ตอนที่ 788 ย่อมเอาชนะได้แน่นอน
หลินเป่ยเฉินตกกระแทกพื้นอย่างแรง ต้องลุกขึ้นมานั่งส่ายหัวขับไล่ความมึนงง ถึงร่างกายจะอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย แต่เห็นได้ชัดว่าอวัยวะภายในได้รับการกระทบกระเทือนไม่ใช่น้อย นี่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่าต่อให้มีความมุ่งมั่นสักแค่ไหน แต่ตนเองก็ยังไม่ใช่คู่มือของผู้มีพลังขั้นเซียนอยู่ดี
และด้วยความที่อวัยวะภายในได้รับการกระทบกระเทือน พลังปราณธาตุของเขาก็เกิดความปั่นป่วนอีกครั้ง
แต่โชคดีที่เส้นลมปราณใหม่ของหลินเป่ยเฉินมีความแข็งแกร่งราวเหล็กกล้า เพียงใช้เวลาไม่กี่ลมหายใจ พลังปราณธาตุในร่างกายก็กลับมาสงบราบเรียบอีกครั้ง หากร่างกายของเด็กหนุ่มยังคงมีเส้นลมปราณแบบเก่า ก็คาดเดาได้ว่าในขณะนี้พลังปราณธาตุของหลินเป่ยเฉินคงต้องแตกกระจายเป็นแน่แท้
“ไม่ เราจะมายอมแพ้แค่นี้ไม่ได้”
“เราต้องเปลี่ยนรูปแบบการต่อสู้”
“ในเมื่อพลังของเรายังสู้เหลียงหยวนเตาไม่ได้ เราก็ต้องเน้นการโจมตีจากระยะไกล ห้ามเข้าประชิดตัวมันเด็ดขาด”
หลินเป่ยเฉินสลัดความมึนงงออกไปจากหัวสมอง
บัดนี้ ร่างกายของเขาสามารถฟื้นตัวได้อย่างน่ามหัศจรรย์
หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งไปหยิบปืนกลมือที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมาสำรวจดูความเรียบร้อยอีกครั้ง
ตอนแรกเขานึกว่ามันจะอยู่ในสภาพที่ใช้ไม่ได้แล้วเสียอีก
แต่เมื่อตรวจดูลูกกระสุนที่ยังเหลืออยู่อีกครึ่งหนึ่ง และสภาพโดยรวมที่ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คิด หลินเป่ยเฉินจึงยกปืนกลมือขึ้นและเหนี่ยวไกรัวยิงใส่เหลียงหยวนเตาโดยไม่ลังเล
เสียงปืนกลมือระรัวลูกกระสุนแผดออกไปดังเป็นจังหวะไพเราะเสนาะหู ประกายไฟกระจัดกระจายรายล้อมรอบกายของหลินเป่ยเฉินอย่างงดงาม
ปังปังปังปังปัง!
หลินเป่ยเฉินยังคงรัวลูกกระสุนใส่เหลียงหยวนเตาไม่หยุดยั้ง
ปืนกลมือกระบอกนี้มีอานุภาพการโจมตีรุนแรงมาก ถึงจะไม่สามารถทะลวงผิวหนังที่แข็งหนาของเหลียงหยวนเตาได้ แต่อย่างน้อยมันก็สามารถสร้างความเสียหายให้กับจุดอ่อนของร่างกาย อย่างเช่น ดวงตา ลำคอ ใบหู ข้อพับแขนขาและจุดเปราะบางอื่นๆ ได้พอสมควร…
ฟู่! ฟู่! ฟู่!
โลหิตสาดกระจาย
เหลียงหยวนเตาส่งเสียงร้องโหยหวนอีกครั้งและอีกครั้ง
เกาเฉิงฮั่นอาศัยจังหวะนี้กระโดดเข้าไปใช้กระบี่ฟันแขนและปีกอีกข้างของเหลียงหยวนเตา
แม่ทัพหนุ่มและคุณชายหลินร่วมมือกันอย่างรู้ใจ จนกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบปีศาจจอมอำมหิตอีกครั้ง
“เหอเหอเหอ แม่งจะเลียนแบบการโจมตีของปืนกลมือได้ก็ให้รู้ไปสิวะ…”
หลินเป่ยเฉินกระโดดเปลี่ยนตำแหน่งการยิง แต่เป้าหมายยังคงเล็งใส่จุดอ่อนตามร่างกายของเหลียงหยวนเตาดังเดิม
ครั้งนี้ เด็กหนุ่มถึงกับมีเวลานำแว่นดำออกมาสวมใส่และจัดแต่งทรงผมของตนเองแล้ว
…
“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ…”
เหลียงซือมู่มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกขณะยืนมองการต่อสู้จากด้านในค่ายผู้อพยพ
สิ่งเดียวที่ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเด็กหนุ่ม ก็คือเรื่องที่บิดาของเขาถูกวิญญาณปีศาจเข้าครอบงำ
เพราะเหลียงซือมู่ไม่ได้สงสัยอยู่แล้ว!
