้องของตนเอง โลหิตไหลทะลักออกมาราวกับน้ำพุ กระดูกสีขาวแตกหักทิ่มแทงทะลุผิวหนัง
ทันใดนั้น สายตาของทุกคนพร่าเลือน ความอ่อนล้าถาโถมรุนแรง หูได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตระหนก ก่อนที่ใครหลายคนจะเริ่มทยอยล้มโครมลงไปบนพื้นดิน!
และมีอีกจำนวนไม่น้อยที่โชคร้ายมากกว่านั้น
พวกเขาแขนขาด ขาขาด ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังไม่ถึงแก่ความตายโดยทันที ทุกคนทำได้เพียงส่งเสียงร้องโหยหวน พยายามตะเกียกตะกายบนพื้นดิน ปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไป พวกเขาพยายามตะกายหนีให้พ้นจากศูนย์กลางแรงระเบิดอย่างน่าเวทนา…
แต่สถานการณ์ยิ่งย่ำแย่มากกว่าเดิม
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
มือปราบอินทรีธูมรณะอีกจำนวนนับไม่ถ้วนทิ้งตัวลงมาอยู่บนพื้นดินด้วยเสื้อผ้าที่โป่งพอง พลังลมปราณสูบฉีดเต็มอัตรา ก่อนร่างกายระเบิดกระจายตามกันไปอย่างรวดเร็ว
เป็นเวลาเพียงพริบตาเดียวเท่านั้น นายทหารจากกองทัพเว่ยซานกว่า 20,000 ชีวิตก็ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้แรงระเบิด โลหิตสาดกระจายในอากาศปะปนกับหิมะที่โปรยปรายลงมาเป็นสีสันงดงาม…
ภาพเหตุการณ์ในครั้งนี้ไม่ต่างจากการสร้างสรรค์ของจิตรกรเอก
มีความสวยงามระคนน่าหวาดกลัว
ผู้คนตกตายดั่งใบไม้ร่วง
กลุ่มคนดูซึ่งเป็นขุนนางใหญ่และยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดมากกว่าเดิม พวกเขาอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง หัวสมองว่างเปล่า ไม่รู้อีกแล้วว่าตนเองควรทำสิ่งใดต่อไป
ทุกคนแทบจะลืมหายใจแล้วด้วยซ้ำ
ไม่มีใครคิดเลยว่าการโจมตีของหน่วยมือปราบอินทรีธูมรณะในครั้งนี้ จะเป็นการระเบิดพลีชีพเพื่อสร้างความเสียหายในวงกว้าง
หากผู้คนที่ตกตายเป็นฝ่ายของศัตรู
นี่ก็คงเป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่าต่อการลงมือ
ทุกคนคิดไม่ถึงเลยว่าเหลียงหยวนเตาจะสามารถควบคุมหน่วยมือปราบของเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดนี้
เพียงชายอ้วนยกมือโบกสะบัดเท่านั้น มือปราบจำนวนนับพันคนก็พร้อมสละชีวิตของตนเองโดยไม่ลังเล
หลินเป่ยเฉินก็ถึงกับตกตะลึงเช่นกัน
ให้ตายสิ
ระเบิดพลีชีพงั้นหรือ?
นี่มันการก่อการร้ายในโลกแห่งวรยุทธ์หรือไง?
เด็กหนุ่มยืนตัวแข็งทื่อ
มือปราบอินทรีธูมรณะเหล่านั้นมีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ เมื่อปลดปล่อยพลังลมปราณออกมาเต็มอัตรา อย่าว่าแต่จะสังหารมือกระบี่ระดับต่ำเลย ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงก็สามารถเป็นอันตรายได้เช่นกัน
แต่มือปราบชุดเทาเหล่านั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน
นอกจากร่างกายจะแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
วิญญาณก็จะสูญสลายไปด้วยเช่นกัน
ไม่มีทางกลับมาเกิดใหม่ได้อีกแล้ว
ด้วยเหตุนี้ มือกระบี่ยอดฝีมือจำนวนมาก ต่อให้สถานการณ์คับขันสักเท่าไหร่ พวกเขาก็ไม่คิดใช้พลังลมปราณระเบิดร่างกายและจิตวิญญาณของตนเองเพื่อสังหารศัตรูเด็ดขาด
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม
นับว่าเป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริง ๆ ที่เหลียงหยวนเตาจะสามารถฝึกฝนให้เหล่ามือปราบอินทรีธูมรณะเชื่อฟังตนเองได้ถึงขั้นนี้
คำนวณดูจากจำนวนมือปราบระดับสูงซึ่งเสียชีวิตในพื้นที่เขตสองเมื่อคืนก่อน เพราะถูกคุณชายหลินตัดศีรษะ เหลียงหยวนเตาจึงไม่น่าจะเหลือขุมกำลังฝีมือดีไว้ใช้งานอีกสักเท่าไหร่แล้ว
ถ้าอย่างนั้นทำไมไอ้หมูตอนนี่ถึงต้องพลีชีพขุมกำลังสุดท้ายของตัวเองด้วยล่ะ?
