บทที่ 81 เฉาพั่วเถียน
ยามอาทิตย์อัสดง บรรยากาศปกคลุมด้วยลำแสงสีทอง หิมะที่นานทีปีหนจะตกเสียทีโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
“อาจารย์ เมืองหยุนเมิ่งอยู่ตรงหน้าเราแล้วขอรับ”
เด็กหนุ่มในชุดขาวผู้ยืนอยู่หัวเรือส่งเสียงพูดดังลั่น เขามีใบหน้าแข็งแกร่ง ร่างกายล่ำสัน ผมหยิกหยักศกตามธรรมชาติสีทองสลวย ดวงตาเป็นประกายสดใส เพียงมองดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนธรรมดา เด็กหนุ่มยืนด้วยท่วงท่าสงบนิ่งเหมือนรูปปั้น ข้างเอวเหน็บกระบี่ แสงสุดท้ายประจำวันอาบไล้ไปทั่วร่างกำยำ ทำให้มีสง่าราศีมากพอที่โฉมสะคราญจำนวนมากจะตบตีกันเพื่อแย่งชิงหัวใจเขาไปครอบครอง
มองออกได้ไม่ยากว่าเด็กหนุ่มคนนี้มาจากเมืองอื่น เพราะไม่มีเด็กหนุ่มคนไหนในเมืองติดชายทะเลเล็กๆ อย่างเมืองหยุนเมิ่งจะมีหน้าตาหล่อเหลาเทียบเคียงเขาได้เลย
ด้านหลังเด็กหนุ่มยืนไว้ด้วยบุรุษหนุ่มอีกคนหนึ่ง
บุรุษคนนี้มีอายุกว่า 40 ปี รูปร่างผอมสูง ใบหน้าแดงซ่าน บริเวณหางคิ้วซ้ายขึ้นไปจนถึงขมับ ปรากฏรอยแผลเป็นจากคมกระบี่เด่นชัด ทำให้ใบหน้าของเขาดูชั่วร้ายและโหดเหี้ยมอย่างแปลกประหลาด
บุรุษฉกรรจ์หน้าดุเดินเข้ามาหยุดยืนข้างกายเด็กหนุ่ม ยิ้มเล็กน้อย ก่อนถามว่า “พั่วเถียน นี่ก็ผ่านมาได้สามปีแล้ว รู้สึกอย่างไรบ้างที่จะได้กลับไปเจอเขาอีกครั้ง?”
เด็กหนุ่มยิ้มตอบกลับไปว่า “นกน้อยถ้าไม่บินออกจากรัง ก็ไม่มีวันรู้ว่าท้องฟ้ากว้างใหญ่ขนาดไหน ปลาน้อยถ้าไม่ได้เข้าสู่มหาสมุทร ก็คงไม่มีทางรู้ว่าท้องทะเลกว้างใหญ่มากแค่ไหน ขณะนี้ ตัวข้าเองได้รู้แล้วว่าท้องฟ้าและท้องทะเลกว้างใหญ่เพียงใด กราบเรียนตามตรงว่า ถ้าไม่ได้รับปากกับท่านว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งหลังครบกำหนดสามปี ข้าคงไม่มีทางกลับมาเด็ดขาด”
ชายฉกรรจ์หน้าดุระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ
เสียงหัวเราะของเขาดังก้องกังวาน สลายก้อนเมฆบนท้องฟ้า ทำให้นกกาแตกตื่นตกใจ ต้องรีบบินหนีไปด้วยถูกคลื่นเสียงรบกวน
ลูกเรือหลายคนที่อยู่บนดาดฟ้าเรือ ต้องรีบยกมือขึ้นอุดหู ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด
ผ่านไปอึดใจใหญ่
เรือของพวกเขาก็เข้าเทียบท่าที่เมืองหยุนเมิ่ง
ท่าเรือแห่งนี้มีป้อมทหารประจำการ
ทหารจากหน่วยรบเมฆามีหน้าที่ตรวจตราความปลอดภัยของเรือทุกลำที่เข้ามาจอดเทียบท่า
รถม้าที่มีสัญลักษณ์นกหนามทองคำมาจอดรออยู่ที่ท่าเรือนานแล้ว ชายฉกรรจ์และเด็กหนุ่มผมทองเดินลงจากเรือ หลังจากนั้น คนรับใช้พร้อมด้วยทหารคุ้มกันอีก 10 นายก็เดินนำพวกเขามาที่รถม้าสุดหรูหราคันนั้น
เพียงไม่นาน รถม้าก็แล่นออกจากท่าเรือ วิ่งตรงเข้าไปสู่ตัวเมือง
…
ณ จวนผู้ว่าประจำเมือง
ผู้ว่าการเมืองมีนามว่าหลิงจุนเซวียน เป็นบุรุษผู้มีความสงบสุขุม เมื่อได้ยินการรายงานจากหลีลั่วหรัน มือของเขาก็ถึงกับสั่นเทา ส่งผลให้ถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือตกแตกกระจายเกลื่อนพื้นห้องทำงาน
หลิงจุนเซวียนตกตะลึง รอยยิ้มฝืดฝืนปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เขาออกคำสั่งว่า “ตอนนี้จะให้นายหญิงรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
แต่ทันทีที่พูดจบ
“เรื่องอะไร? ทำไมท่านถึงให้ข้ารู้ไม่ได้?”
หญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น นางมีอายุ 40 กว่าปี แต่ใบหน้าอ่อนเยาว์อย่างหาได้ยากยิ่งในคนรุ่นเดียวกัน ซ้ำดวงตายังฉายแววดุดันแข็งแกร่งออกมาชัดเจน
หลิงจุนเซวียนมีอายุเท่ากับนาง เขาเป็นสุภาพบุรุษผู้ปราดเปรื่อง เป็นภาพลักษณ์ที่ดีประจำเมือง แต่เมื่อเห็นหน้าชินหลันซูผู้เป็นภรรยา ชายหนุ่มก็รีบปรับเปลี่ยนสีหน้า ก่อนลุกขึ้นยืนและพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก ว่าแต่เจ้าเถอะ เตรียมพิธีต้อนรับ เซียนกระบี่ไป๋ไห่ชิน จากเมืองไป๋หยุนเรียบร้อยดีแล้วหรือ? เจ้าคงไม่อยากทำให้แขกของเราต้องผิดหวังกระมัง?”
ชินหลันซูไม่พูดอะไร นางมองเศษถ้วยน้ำชาที่แตกกระจายอยู่บนพื้น จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตามองผู้เป็นสามี
ทุกคนต่างทราบดีว่าท่านผู้ว่าหวาดกลัวภรรยายิ่งกว่าอะไรดี โดยเฉพาะยามที่ถูกนางจับจ้องมองด้วยสายตาเช่นนี้ ดังนั้นหลิงจุนเซวียนจึงได้แต่สารภาพออกมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ลูกสาวของเราป่วยเป็นไข้ใจเสียแล้ว”
ชินหลันซูถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่นางจะตวาดกลับมาด้วยความไม่สบอารมณ์ “คนเป็นบิดาพูดถึงบุตรสาวตนเองแบบนี้ได้อย่างไรกัน?” พูดจบนางก็หันไปมองหน้าหลีลั่วหรัน และสอบถามว่า “รองผู้ว่าการหลี ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
หลีลั่วหรันหันไปยิ้มให้หลิงจุนเซวียนด้วยความรู้สึกผิด ก่อนที่จะบอกเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างในการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง ให้นายหญิงรับฟังทั้งหมด
“หลินเป่ยเฉิน?”
เมื่อได้ยินสามคำนั้น ชินหลันซูก็เกือบจะระเบิดโทสะออกมาเลยทีเดียว
ไม่มีใครในเมืองหยุนเมิ่งไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้าแกะดำ
อย่าว่าแต่จะเป็นลูกสาว ต่อให้ใครมีลูกชายที่ไปยุ่งเกี่ยวกับบุคคลประเภทนี้ ผู้เป็นบิดามารดาก็ต้องปวดหัวเช่นกัน
ยิ่งเมื่อได้รับทราบว่าบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนของนาง ดันไปตกหลุมรักหลินเป่ยเฉิน ชินหลันซูก็รู้สึกเคว้งคว้าง ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังจะแตกสลาย
แต่นางก็สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้อย่างรวดเร็ว
ชินหลันซูรีบถามว่า “ตอนนี้เฉินเอ๋อร์อยู่ที่ไหน?”
