บทที่ 80 แล้วคนอื่นจะอยู่กันยังไง
รายชื่อผู้ผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายเป็นประกายสว่างไสวอยู่บนแท่นหินใจกลางลานจัตุรัส
แท่นหินนี้ทำงานด้วยค่ายอาคมซึ่งดูดซับพลังปราณยุทธ์จากในอากาศ ทำให้สามารถแสดงตัวอักษรขึ้นบนพื้นผิวได้ไม่ต่างจากป้ายไฟในโลกมนุษย์
รายชื่อทั้งหมดนี้จะคงอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีการแข่งขันอีกครั้งในปีหน้า
ส่วนตลอดเวลาระหว่างนี้ ผู้ที่มีชื่อผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้าย ก็จะดื่มด่ำไปกับความสำเร็จของตนเอง
รถม้ากำลังขับเคลื่อนออกจากค่ายที่พักคันแล้วคันเล่า
ไม่ว่าจะเป็นสถานศึกษาของทางภาครัฐ สถานศึกษาเอกชน หรือสำนักยุทธ์อิสระ ต่างก็ส่งรถม้ามารับลูกศิษย์ของตนเองกลับไปในตัวเมือง
“พวกเราไปกันเถอะ เจ้าหนู เจ้าคงไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าสูญเสียอะไรไปบ้าง เพื่อแลกกับเหรียญทองเหล่านั้น”
ติงซานฉือนั่งอยู่บนรถม้า อดไม่ได้ต้องหันไปมองรายชื่อบนแท่นหินอีกครั้ง แววตาของเขายังคงเต็มไปด้วยความเสียดาย
หลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ภายในห้องโดยสารของรถม้า ไม่พูดอะไรสักคำ
รถม้าค่อยๆ ขับเคลื่อนออกจากค่ายที่พัก มุ่งตรงกลับไปยังตัวเมืองหยุนเมิ่ง
เจ้าอสูรลมกรดมีความเร็วคงที่ รถม้าเล่นไปข้างหน้าให้ความรู้สึกเหมือนรถหรูที่วิ่งอยู่บนทางด่วน ไม่มีการสะดุดตกหลุมบนพื้นถนนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ภายในห้องโดยสารขณะนี้
มู่ซินเยว่ อู๋เสี่ยวฟาง เยว่หงเซียง และหลินเป่ยเฉินนั่งอยู่ในความเงียบ
อู๋เสี่ยวฟางมีสีหน้าวิตกกังวล ด้วยคิดว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องแก้แค้นตนเองแน่นอน ในหัวของเด็กหนุ่มขณะนี้มองเห็นภาพตนเองถูกรุมสหบาทาจากคนทั้งสถาบัน แม้แต่ติงซานฉือก็เมินเฉยที่จะช่วยเหลือเขา เพราะดูจากสีหน้าแล้ว ติงซานฉืออยากจะจัดการเขายิ่งกว่าหลินเป่ยเฉินเสียอีก
มู่ซินเยว่ก็เอาแต่จ้องมองเยว่หงเซียงสลับกับหลินเป่ยเฉินตลอดเวลา
หัวใจถูกความอิจฉาริษยากัดกินจนเจ็บแค้น
เยว่หงเซียงสามารถผ่านเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายได้อย่างเหลือเชื่อ
นางสามารถเข้ารอบต่อไปได้ ก็เพราะเป็นคนหาพืชผักและผลไม้ให้หลินเป่ยเฉินรับประทาน
นี่น่ะหรือคือทักษะที่ทำให้นำชื่อตนเองขึ้นไปอยู่บนแท่นหินได้อย่างสง่าผ่าเผย
