กระจกทองสัมฤทธิ์ที่อยู่บนลวดลายหน้าประตูมีลักษณะทรงกลมเปล่งแสงสว่างไสวราวกับเป็นดวงอาทิตย์ขนาดย่อม รัศมีของมันสาดแสงสว่างเจิดจ้ามากขึ้นเมื่อได้รับพลังศรัทธาจากผู้คน เมื่อลองนึกทบทวนดูดีๆ แล้ว พิธีกรรมที่ถูกจารึกอยู่บนประตูก็น่าจะเป็นพิธีบูชากระจกทองสัมฤทธิ์บานนี้นี่เอง…
แต่ว่า
มันจะเอามาใช้ประโยชน์อะไรได้ล่ะ?
ในเมื่อของมีค่าชิ้นอื่นๆ ในห้องเก็บสมบัติถูกเคลื่อนย้ายไปหมดแล้วและหลงเหลือกระจกบานนี้อยู่เพียงบานเดียว นั่นก็หมายความว่ามันคงเป็นของไร้ค่าที่ไม่มีผู้ใดต้องการนั่นเอง
หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
เขาหันหน้าไปยังเสาอีกต้นหนึ่งที่มีหีบใบเล็กวางเอาไว้
หีบใบนี้
จะเก็บอะไรเอาไว้ข้างในบ้างนะ?
หรือว่ามันจะเป็นวัตถุเก็บของวิเศษ
ถ้าเป็นเช่นนั้น พื้นที่เก็บของด้านในหีบก็จะมีขนาดกว้างใหญ่ไม่ต่างไปจากห้องเก็บสมบัติห้องหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเหรียญทองคำกองพะเนิน ศิลาบูชาอีกหลายตั้ง และอาวุธวิเศษจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยังคงรอคอยเขาอยู่ใช่หรือไม่?
หรือว่าด้านในจะเป็นที่เก็บบัตรเงินสดจากสำนักฝากเงิน ซึ่งมีมูลค่า 100 ล้านเหรียญทองคำ?
เพียงแค่คิดหลินเป่ยเฉินก็มีความสุขแล้ว
เขารีบเดินจะไปเปิดฝาหีบออก แต่กลับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดว่า “ในหีบใบนี้มีกลไกใดซ่อนอยู่หรือไม่? มันอาจเป็นอันตรายก็ได้ เอ่อ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า… เจ้าตัวบัดซบเซียว… เอ๊ย หลินฮุนเอ๋ย ได้เวลาที่เจ้าจะพิสูจน์ความจงรักภักดีของตัวเองแล้ว จงเข้ามาเปิดหีบใบนี้ซะ”
เมื่อได้รับคำสั่ง หลินฮุนก็รีบเดินมาเปิดหีบออกโดยไม่ลังเล
หลินเป่ยเฉินถึงกับตกตะลึงเล็กน้อยเมื่อเห็นดังนั้น
ขันทีชราผู้นี้จงรักภักดีต่อเขาจริงๆ เหรอเนี่ย?
ดูท่าทางแล้วน่าจะซื่อสัตย์กับเขามากกว่าหวังจงซะอีก
สงสัยคงต้องรับมาเป็นผู้ติดตามเสียแล้วสิ
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มได้กลิ่นคาวเลือด
และแล้ว ภายในห้องเก็บสมบัติที่ว่างเปล่าและเงียบสงบก็กึกก้องไปด้วยเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดทรมานของดวงวิญญาณนับพันดวง
หลินเป่ยเฉินขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
ผีหลอกอย่างนั้นหรือ?
เหมือนที่มีผีซาดาโกะคลานออกมาใช่ไหม?
“อ้อ ที่แท้ก็เป็นยาลูกกลอนพวกนี้เอง” จังหวะนั้น เมื่อหลินฮุนเห็นสิ่งที่บรรจุอยู่ในหีบก็อุทานออกมาและรีบชักมือกลับทันที
สิ่งที่บรรจุอยู่ด้านในก็คือยาลูกกลอนสีแดงสดจำนวนหนึ่ง
“เจ้ารู้ไหมว่ามันเป็นยาอะไร?”