หลีลั่วหรันตอบ “ข้าพานางกลับไปที่คฤหาสน์เล็กแล้ว แต่พออาบน้ำเสร็จ นางก็ยืนยันว่าจะไปสถานศึกษา…”
“นี่นางเจตนาหลบหน้าคนจากเมืองไป๋หยุนใช่ไหม? เดี๋ยวนี้ชักดื้อใหญ่แล้วสินะ” ชินหลันซูหันกลับไปขึงตาใส่สามี “ไปพาบุตรสาวของเรากลับมาจากสถานศึกษากระบี่หลวงเดี๋ยวนี้ อย่าลืมว่าท่านไป๋เป็นถึงหนึ่งในสามยอดมือกระบี่ประจำเมืองไป๋หยุน นางจะไม่อยู่ต้อนรับเขาได้อย่างไรกัน? ท่านต้องพานางกลับมาที่นี่ให้ได้”
“เข้าใจแล้วจ้ะ”
หลิงจุนเซวียนยืนตัวตรงรับคำสั่งด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ก่อนที่จะรีบจ้ำอ้าวออกจากจวนผู้ว่า เพื่อไปรับตัวบุตรสาวจากสถานศึกษาโดยเร็วไว
ชินหลันซูมองตามแผ่นหลังสามีไปด้วยสายตาเหนื่อยใจ
จังหวะนั้น บ่าวรับใช้เข้ามารายงานพอดีว่า “นายหญิงขอรับ พ่อบ้านหวงรับอาคันตุกะมาถึงประตูหน้าแล้วขอรับ”
“รองผู้ว่าการหลี อาจารย์ไป๋มาถึงแล้ว รีบออกไปต้อนรับเขาพร้อมกับข้าเร็วเข้า”
หลีลั่วหรันพยักหน้า และเดินตามชินหลันซูออกไปต้อนรับอาคันตุกะตามคำสั่ง
บริเวณหน้าประตูคฤหาสน์สกุลหลิง
ประตูไม้ขนาดใหญ่เบื้องหน้าทำมาจากไม้มะฮอกกานีฝังหมุดทองคำ นับเป็นประตูบานเลื่อนที่เรียบง่าย มีขนาดความกว้างกว่าหนึ่งจั้ง
ประตูหน้าคฤหาสน์หลังนี้ มีนายทหารในชุดแดงยืนเรียงรายอยู่สองฟากฝั่งนับ 10 นาย เพียงมองแค่แวบเดียว ก็รู้แล้วว่าทุกคนเป็นนายทหารระดับยอดฝีมือทั้งสิ้น
จากประตูหน้าคฤหาสน์ไปจนถึงประตูด้านใน ไม่มีบันไดเลยสักขั้นเดียว ทำให้เมื่อเปิดประตูหน้าแล้ว รถม้าก็สามารถวิ่งเข้าไปด้านในได้เลยทันที
แต่สำหรับในเมืองหยุนเมิ่ง มีรถม้าเพียงไม่กี่คันที่จะสามารถแล่นผ่านประตูหน้าบานนี้เข้ามาได้
รถม้าที่ประดับลวดลายนกหนามสีทองคำ วิ่งไปจอดบริเวณสนามหญ้าหน้าคฤหาสน์
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานามว่าเฉาพั่วเถียนเดินลงจากรถม้ามาหยุดอยู่ด้านหลังอาจารย์ เขาหันกลับไปมองที่ประตูหน้าจวนผู้ว่าด้วยแววตาภาคภูมิใจ
สามปีก่อน ตอนที่เขายังยืนอยู่ตรงนี้ เด็กหนุ่มยังทำได้เพียงก้มศีรษะทำความเคารพทุกคนที่เดินผ่าน ในหัวใจเต็มตื้นไปด้วยความเคารพเทิดทูน แต่บัดนี้ เมื่อได้มองกลับไปที่ประตูบานนั้นอีกครั้ง…
“เฮอะ ก็ไม่เห็นจะยิ่งใหญ่อะไรเลย” เขาคิด
ในสายตาของเด็กหนุ่มขณะนี้ จวนผู้ว่าไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ถึงอำนาจและความยิ่งใหญ่อีกต่อไป มันก็เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างจากอิฐและหินดาษดื่นธรรมดาเท่านั้นเอง
“อาจารย์ไป๋ ต้องรบกวนท่านเดินทางมาไกลแล้ว ขอบคุณท่านมากสำหรับความเหน็ดเหนื่อย”
ชินหลันซู นายหญิงประจำจวนผู้ว่า ครั้งหนึ่งเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นสตรีโฉมงามที่สุดของมณฑลเฟิงอวี่ นางเดินนำอาคันตุกะเข้าสู่ด้านในคฤหาสน์ ทะลุมาจนถึงห้องโถงใหญ่ ตลอดเวลายิ้มแย้มต้อนรับอย่างอบอุ่น
ไป๋ไห่ชินพยักหน้าตอบรับนางด้วยความเรียบเฉย
ส่วนเฉาพั่วเถียนนั้น เขากำลังสำรวจดูรอบกายชินหลันซู ก่อนที่รอยยิ้มจะค่อยๆ เลือนหายไปจากใบหน้า
นี่นางจะไม่ออกมาต้อนรับเขาหน่อยหรือ?
เทพธิดาน้อยประจำเมืองหยุนเมิ่งมีชื่อเสียงโด่งดังไปไกลถึงเมืองไป๋หยุน แต่น่าขำนักที่นางอวดดีถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าหลิงเฉินถูกเลี้ยงดูอย่างตามใจมากเกินไป นางถึงกับกล้าดูหมิ่น ไม่ยอมออกมาต้อนรับเซียนกระบี่ผู้มีฝีมือดีที่สุดในรอบหลายร้อยปีของเมืองไป๋หยุนเชียวหรือ?