เมื่อมองย้อนดูตัวเอง มู่ซินเยว่กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ที่ต้องเดินทางกลับบ้านพร้อมกับความเศร้าโศก
หลังการต่อสู้ริมทะเลสาบผ่านพ้นไป มู่ซินเยว่คิดจะกลับไปคืนดีกับหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง แต่โชคร้ายที่เขาปฏิเสธนางอย่างไม่ไยดี หลินเป่ยเฉินไม่เหลือเยื่อใยให้นางอีกต่อไปแล้ว
แต่เมื่อคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่นางกระทำลงไปในระยะหลัง มู่ซินเยว่ก็ลงความเห็นว่าเปล่าประโยชน์ที่จะคอยตามตื๊อเด็กหนุ่มอีก
เขาไม่มีทางกลับมารักนางได้อีกแล้ว
มู่ซินเยว่รู้สึกเสียใจนัก
แต่ถึงกระนั้น นางก็พยายามปลอบใจตนเองว่า “เราจะรีบใจร้อนไม่ได้เด็ดขาด ตอนนี้เขาอาจใจแข็งกับเราอยู่ แต่พยายามทำดีกับเขาต่อไปสักหน่อย บางทีหลินเป่ยเฉินอาจใจอ่อนก็ได้”
ทันใดนั้นเอง เสียงอุทานของติงซานฉือพลันดังขึ้นนอกห้องโดยสาร
แล้วรถม้าของพวกเขาก็หยุดลงอย่างกะทันหัน
หลินเป่ยเฉินไม่ทันตั้งตัว หัวจึงทิ่มเกือบตกจากที่นั่ง
ความคิดแรกที่แวบเข้ามาในหัวก็คือ “ที่นี่มีอุบัติเหตุรถชนกันด้วยเหรอ?”
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องโดยสารก็เลื่อนเปิดออก ติงซานฉือยื่นศีรษะเข้ามาด้านในด้วยสีหน้าประหลาดใจและกล่าวว่า “เจ้าลูกเต่าบัดซบ ออกมาข้างนอกหน่อย”
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วถามว่า “อาจารย์เรียกใครว่าเจ้าลูกเต่าบัดซบหรือขอรับ?”
ติงซานฉือตอบโดยไม่ลังเล “เรียกเจ้านั่นแหละ”
แล้วเด็กหนุ่มก็จำใจต้องกระโดดลงจากรถม้าด้วยใบหน้าประดับยิ้มฝืด “อ้าว…”
บนถนนในขณะนี้
ดวงตะวันบนฟ้ากำลังลอยตัวต่ำลงมาเรื่อยๆ
บรรยากาศข้างทางที่เป็นป่าทึบยามสนธยา ให้ความรู้สึกที่สวยงามแปลกประหลาด
รถม้าอีกคันหนึ่งจอดอยู่ขวางหน้าไม่ห่างนัก
เป็นรถม้าที่ดูหรูหราไม่น้อย
บนห้องโดยสารของรถม้าประดับไปด้วยลวดลายทองคำสวยงามตระการตา สัญลักษณ์ประจำตระกูลที่เป็นผืนธงสีดำแดงประดับด้วยรูปของนกหนามตัวหนึ่งโดดเด่นเป็นสง่า อสูรลมกรดที่ฉุดลากรถม้าคันนี้มีความยาวลำตัวกว่าหนึ่งจั้ง…ทุกอย่างบ่งชี้ไปในทิศทางเดียวกันว่า นี่คือรถม้าประจำตระกูลหลิง ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองหยุนเมิ่ง
เพราะในมณฑลเฟิงอวี่ มีเพียงสกุลหลินเท่านั้นที่ใช้นกหนามเป็นสัญลักษณ์ประจำตระกูล
จึงไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ที่หลินเป่ยเฉินจะพบว่าหลิงเฉินกำลังยืนรอเขาอยู่ด้านข้างรถม้าของนาง