หลินเป่ยเฉินเดินเข้าไปก้มหน้าจ้องมองยาลูกกลอนสีแดงเหล่านี้ และสัญชาตญาณก็บอกเขาว่าพวกมันคงไม่ใช่ของมงคลอย่างแน่นอน
หลินฮุนผู้รู้ทุกอย่างรีบกล่าวทันทีว่า “กราบเรียนคุณชายหลิน นี่คือยาลูกกลอนที่เรียกว่าโอสถวิญญาณโลหิต ซึ่งเป็นยาที่ตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาหลอมให้แก่เหลียงหยวนเตาโดยเฉพาะ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ เว่ยหมิงเซวียนก็เพิ่งจัดส่งมอบยาชุดใหม่มาให้ เท่าที่ข้าน้อยรับทราบก็คือ นี่เป็นโอสถที่ทำให้เหลียงหยวนเตายอมร่วมมือกับตระกูลเว่ยด้วยดีตลอดมาขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นเพราะอย่างนี้นี่เอง
หลินเป่ยเฉินหยิบยาลูกกลอนโอสถวิญญาณโลหิตขึ้นมาพินิจบนฝ่ามือหนึ่งเม็ด
ยาลูกกลอนสีแดงสดเม็ดนี้มีลักษณะเหมือนลิ่มเลือดที่จับตัวเป็นก้อนกลม ถึงพื้นผิวจะมีลักษณะราบเรียบเกลี้ยงเกลา แต่สายตาก็สามารถมองทะลุถึงมวลพลังที่ไหลเวียนอยู่ด้านในได้ด้วยตาเปล่า
นี่คงเป็นยาลูกกลอนระดับสูงทีเดียว
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะหลอมออกมาได้สำเร็จ
พวกตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาสามารถหลอมโอสถระดับนี้ออกมาได้ด้วยหรือ?
แสดงว่าเว่ยหมิงเฉินคงมีผู้ติดตามเป็นนักหลอมโอสถฝีมือดีอยู่พอสมควร
“ยาชนิดนี้มีสรรพคุณอย่างไรบ้าง?”
หลินเป่ยเฉินถามด้วยความอยากรู้
หลินฮุนได้แต่ส่ายหน้าตอบด้วยน้ำเสียงละอายใจ “เรื่องนั้นข้าน้อยไม่ทราบขอรับ แต่ตอนที่เหลียงหยวนเตายังมีชีวิตอยู่ ยาลูกกลอนเหล่านี้คือสิ่งที่มีค่ากับเขามาก เขาจะรับประทานก็ต่อเมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ อย่างเช่นวันนี้ เหลียงหยวนเตาสั่งให้ข้าน้อยนำกุญแจมาเปิดห้องเก็บสมบัติเพื่อนำยาลูกกลอนเหล่านี้ไปให้เขารับประทาน… แต่ผู้ที่รู้เรื่องนี้ดีที่สุดก็น่าจะเป็นเว่ยหมิงเซวียนขอรับ หากพวกเราจับตัวเขาได้ ก็จะต้องได้ข้อมูลเพิ่มเติมอย่างแน่นอน”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า
ยาลูกกลอนสีแดงสดเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้สองสกุลใหญ่สามารถร่วมมือกันได้อย่างราบรื่นตลอดมา แสดงว่าคงมีค่าไม่ใช่น้อย
แต่ด้วยสถานการณ์ ณ ปัจจุบันของนครเจาฮุยซึ่งถูกรายล้อมด้วยกองทัพของชาวทะเลนั้น แม้แต่มดแมลงสักตัวยังยากที่จะหลบหนีออกไปได้ เมื่อเว่ยหมิงเซวียนไม่มีท่านเจ้าเมืองร่างอ้วนคอยให้ความช่วยเหลืออีกต่อไป หมอนั่นก็คงไม่สามารถหลบหนีออกไปนอกเมืองได้ในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน
เดี๋ยวกลับไปจากจวนผู้ว่าเมื่อไหร่ หลินเป่ยเฉินจะสั่งให้เกาเฉิงฮั่นออกตามล่าตัวพี่ชายของเว่ยหมิงเฉินผู้นี้โดยทันที
อีกอย่าง บุรุษจอมโฉดผู้นี้เคยทรยศหักหลังไป๋ชินหยุนมาแล้ว เพราะฉะนั้นหลินเป่ยเฉินจะมันปล่อยให้ลอยนวลไปไม่ได้เด็ดขาด
เด็กหนุ่มโบกมือวูบ
แล้วหีบเล็กที่วางอยู่บนเสาหินก็ลอยหวือเข้ามาอยู่ในมือของเขา
หีบใบนี้มีหน้าตาราบเรียบธรรมดา แต่เห็นได้ชัดว่ามันไม่ธรรมดา พื้นที่ด้านในถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้กักเก็บโอสถวิญญาณโลหิตโดยเฉพาะ ถ้านำไปขายคงได้ราคาดีแน่นอน
เขาหย่อนยาลูกกลอนสีแดงเลือดกลับลงไปในหีบใบเล็ก จากนั้นก็อัปโหลดพวกมันเก็บเอาไว้ในแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์
เด็กหนุ่มหันกลับไปมองกระจกทองสัมฤทธิ์ที่ตั้งอยู่บนเสาอีกต้นหนึ่ง
ก่อนจะเดินเข้าไปอย่างช้าๆ และยื่นมือออกไปหยิบกระจกขึ้นมา
เดี๋ยวนะ?
หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกใจ
เขาไม่ได้หมดแรง แต่ทำไมถึงยกกระจกเล็กๆ บานนี้ไม่ขึ้นเลยล่ะ
ทำไมมันถึงหนักขนาดนี้?
หลินเป่ยเฉินไม่ยอมแพ้ ลองยกดูใหม่อีกครั้ง
เส้นเลือดบนกล้ามแขนของเขาขึ้นปูดโปน
แต่เด็กหนุ่มก็สามารถยกกระจกขึ้นมาถือในมือได้ในที่สุด
เขารู้สึกเหมือนตนเองกำลังยกก้อนหินหนักหลายพันตันอยู่อย่างไรอย่างนั้น
หนักชิบ…
หลินเป่ยเฉินสบถอยู่ในใจ
แต่อย่างน้อย เขาก็นึกถึงประโยชน์อย่างหนึ่งของกระจกบานนี้ได้แล้ว
ในอนาคต เวลาต่อสู้กับศัตรู ขอแค่โยนกระจกบานนี้ใส่คู่ต่อสู้ รับรองว่าต่อให้เป็นผู้มีพลังขั้นเซียนอย่างเกาเฉิงฮั่นก็ต้องถูกน้ำหนักอันมากมายมหาศาลของกระจกทองสัมฤทธิ์บานนี้ทับจนบี้แบนแน่นอน
แต่ระหว่างที่กำลังใช้ความคิดอยู่นี้เอง เสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น
‘ตรวจพบแหล่งชาร์จแบตเตอรี่อย่างรวดเร็ว…’
‘ตรวจพบฟังก์ชันการอัปเกรดอุปกรณ์ขั้นพื้นฐาน…’
‘เตรียมพร้อมสำหรับการอัปเกรดอุปกรณ์…’
‘เริ่มต้นการอัปเกรดอุปกรณ์!’
เสียงของผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะดังขึ้นในหูของหลินเป่ยเฉิน
เด็กหนุ่มสะดุ้งโหยง
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ทุกครั้งที่มีการอัปเดตระบบ ก็จะมีตัวเลือกสอบถามเขาก่อนเสมอว่า ‘ต้องการอัปเดตเลยหรือไม่?’ แต่ครั้งนี้ ทำไมโทรศัพท์ถึงเลือกอัปเกรดอุปกรณ์โดยไม่ถามอะไรหลินเป่ยเฉินสักคำ?
ต้องรีบร้อนขนาดนี้เลยหรือไง?