เด็กหนุ่มไม่เคยสงสัยนับจากวันแรกที่บิดาผู้อ่อนโยนของตนเองเปลี่ยนไปกลายเป็นคนจิตใจอำมหิต และรับประทานได้แม้แต่หญิงสาวผู้เป็นมารดาผู้ให้กำเนิดเหลียงซือมู่…
นับจากวันนั้น เด็กหนุ่มจึงมั่นใจว่าบิดาของตนต้องถูกวิญญาณปีศาจร้ายเข้าครอบงำแน่นอน
หากการต่อสู้ครั้งนี้จบลง บิดาของเขาคงไม่สามารถกลับมาเป็นคนเดิมได้อีกแล้วกระมัง?
ก็คงจะเป็นอย่างนั้น
เนื่องจากบิดาที่แท้จริงของเหลียงซือมู่คงถูกวิญญาณปีศาจร้ายตนนี้ฆ่าตายไปนานแล้ว
ท่านพ่อ ลูกขอโทษ
เหลียงซือมู่น้ำตาไหลพราก ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความเกลียดชัง
“คุณชายหลินจะฆ่าเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้”
เสียงของเยว่หงเซียงพลันดังขึ้นข้างกาย “เพื่อเป็นการแก้แค้นให้แก่ท่าน”
ขณะนี้ เด็กสาวผู้มีใบหน้าประดับรอยแผลเป็นราวกับตะขาบตัวยาวกำลังใช้นิ้วมือที่เรียวยาวของนางคีบบุหรี่ และพ่นควันออกจากปากด้วยใบหน้าซีดขาว
ในช่วงเวลาวิกฤตเมื่อสักครู่นี้ เด็กสาวแสดงฝีมือออกมาอย่างน่ามหัศจรรย์ เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น เยว่หงเซียงกลับสามารถซ่อมแซมม่านพลังที่คุ้มครองค่ายผู้อพยพได้เสร็จสิ้น และทำให้ชาวบ้านทุกคนที่เข้ามาหลบภัยอยู่ที่นี่ได้รับความปลอดภัยอีกครั้ง
เยว่หงเซียงไม่มีท่าทีใดเปลี่ยนแปลงไป เว้นแต่ว่านิ้วมือของนางที่กำลังคีบบุหรี่อยู่นั้นมีอาการสั่นเทาเล็กน้อย
เหลียงซือมู่หันกลับมามองหน้าเด็กสาวในดวงใจ และกล่าวว่า “แม่นางเยว่ เจ้าเพิ่ง…”
สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดในวันนี้ก็คือการที่เยว่หงเซียงมีฝีมือในการสร้างค่ายอาคมระดับสูง เพราะการจะสร้างค่ายอาคมขนาดใหญ่ที่เพียงพอต่อการคุ้มครองหมู่บ้านผู้อพยพแห่งนี้ จำเป็นต้องใช้ผู้สร้างค่ายอาคมระดับเจ้าสำนักจำนวนหลายสิบคน และแม้แต่ศิษย์พี่ของเหลียงซือมู่ผู้ได้ชื่อว่าเป็นนักสร้างค่ายอาคมรุ่นใหม่อนาคตไกลก็ยังไม่สามารถกระทำได้เลยด้วยซ้ำ
ริมฝีปากสีแดงสดของเยว่หงเซียงเผยออ้าออก เพื่อปล่อยควันออกมาเป็นรูปวงแหวน “ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้นหรอก ผู้ที่ซ่อมแซมค่ายอาคมเป็นผู้มีพระคุณอีกท่านหนึ่งต่างหาก ลำพังตัวข้าเองนั้น ก็คงไม่มีปัญญาทำได้สำเร็จเช่นกัน…”
“ผู้มีพระคุณอย่างนั้นหรือ?”
เหลียงซือมู่เลิกคิ้วด้วยความตกใจมากกว่าเดิม
น้ำตาจางหายไปจากดวงตาของเขาแล้ว
เด็กหนุ่มพูดออกมาด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นว่า “ท่านผู้นั้นเป็นใคร? ท่านคือคนในหมู่บ้านใช่หรือไม่? ท่านเป็นบุรุษหรือว่าสตรี? เหตุไฉนก่อนหน้านี้ ถึงไม่แสดงฝีมือช่วยเหลือพวกเราตั้งแต่แรก?”