ภายใต้แสงสลัวยามอาทิตย์อัสดง เส้นผมและใบหน้าที่งดงามของเด็กสาวอาบไล้ไปด้วยลำแสงสีทอง ส่งเสริมให้หลิงเฉินดูสูงส่งและเลอค่า ราวกับธิดาสวรรค์บนโลกมนุษย์ ถึงขณะนี้ นางจะยืนเงียบๆ ไม่พูดอะไรสักคำ แต่สง่าราศีของเด็กสาวก็ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกอยากคุกเข่าอยู่ใต้อำนาจของนางขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
ทว่า ไม่ใช่กับหลินเป่ยเฉิน
“แม่นางหลิง การแข่งขันจบลงแล้ว บุญคุณความแค้นของพวกเราจบลงด้วยเข็มกลัดดาราทั้ง 6 ชิ้นนั้น ถนนสายนี้ยังอีกยาวไกล พวกเราต่างเดินทางใครทางมันเถอะ อย่าได้มายุ่งเกี่ยวกันอีกเลย เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หลิงเฉินตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เข้าใจแล้ว”
“ฉิบหายละ นี่มันตัวตนเจ้าหญิงเย็นชาจอมเผด็จการนี่หว่า”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเหินห่าง “อย่างนั้นก็ดี”
ถึงเขาจะไม่เข้าใจเลยว่าเด็กสาวคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ แต่หลินเป่ยเฉินลงความเห็นว่ามันคงดีกับเขามากที่สุด ถ้าจะตัดบทสนทนานี้ให้จบลงและรีบเดินทางกลับบ้านใครบ้านมันดีกว่า
“เจ้า…ความจำเสื่อมจริงหรือ?” หลิงเฉินไต่ถามออกมา
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าตอบว่า “จริงแท้แน่นอน”
พลัน หลิงเฉินกล่าวว่า “ข้าอิจฉาเจ้าเหลือเกิน”
หลินเป่ยเฉินตะลึงงัน ไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายหมายถึงอะไร “เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
หลิงเฉินไม่ได้อธิบายเพิ่มเติม เพียงถามว่า “ตลอด 10 วันที่ผ่านมา ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากใจใช่หรือไม่?”
หลินเป่ยเฉินรู้สึกใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว นางคงตัดใจจากเขาได้ไม่ยาก
นี่คือสัญญาณของการเลิกราที่ชัดเจนที่สุด
“เอาให้มันจบตรงนี้เลยเถอะวะ”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ถูกต้องแล้ว เจ้าทำให้ข้าต้องลำบากใจนัก…”
ทันใดนั้น หลิงเฉินกลับยิ้มแฉ่ง ทำหน้าแป้นแล้น “ข้าผิดไปแล้วเจ้าค่ะ…ต้องขออภัยด้วย แต่ข้าจะไม่มีวันทิ้งท่านไปเด็ดขาด”
เฮ้ย!
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าเหมือนชายชราที่กำลังก้มหน้าดูข้อความบนโทรศัพท์มือถือริมรางรถไฟ และพบว่ามันเป็นข้อความแจ้งข่าวร้าย
ทำไมหลิงเฉินถึงพูดอ้อมค้อมอยู่ตั้งนาน ในเมื่อใจความที่อยากจะบอกเขา ก็มีเพียงเท่านี้ไม่ใช่หรือ?