เหลียงหยวนเตาย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าการพลีชีพของมือปราบอินทรีธูมรณะไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ ต่อหลินเป่ยเฉิน ฉับพลันนั้น เด็กหนุ่มก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ และหัวใจของเขาก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที
ตู้ม!
ตู้ม!
ตู้ม!
ร่างกายของกลุ่มมือปราบอินทรีธูมรณะยังคงระเบิดกระจายราวกับดอกไม้ไฟสีเลือดต่อไปไม่หยุดยั้ง
ความตายกลืนกินชีวิตผู้คนเป็นว่าเล่น
“พอได้แล้ว”
เสียงคำรามของหลินเป่ยเฉินดังก้องกังวานราวเสียงฟ้าผ่ากลางพายุฝน
ในเวลาเดียวกันนี้ ธนูคันหนึ่งได้มาปรากฏขึ้นในมือของเขา
เด็กหนุ่มยกคันธนูขึ้นประทับลูกศรน้าวสายยิงอย่างรวดเร็ว
ศรมังกรพุ่งทะลวงแหวกอากาศออกไปข้างหน้า
ลูกศรพุ่งไปด้วยความเร็วสูง
ไม่ต่างจากลำแสงสายหนึ่ง
เหล่ามือปราบอินทรีธูมรณะยังไม่มีเวลาได้โคจรพลังลมปราณเต็มอัตรา ก็ถูกยิงร่วงลงมาจากกลางอากาศเสียก่อน
ใช่แล้ว
เพื่อป้องกันไม่ให้มือปราบชุดเทาเหล่านี้ระเบิดพลีชีพตนเอง หลินเป่ยเฉินจึงต้องชิงจังหวะยิงพวกเขาลงมาจากกลางอากาศ
เฉียนเหมย ไต้จือฉุน อากวง ฉิวหลิง พานเว่ยหมินและคนอื่น ๆ สร้างชุดเกราะจากพลังลมปราณขึ้นมาคุ้มกันร่างกายของตนเองได้ทันท่วงที การระเบิดพลีชีพของฝ่ายตรงข้ามจึงทำอันตรายพวกเขาไม่ได้แม้แต่น้อย
“นายท่านเจ้าคะ เดี๋ยวข้าออกไปจัดการพวกเขาเอง”
เมื่อเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีและหลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกเศร้าใจ เฉียนเหมยก็กระโดดขึ้นขี่หลังเสี่ยวซานวิ่งออกไปจากค่ายผู้อพยพ
เสี่ยวเอ้อร์เห็นดังนั้นก็วิ่งทะลวงม่านพลังพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว ทุกครั้งที่มันกระโจนขึ้นไปในอากาศ เจ้าลูกหมาป่าน้ำแข็งก็จะกลายเป็นลำแสงสีเงินสว่างจ้าพุ่งออกไปกินรัศมีหลายสิบวา ดังนั้น ความรวดเร็วของมันจึงไม่แพ้แสงสีฟ้าครามของเสี่ยวซานเลยสักนิด
และเมื่อเสี่ยวเอ้อร์ส่งเสียงคำราม
เสียงของมันก็ดังกังวานไม่ต่างกับเสียงฟ้าผ่า
คลื่นเสียงที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าแผ่กระจายในวงกว้าง
การจู่โจมด้วยคลื่นเสียงของเสี่ยวเอ้อร์ทำให้บรรดามือปราบอินทรีธูมรณะเกิดอาการเวียนหัวตาลายขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ ไม่สามารถโคจรพลังลมปราณได้อีกต่อไป!
เฉียนเจินพลิ้วกายออกไป เส้นผมสีดำปลิวไสวตามแรงลมเช่นเดียวกับชายกระโปรงสีขาวราวหิมะ มือของนางถือกระบี่เงินเล่มหนึ่ง เพียงสะบัดข้อมือเล็กน้อย คมกระบี่ก็ทิ่มแทงเข้าใส่หว่างคิ้ว ลำคอและหัวใจของมือปราบชุดเทาร่วงหล่นลงจากกลางอากาศอีกหลายสิบคน
เพียงพริบตาเดียว มือปราบอินทรีธูมรณะกว่า 300 คนก็ร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ
แต่ก็ยังเหลืออีก 600 ชีวิตที่สามารถระเบิดพลีชีพตนเองได้สำเร็จ
ทางด้านเชลยศึกจากกองทัพเว่ยซาน พวกเขาต้องตายไปจากการระเบิดพลีชีพครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 7,000 คน และมีอีกประมาณ 10,000 คนที่ได้รับบาดเจ็บมากน้อยแตกต่างกันไป บางคนยกมือขึ้นกุมบาดแผลวิ่งหนีไม่คิดชีวิต บางคนได้แต่นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นดิน บางคนก็มีสภาพบาดเจ็บสาหัสปางตาย…
เมื่อเหล่าขุนนางใหญ่ มหาเศรษฐี และยอดฝีมือระดับเจ้าสำนักตื่นขึ้นมาจากภวังค์แห่งความตกตะลึง พวกเขาก็หวาดกลัวจนตัวสั่น ขนลุกขนชันทั้งร่างกาย ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่เหลียงหยวนเตาซึ่งนั่งอยู่บนเสลี่ยงห่างไกลออกไป สีหน้าของทุกคนบอกชัดถึงความหวาดผวา…
เพียงชายอ้วนคนนี้ยกมือหนึ่งครั้ง ผู้คนจำนวนหลายพันคนก็ต้องถึงแก่ความตาย
ต้องเป็นเจ้านายที่ดีเลิศขนาดไหนกันนะ บริวารจึงสามารถสละชีวิตของตนเองได้อย่างเชื่อฟังเช่นนี้?