เยว่หงเซียงอัดควันเข้าปอดอึกใหญ่ คล้ายกับกำลังใช้ความคิดอะไรบางอย่าง หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจ นางก็กล่าวตอบว่า “ข้าบอกท่านไม่ได้”
เหลียงซือมู่พูดอะไรไม่ออก
เยว่หงเซียงกล่าวออกมาอีกครั้ง “ท่านรีบไปดูค่ายอาคมจุดที่ 21 ประจำส่วนสามก่อนดีกว่า บริเวณนั้นเราอาจต้องเพิ่มพลังเข้าไปอีกเล็กน้อย”
“อ้อ ข้าจะรีบไปดูเดี๋ยวนี้” แล้วลมหายใจต่อมา เหลียงซือมู่เด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาก็เปลี่ยนสภาพกลายเป็นสุนัขน้อยผู้เชื่อฟัง รีบหมุนตัววิ่งไปทำตามคำสั่งของเยว่หงเซียงโดยทันที
…
“ชนะแล้วหรือ?”
กงซุนไป๋ผู้ตกอยู่ในสภาพนักโทษเงยหน้ามองการต่อสู้ที่อยู่บนท้องฟ้า
ใช่แล้ว
เขาถูกจับตัวมาเป็นนักโทษในค่ายที่พักของชาวเมืองหยุนเมิ่งเป็นครั้งที่สอง
แต่ครั้งนี้ นายทหารหนุ่มไม่ได้รู้สึกโกรธแค้นเหมือนเมื่อครั้งแรก เพราะเขากำลังรู้สึกว่าตนเองช่างโชคดีเหลือเกิน
โชคดีที่ถูกจับตัวเข้ามาก่อนคนอื่นๆ
บัดนี้ กงซุนไป๋ไม่อยากกลับออกไปจากค่ายผู้อพยพแห่งนี้อีกแล้ว
เนื่องจากผู้คนที่นี่ล้วนแล้วแต่หน้าตาแจ่มใส ร่างกายบริสุทธิ์ผุดผ่อง สุขภาพแข็งแรง ความสามารถสูงส่ง กงซุนไป๋รู้สึกอยากจะผูกมิตรกับทุกๆ คน อยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป อาศัยฐานะนักโทษทำงานแลกที่อยู่อาศัยและข้าวปลาอาหาร ใช้ชีวิตด้วยความสงบสุขไปจนวันตาย…
กงซุนไป๋หันหน้าไปกวาดตามองบรรดานายทหารใต้บังคับบัญชาที่กำลังตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวและพูดว่า “พวกเจ้าไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”
นักโทษคนอื่นๆ หันมามองหน้ากงซุนไป๋ด้วยความประหลาดใจ
กงซุนไป๋จึงได้ตอบกลับไปว่า “ที่นี่คือที่ที่ปลอดภัยมากที่สุดแล้ว”
“หมายความว่า… ม่านพลังจะไม่มีวันสลายลงอีกครั้งหรือขอรับ?”
“มิใช่”
“แล้วที่นี่ปลอดภัยมากกว่าที่อื่นอย่างไร?”
“เมื่อเทียบกับสถานที่อื่นในนครเจาฮุย ค่ายผู้อพยพแห่งนี้ก็มีความปลอดภัยมากที่สุดแล้ว หากหลินเป่ยเฉินกับแม่ทัพเกาพ่ายแพ้ ไม่ว่าเราหลบซ่อนตัวอยู่ที่ใดก็คงถูกฆ่าตายอยู่ดี บัดนี้ ตัวเมืองปกคลุมไปด้วยกลิ่นไอปีศาจ อีกไม่นาน เหลียงหยวนเตาคงเปลี่ยนให้นครเจาฮุยกลายเป็นบ่อโลหิต…”
“แล้วคุณชายหลินกับแม่ทัพเกาจะเอาชนะได้ไหมขอรับ?”
“ย่อมเอาชนะได้แน่นอน”
“แต่พวกเขากำลังจะแพ้แล้วนะขอรับ… ไม่เชื่อท่านแม่ทัพกงซุนลองเงยหน้าดูก็ได้”
ผู้ใต้บังคับบัญชาพูด
กงซุนไป๋จึงได้เงยหน้ามองกลับขึ้นไปบนท้องฟ้า
บัดซบจริงๆ เลย
ภาพที่กำลังเห็นไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคิดเสียแล้ว