ตอนที่ 781 ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่
เมื่อหญิงสาวจากเผ่าพันธุ์เทพพงไพรใช้สายตาสำรวจมองเทพีกระบี่หิมะไร้นามอยู่ครู่ใหญ่ นางก็พบว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่มีร่องรอยบาดแผลบนร่างกาย อีกทั้งในวิหารแห่งนี้ ก็ไม่มีสิ่งใดน่าสงสัยแม้แต่นิดเดียว
นางจำได้ดีว่าหัวขโมยหญิงถูกศรแห่งพงไพรยิงเข้าไปหลายดอก อีกทั้งยังถูกฟันด้วยกระบี่เพลิงพฤกษา ต่อให้เป็นเทพเจ้านักรบระดับสูง ก็ไม่มีทางรักษาอาการบาดเจ็บได้ในเวลาอันสั้นแน่นอน
หญิงสาวผู้บุกรุกหันกลับมามองหน้าเทพีกระบี่หิมะไร้นามอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ดูเหมือนท่านคงเป็นเจ้าวิหารแห่งนี้สินะ ข้ากำลังตามหาหัวขโมยหญิงผู้ขโมยคัมภีร์สำคัญไปจากเผ่าพันธุ์เทพพงไพร หากท่านทราบเบาะแสของนาง ได้โปรดแจ้งเตือนพวกเราด้วย เผ่าพันธุ์เทพพงไพรจะมีรางวัลตอบแทนให้อย่างงาม…”
“มีรางวัลตอบแทนด้วยหรือ?”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามดวงตาลุกวาว “เป็นรางวัลอันใด?”
หญิงสาวร่างกำยำตอบกลับด้วยความภาคภูมิใจ “หากช่วยมอบเบาะแสที่นำไปสู่การจับกุมหัวขโมยหญิงนางนั้น ท่านจะได้รับอาวุธวิเศษระดับสามหนึ่งชิ้น หากท่านสามารถจับตัวหัวขโมยหญิงนางนั้นมาส่งพวกเราได้ ท่านจะได้รับโอสถเทวะขั้นที่สี่หนึ่งขวด และหากท่านสามารถจับกุมตัวนางพร้อมกับนำคัมภีร์มาคืนให้พวกเราได้สำเร็จ ท่านก็รับไปเลยผลึกแก้วเทพเจ้า 5,000 ก้อน นับดูในดินแดนแห่งนี้ ไม่มีผู้ใดจะให้รางวัลนำจับหัวขโมยผู้หนึ่งมากไปกว่าพวกเราอีกแล้ว!”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
น้ำลายเกือบไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ให้ตายสิ
รางวัลนำจับช่างล่อตาล่อใจเหลือเกิน
เทพีกระบี่หิมะไร้นามแทบอยากจะยอมมอบตัวเพื่อแลกกับรางวัลเหล่านั้นแล้ว
แต่สุดท้ายก็ตั้งสติได้เสียก่อน
“หากข้าทราบข่าวคราวของหัวขโมยนางนั้นเมื่อไหร่ ข้าจะรีบติดต่อไปที่พวกท่านทันที แต่ข้านั้นไม่ได้สนใจของรางวัลหรอก เพราะข้าชื่นชมเผ่าพันธุ์เทพพงไพรมานานแล้ว ข้าหวังว่าสักวันหนึ่ง ตนเองจะมีกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเหมือนอย่างทุกท่านบ้าง”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น
หญิงสาวร่างกายกำยำมีแววตาอ่อนโยนขึ้นมาเล็กน้อย “หึหึ นับว่าเทพธิดานางนี้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง ข้าจะทิ้งเบอร์โทรศัพท์เอาไว้ให้แล้วกัน หากท่านได้เบาะแสสิ่งใด สามารถโทรมาหาข้าได้ตลอดเวลา…”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามยิ้มร่าด้วยความดีใจ
นางบันทึกเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่ายลงมือถือของตนเองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทำตัวเป็นเจ้าบ้านที่ดี ด้วยการเดินออกไปส่งแขกถึงหน้าประตูวิหาร
“เหอเหอ เกือบตายซะแล้วเรา”
เทพีกระบี่หิมะไร้นามเอนตัวยืนพิงประตู จ้องมองกลุ่มเทพพงไพรเดินจากไป ทันใดนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาทันที นางไม่น่าพูดจาเหลวไหลกับหลินเป่ยเฉินตั้งแต่แรก มิเช่นนั้น นางก็ไม่ต้องขโมยคัมภีร์ห้าธาตุหลอมวิญญาณ และก็ไม่ต้องเป็นศัตรูกับเผ่าพันธุ์เทพพงไพรที่น่ากลัวเหล่านี้ด้วย
…
หลินเป่ยเฉินก้มหยิบบุหรี่ที่หล่นลงบนพื้นกลับขึ้นมา
เขาจุดมันอย่างแช่มช้าด้วยนิ้วที่สั่นเทา ใช้เวลาเพียงไม่นานเด็กหนุ่มก็อัดควันเข้าปอดจนหมดมวน เขาดีดก้นบุหรี่ไปยังใต้ต้นไม้ที่มีป้ายแขวนเอาไว้ว่า ‘ห้ามทิ้งขยะติดไฟและก้นบุหรี่’ อย่างแม่นยำ หลังจากนั้น จึงนำยาลูกกลอนสำหรับรักษาการบาดเจ็บที่อานมู่ซีผลิตขึ้นมายัดใส่ปากกำหนึ่ง ก่อนจะเคี้ยวมันในปากไม่ต่างจากเม็ดถั่วสำหรับทานเล่น
เด็กหนุ่มกำลังรู้สึกร้อนใจ
ไอ้หมูตอนนรกเหลียงหยวนเตามีกี่ชีวิตกันแน่?