“ดังนั้น พี่เฉินได้โปรดเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม ข้าจะไปรบกวนท่านอีกเรื่อยๆ”
เมื่อพูดจบแล้ว บุคลิกของเด็กสาวก็กลับกลายเป็นยัยหน้าเป็นจอมแก่น ผู้นุ่มนวลอ่อนหวานและโง่เขลา และก่อนที่หลินเป่ยเฉินจะทันได้ทำอะไร นางก็กระโดดเข้ามาสวมกอดเขา เขย่งปลายเท้าขึ้น ก่อนจะหอมแก้มเขาฟอดใหญ่
“พี่เฉิน นี่คือรอยประทับจากข้า ระหว่างที่เราไม่เจอกัน ท่านจะได้คิดถึงข้าอยู่ตลอดเวลา”
ขณะนี้ หลิงเฉินอยู่ในตัวตนของเด็กสาวแก่นแก้ว ดวงตาของนางเป็นประกายสดใสเหมือนจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้าในคืนที่มีดวงดาวพร่างพราย
หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ตอนที่ริมฝีปากของนางสัมผัสกับแก้มของเขา ความรู้สึกอันหอมหวานชนิดหนึ่งก็เกิดขึ้นในจิตใจของเด็กหนุ่ม
พลัน หลินเป่ยเฉินมีความคิดสองอย่างขึ้นมาทันที
“เฮ้ย ถึงขั้นกระโดดหอมแก้มฉันเลยเหรอเนี่ย? โดนจู่โจมไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ เล่นเอาเราไปไม่เป็นเหมือนกันแฮะ”
นี่คือความคิดแรก
“ยัยนี่ ละ…หลอกแต๊ะอั๋งฉันนี่หว่า”
นี่คือความคิดที่สอง
ความคิดแรกเป็นสัญชาตญาณของเพศชาย
ส่วนความคิดที่สอง เป็นการตอบสนองของสมองในปัจจุบัน
ความคิดแรกเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เพราะฉะนั้น ความคิดที่สองจึงมีอำนาจควบคุมจิตใจได้มากกว่า มันทำให้หลินเป่ยเฉินผลักเด็กสาวออกไปโดยไม่รู้ตัว
หลิงเฉินโดนผลักกระเด็น
นางมองหน้าหลินเป่ยเฉิน ตอนแรกก็มีสีหน้าสำนึกผิด แต่แล้วดวงตาที่สดใสก็เริ่มจะเป็นประกายแข็งกระด้างขึ้นมา บ่งบอกว่าหลิงเฉินกำลังจะเปลี่ยนแปลงบุคลิกอีกครั้ง
“ทำไมรู้สึกเหมือนมีไอสังหารลอยเข้ามาเลยนะ?”
หลินเป่ยเฉินคิดด้วยหัวใจที่สั่นสะท้าน
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็นึกถึงภาพที่เซินเฟยเข้าสู่ด้านมืดและกลายร่างเป็นสาวกปีศาจ ทำให้มีพลังแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ แต่หลิงเฉินก็ยังสามารถหักแขนเขาได้อย่างไม่มีปัญหา นับว่านางมีพลังที่น่ากลัวนัก…
“ฮ่าๆๆๆ ข้าก็แค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้นเอง”
หลินเป่ยเฉินรีบหัวเราะกลบเกลื่อนและกล่าวต่อว่า “ข้าจะผลักไสไล่ส่งคนน่ารักอย่างเจ้าได้อย่างไร? ข้าแทบรอไม่ไหวที่จะได้พบเจอเจ้าอีกครั้ง”
นั่นเองจึงทำให้การเปลี่ยนแปลงบุคลิกของหลิงเฉินหยุดชะงัก และนางก็ยังคงเป็นเด็กสาวแก่นแก้วต่อไป
“ข้าจะรอคอยเจ้าเสมอ”
เมื่อได้ยินดังนั้น หลิงเฉินก็ยิ้มกว้าง มองหน้าหลินเป่ยเฉินไม่วางตา “พี่เฉิน ท่านสัญญาแล้วนะ”
หลังจากนั้น นางก็หันหลังกลับ เดินขึ้นไปบนรถม้าของตนเอง
ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง รถม้าที่แสนหรูหราแล่นจากไป
หลินเป่ยเฉินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเป็นรูปปั้นแกะสลัก
“ช่างเป็นความรักข้างเดียวที่น่าสงสารเหลือเกิน”
เด็กหนุ่มรำพึงอยู่ในใจ “ทำไมฉันต้องเกิดมาหล่อขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย? นอกจากหล่อแล้ว ยังฉลาดและมีความสามารถอีกหลายอย่าง แล้วแบบนี้หนุ่มๆ คนอื่นจะอยู่กันยังไง?”