ต้องเป็นเจ้านายที่ต่ำช้าขนาดไหนกันนะ จึงสามารถส่งบริวารออกมาพลีชีพได้ราวกับเป็นวัชพืชไร้ค่าข้างถนน?
ทันใดนั้น กลุ่มคนผู้ถูกรับเชิญมาร่วมชมการต่อสู้ในครั้งนี้ ก็เกิดความคิดบางอย่างที่ไม่เคยนึกถึงมาก่อน…
หากการต่อสู้ในวันนี้จบลงและหลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ ชีวิตหลังจากนี้ของพวกเขาก็คงมีความสุขมากกว่าอยู่ภายใต้การปกครองของเหลียงหยวนเตาต่อไปกระมัง?
“ช่วยเหลือผู้รอดชีวิต”
หลินเป่ยเฉินตะโกนออกคำสั่ง
ปีกกระบี่บนแผ่นหลังของเขาคลี่กางออกมาแล้ว
เด็กหนุ่มลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ระหว่างที่ปีกกระพือพัด แสงสีเงินบริสุทธิ์ก็แผ่ปกคลุมทั่วสนามรบไม่ต่างจากแสงตะวันสาดส่องขับไล่เมฆดำบนฟากฟ้า โลหิตที่กำลังไหลทะลักออกมาจากบาดแผลของผู้ที่ได้รับบาดเจ็บพลันหยุดชะงักลงอย่างปาฏิหาริย์
ประตูค่ายที่พักเปิดออกกว้าง
หน่วยทหารคนงานขุดเหมืองและกองทัพผู้คุ้มกันค่ายผู้อพยพวิ่งกรูออกมา
พวกเขาทำตามคำสั่งของหลินเป่ยเฉิน เริ่มต้นรักษาอาการบาดเจ็บของเชลยศึก ก่อนจะนำตัวทุกคนกลับเข้าสู่ด้านในค่ายที่พัก นักหลอมโอสถและหมอยาภายใต้การดูแลของอานมู่ซีนำโอสถชนิดต่าง ๆ ออกมาแจกจ่ายให้กับผู้บาดเจ็บรับประทาน เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดและปลอบโยนความรู้สึกทุกข์ทรมาน…
“เหลียงหยวนเตา ไอ้หมูนรก ข้าจะฆ่าเจ้า”
ปีกกระบี่ของหลินเป่ยเฉินกระพือพัดด้วยความเร็วสูง ร่างกายของเขาพุ่งเป็นลำแสงมุ่งตรงลงไปสู่พื้นดินด้านล่าง
กระบี่สายฟ้าปรากฏอยู่ในมือพร้อมด้วยประกายสีทองคำระยิบระยับ
พลังศักดิ์สิทธิ์ พลังลมปราณ และพลังปราณธาตุหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
หลินเป่ยเฉินตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้เหลียงหยวนเตาได้มีชีวิตอยู่รอดอีกต่อไป
แต่ทันใดนั้น เหลียงหยวนเตากลับระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบอกชอบใจ
ครืน!
เสลี่ยงที่ชายอ้วนนั่งอยู่ถึงกับสั่นสะเทือน
ขันทีทั้ง 10 ชีวิตผู้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์บัดนี้ลำตัวจมหายลงไปใต้ดินครึ่งหนึ่ง ไม่สามารถทนทานการแบกรับน้ำหนักได้อีกต่อไป
พลันร่างกายที่เป็นภูเขาก้อนเนื้อขนาดใหญ่ยักษ์ของเหลียงหยวนเตาลอยสูงขึ้นมาในอากาศระดับเดียวกับหลินเป่ยเฉิน ร่างกายที่เคลื่อนไหวเป็นลำแสงของท่านเจ้าเมืองจอมโหดมีความรวดเร็วปราดเปรียวเป็นอย่างยิ่งขณะพุ่งเข้ามาหาเด็กหนุ่มหัวหน้าค่ายผู้อพยพ
แล้วทั้งสองคนก็พุ่งผ่านกันกลางอากาศ
กระบี่สายฟ้าสาดประกายวูบวาบ
หลินเป่ยเฉินบินออกมาตั้งหลักห่างไกลเกือบสองลี้ ปีกกระบี่บนแผ่นหลังกระพือพัดตลอดเวลา
เด็กหนุ่มหันกลับไปจ้องมองร่างที่ลอยอยู่กลางอากาศของเหลียงหยวนเตาด้วยความพิศวง
ปรากฏว่าบัดนี้ร่างกายของชายอ้วนกำลังมีโลหิตไหลทะลักออกมาจากบาดแผลฉกรรจ์ถึงหกตำแหน่ง