ทำไมถึงฆ่าไม่ตายสักที?
ทำไมไอ้หมอนั่นถึงไม่ยอมตายๆ ไปซะ? ทำไมมันถึงไม่ปล่อยให้เขาได้มีชีวิตอย่างสงบสุข ทำไมอดีตโอตาคุอย่างหลินเป่ยเฉินเมื่ออุตส่าห์ได้ทะลุมิติมาอยู่ในร่างหนุ่มหล่อทั้งที จะให้เขามีชีวิตสุขสบายตั้งแต่เกิดจนแก่ตายไม่ได้หรืออย่างไร…
หลินเป่ยเฉินตัวสั่นเทาด้วยความเหน็บหนาวไปถึงขั้วหัวใจ นำปืนกลมือออกมาตรวจดูกระสุน และพบว่าเหลือกระสุนเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น
และมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่เขาได้ยินเสียงเยว่เว่ยหยางส่งผ่านมาทางกระแสจิตว่า
“อะไรกัน? เจ้ามีปัญญาทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”
หลินเป่ยเฉินสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ
นางพูดอย่างนี้หมายความว่าไง?
ขนาดนางเองยังฆ่าเหลียงหยวนเตาไม่ได้ แล้วยังจะมีหน้ามาพูดจาเหยียดหยามเขาอีก?
ดูท่าแล้ว ระหว่างเขากับเยว่เว่ยหยางคงไปกันไม่รอดจริงๆ แม้จะมีผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง แต่ยามหน้าสิ่วหน้าขวาน ต่างฝ่ายต่างไม่สามารถช่วยเหลือกันและกันได้อีกแล้ว
นี่ใช่เวลามาถามกันด้วยถ้อยคำเย้ยหยันเช่นนี้หรือ?
ฟึบ!
ทันใดนั้น หางสีแดงเข้มขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมาจากแอ่งโลหิตบนพื้นดิน
โครม!
หางสะบัดฟาดเข้าใส่หลินเป่ยเฉินส่งผลให้เด็กหนุ่มลอยกระเด็นไปไกลหลายสิบวา ยามตกกระแทกพื้นยังทำให้พื้นดินแตกร้าวเป็นรูปร่างมนุษย์อีกด้วย
เกิดเสียงอุทานดังขึ้นรอบกาย
ลมหายใจต่อมา สัตว์ประหลาดตัวหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากแอ่งโลหิต มันมีหน้าตาคล้ายกับปีศาจวัวกระทิง เส้นขนบนลำตัวแข็งราวกับเหล็กกล้า หางของมันยาวนับสิบวา ปลายหางปรากฏกระดูกลูกตุ้มขนาดใหญ่ ตามข้อต่อขาทั้งสี่ข้างยังมีหนามแหลมคมอีกนับไม่ถ้วน
ความน่ากลัวของปีศาจกระทิงคือมันมีร่างกายขนาดใหญ่สูงเท่ากับตึกสี่ชั้น พลังลมปราณที่แผ่ออกมาจากร่างกายคุกคามกดดันจนผู้คนหายใจไม่ออก…
“แค่ก แค่ก…”
หลินเป่ยเฉินกระอักเลือดออกมาจากปากคำใหญ่ รีบตะเกียกตะกายขึ้นมาจากหลุมบนพื้นดินด้วยความทุลักทุเล
จังหวะที่ยันตัวลุกขึ้นยืน เด็กหนุ่มรู้สึกปวดร้าวไปทั่วร่างกาย
ต่อจากนั้น สายตาจึงพบว่าปืนกลมือที่เขาถืออยู่เมื่อสักครู่หลุดกระเด็นห่างออกไปหลายวา แต่ดูจากสภาพของมันตอนนี้ เขาคงไม่สามารถเอากลับมาใช้งานได้อีกแล้ว
เมื่อสักครู่ ตอนที่ถูกหางสัตว์ประหลาดฟาดเข้าใส่ ถ้าไม่ใช่เพราะมีปืนกลมือคอยรับแรงกระแทกไว้ก่อนส่วนหนึ่ง ป่านนี้หลินเป่ยเฉินก็คงกระดูกแตกหักไปทั่วร่างกายและอวัยวะภายในก็คงบอบช้ำอย่างรุนแรง
และนี่ก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าการโจมตีของหางสัตว์ประหลาดตัวนี้น่ากลัวมาก
มันรุนแรงมากกว่าการโจมตีด้วยกระบี่กระดูกขาวก่อนหน้านี้หลายเท่า