หลินเป่ยเฉินรีบนำโทรศัพท์มือถือออกมาตรวจดูทันที
เขาพบว่าหน้าจอกลายเป็นสีขาวโพลน
แถบสถานะการอัปเกรดอุปกรณ์ค่อยๆ วิ่งไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ขณะนี้การอัปเกรดผ่านไปแล้ว 0.01%
ในเวลาเดียวกันนี้ กระจกทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ในมือเขาก็สั่นสะเทือน
คล้ายกับว่าบางสิ่งบางอย่างที่หลับใหลอยู่ได้ถูกปลุกขึ้นมา
และความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นเมื่อลำแสงสีเงินยวงสายหนึ่งไหลรินออกมาจากบานกระจกเข้าสู่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ…
ขณะนี้ หลินเป่ยเฉินเข้าใจแล้ว
การตรวจพบ ‘แหล่งชาร์จแบตเตอรี่อย่างรวดเร็ว’ ที่โทรศัพท์แจ้งมานั้น ก็หมายถึงกระจกบานนี้นี่เอง
หลายเดือนที่ผ่านมา โทรศัพท์ของยมทูตเครื่องนี้เคยแต่อัปเดตระบบ
นี่คือครั้งแรกที่มันจะได้รับการอัปเกรดอุปกรณ์…
หมายความว่าต้องมีอะไรแตกต่างไปจากเดิมแน่ๆ
หลินเป่ยเฉินรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อลำแสงสีเงินไหลออกมาจากกระจกทองสัมฤทธิ์ในมือขวาของเขานั้น น้ำหนักของมันก็เริ่มเบาขึ้นทันตาเห็น และเพียงไม่กี่อึดใจต่อมา กระจกทองสัมฤทธิ์บานนี้ก็มีน้ำหนักเท่ากับกระจกทั่วๆ ไปบานหนึ่ง
ไม่ต่างจากคนผู้หนึ่งถูกสูบเลือดสูบเนื้อสูบวิญญาณออกจากร่างกาย
ขณะนี้ โทรศัพท์มือถือไม่สามารถใช้งานอะไรได้อีกแล้ว
แถบแสดงสถานะการอัปเกรดอุปกรณ์วิ่งช้ายิ่งกว่าหอยทาก
ค่อยๆ ขยับจาก 0.01% มาอยู่ที่ 0.015%…
น่าเบื่อชะมัด
ขนาดยังไม่ถึง 1% ยังวิ่งเต่าอืดขนาดนี้
หลินเป่ยเฉินจ้องมองหน้าจอโทรศัพท์ด้วยความสับสน และเริ่มต้นคำนวณอยู่ในใจ
ถ้าความเร็วในการอัปเกรดอุปกรณ์ยังเป็นเช่นนี้ต่อไป กว่าจะอัปเกรดเสร็จ ก็คงต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน
“เสี่ยวจี้ เสี่ยวจี้ ได้ยินไหม” หลินเป่ยเฉินส่งเสียงเรียกผู้ช่วยส่วนตัวอัจฉริยะอยู่ในใจครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ดูเหมือนผู้ช่วยอัจฉริยะประจำโทรศัพท์ของเขาจะไม่ตอบสนองอะไรเสียแล้ว
“ให้มันได้อย่างนี้สิวะ…”
ตอนที่อัปเดตระบบ โทรศัพท์ยังใช้งานได้เป็นปกติ แต่พออัปเกรดอุปกรณ์โทรศัพท์กลับใช้งานไม่ได้สักอย่าง
หลินเป่ยเฉินถอนหายใจออกมา
ทำไมโทรศัพท์ถึงจัดการอัปเกรดอุปกรณ์เองโดยไม่ถามความพร้อมของเขาเลยนะ…
และคำว่าอัปเกรดอุปกรณ์ก็ฟังดูแปลกประหลาดพิกล แน่นอนว่ามันแตกต่างจากการอัปเดตระบบที่เกี่ยวข้องกับระบบปฏิบัติการ แต่การอัปเกรดอุปกรณ์นั้น มันเหมือนการเปลี่ยนมือถือเครื่องเก่าและไปซื้อมือถือรุ่นใหม่มาใช้งาน
ซึ่งก็ควรเป็นเรื่องดี
แต่การอัปเกรดเกิดขึ้นอย่างปัจจุบันทันด่วนมากเกินไป ทำให้หลินเป่ยเฉินเกิดความรู้สึกเหมือนตนเองถูกมัดมือชกอย่างไรอย่างนั้น