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกว่าร่างกายของตนเองร้อนผ่าวราวกับมีไข้สูง ความเจ็บปวดแล่นลึกลงไปถึงกระดูก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยามที่โคจรพลังปราณธาตุทองคำ ร่างกายที่เจ็บปวดยังไม่เท่าไหร่ แต่หลินเป่ยเฉินกลับต้องตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อพบว่าพลังลมปราณของเขาลดลงไปพอสมควร
ไม่ต่างจากรถยนต์ที่น้ำมันใกล้หมด
เร่งความเร็วไม่ขึ้นเสียแล้ว
แม้แต่กลุ่มผู้ชมที่อยู่ห่างออกมาก็ยังรับรู้ได้ถึงความหมดหวังของหลินเป่ยเฉิน
พลังกดดันแผ่ครอบคลุมรอบบริเวณหนักหน่วงมากกว่าเดิม
“นางแพศยาที่อยู่ในวิหารประจำเมืองนั่น อย่าคิดว่าองค์หญิงปีศาจทำอะไรเจ้าไม่ได้ แล้วเจ้าจะอยู่รอดตลอดไป วันนี้ข้าจะฆ่าหลินเป่ยเฉินก่อน แล้วค่อยขึ้นไปคิดบัญชีแค้นกับเรือนร่างของเจ้าทีหลัง…”
เหลียงหยวนเตาที่อยู่ในร่างปีศาจกระทิงเงยหน้าคำรามใส่ผืนฟ้า
คลื่นเสียงแผ่กระจายในอากาศ ส่งผลให้ก้อนเมฆบนท้องฟ้ากระจายหายไป
บรรดาขุนนางใหญ่ มหาเศรษฐี และยอดฝีมือระดับเจ้าสำนัก ต้องก้มตัวลงยกมืออุดหู ดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้นดิน เพราะทนรับพลังกดดันจากปีศาจกระทิงไม่ไหว…
แม้แต่ม่านพลังที่คุ้มครองค่ายผู้อพยพ ณ ขณะนี้ก็เริ่มเกิดรอยแตกร้าวขึ้นมาแล้ว
“หลินเป่ยเฉิน เจ้าต้องตาย!”
ดูเหมือนว่าการฟื้นคืนชีพในครั้งนี้ของเหลียงหยวนเตาจะกลับมาพร้อมกับความโกรธแค้นเทพีกระบี่เป็นพิเศษ หลังจากนั้น ปีศาจกระทิงก็อ้าปากและพ่นเปลวไฟสีแดงเข้มออกมาจากในลำคอ ตั้งใจเผาผลาญหลินเป่ยเฉินให้มอดไหม้ตายคาที่
เปลวไฟครอบคลุมรัศมีกว้างไกล ต่อให้ยืนอยู่ห่างหลินเป่ยเฉินนับสิบวา ผิวหนังก็ยังไหม้เกรียมได้ง่ายๆ
บัดนี้ เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนทรงตัวของหลินเป่ยเฉินแทบไม่มีเหลือ แล้วเขาจะเอาพลังที่ไหนไปต่อสู้?
“เชี่ย ตายแน่ ตายแน่ ตายแน่…”
“แต่เราอุตส่าห์ทะลุมิติมาทั้งที ถึงจะเสียซิงให้กับเยว่เว่ยหยางไปแล้ว แต่เรายังไม่มีโอกาสสารภาพรักกับนักพรตหญิงชินเลยสักครั้ง จะมาตายแบบนี้ได้ยังไงวะ…”
“นักพรตหญิงชิน ได้โปรดมาช่วยเหลือข้าน้อยด้วย ข้าน้อยยินดีทำทุกอย่างแล้ว…”
เส้นผมของหลินเป่ยเฉินปลิวไสวไปด้านหลัง ดวงตาของเขาเบิกโต
เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุของเปลวไฟที่พุ่งเข้ามาหาใบหน้า
หลินเป่ยเฉินได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นกลัว
ทันใดนั้น ความปรารถนาของคุณชายหลินก็กลายเป็นจริง
เพราะว่า…
ตู้ม!
ร่างของใครคนหนึ่งทิ้งตัวลงมาจากกลางอากาศไม่ต่างจากอุกกาบาตที่พุ่งลงจากท้องฟ้า เจ้าของร่างนั้นทิ้งตัวลงมายืนอยู่เบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินก่อนจะกระแทกหมัดออกไปข้างหน้า ก่อเกิดเป็นม่านพลังรูปทรงครึ่งวงกลมครอบคลุมร่างกายของพวกเขาเอาไว้ด้านใน ขณะที่ม่านพลังก็รองรับการปะทะจากเปลวไฟนรกของเหลียงหยวนเตาได้ทันเวลาหวุดหวิด!
เปลวไฟระเบิดกระจายในวงกว้าง
คลื่นความร้อนกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างโดยทันที