บทที่ 82 งานประลองกระบี่
“อาจารย์ไป๋ เชิญ”
ชินหลันซูนำอาคันตุกะทั้งสองคนมาถึงในห้องโถงใหญ่แล้ว
“ไม่ทราบว่าท่านผู้ว่าการหลิงอยู่ที่ไหนหรือ?”
ไป๋ไห่ชินที่เดินตามหลังเข้ามาถามด้วยน้ำเสียงระมัดระวัง
ชินหลันซูยิ้มตอบว่า “บุตรสาวของพวกเราเกิดเรื่องที่สถาบันเล็กน้อย สามีของข้าจึงเดินทางไปจัดการ อีกไม่นานเขาคงกลับมา และคืนนี้ ท่านผู้ว่าการหลิงจะเป็นเจ้าภาพ จัดงานเลี้ยงต้อนรับพวกท่านศิษย์อาจารย์อย่างยิ่งใหญ่เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เฉาพั่วเถียน เด็กหนุ่มผมทองจึงอดถามไม่ได้ว่า “ที่งานเลี้ยงนั่น ไม่ทราบว่าแม่นางหลิงเฉินจะมาด้วยหรือไม่ขอรับ?”
ชินหลันซูหันหน้ากลับมาจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาดุดัน นิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร
เมื่อเฉาพั่วเถียนมองหน้าหญิงสาวที่ไม่น่าจะเคยฝึกวิชาบู๊เลยด้วยซ้ำคนนี้ หัวใจของเขาก็สั่นรัวขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล ราวกับเป็นเด็กน้อยที่ถูกผู้ใหญ่จับได้ว่ากระทำความผิด จึงต้องรีบอธิบายว่า “พอดีศิษย์พี่เว่ยฝากให้ข้ามาทักทายแม่นางหลิงเฉิน ผู้เป็นคู่หมั้นของเขาน่ะขอรับ ศิษย์พี่เว่ยฝากของขวัญมาให้นาง ทั้งยังกำชับว่าข้าต้องส่งมอบให้แม่นางหลิงเฉินด้วยตัวเองเท่านั้น”
ชินหลันซูหันหลังให้เขาโดยไม่ตอบอะไรสักคำ
ไป๋ไห่ชินทรุดนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้องโถงใหญ่ เหมือนมองไม่เห็นว่าเกิดอะไรขึ้น รับถ้วยน้ำชาจากหญิงรับใช้ เมื่อสูดดมกลิ่นน้ำชา หัวคิ้วก็ขมวดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนที่จะวางถ้วยน้ำชาลง ไม่ได้ดื่มสักคำ “ฮูหยิน ครั้งนี้ข้าได้พาเถียนเอ๋อร์กลับมาที่เมืองหยุนเมิ่งอีกครั้ง นอกจากจะกลับมาเพื่อทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับสหายเก่าแล้ว ข้ายังอยากให้เขาได้มีโอกาสพบกับท่านอาจารย์ใหญ่หลิงสักครั้ง ไม่ทราบว่าท่านอาจารย์ใหญ่พอจะมีเวลาบ้างหรือไม่?”
ชินหลันซูยิ้มตอบกลับอย่างนุ่มนวล “ช่วงหลังพ่อสามีของข้าไม่ได้พักอยู่ที่คฤหาสน์อีกแล้ว แต่เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปสอบถามท่านให้ก็แล้วกัน…ว่าแต่ว่า สหายเก่าที่อาจารย์ไป๋กล่าวถึง คงเป็นอาจารย์ติงแห่งสถานศึกษากระบี่ที่สามกระมัง?”
ไป๋ไห่ชินตอบว่า “มิผิด”
เรื่องนี้ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด
เมื่อสามปีก่อน ขุนนางผู้ทรงเกียรติและบรรดาจอมยุทธ์ในเมืองหยุนเมิ่ง ต่างทราบดีว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนของการประลองกระบี่
ชินหลันซูลองหยั่งเชิงถามดูว่า “งานประลองกระบี่ครั้งนี้ เราจัดกันที่จวนผู้ว่าอีกครั้งดีหรือไม่?”
ไป๋ไห่ชินพยักหน้า “ก็ดีเหมือนกัน เราจะยึดกฎกติกาจากครั้งที่แล้ว ต้องรบกวนฮูหยินช่วยส่งเทียบเชิญให้มือกระบี่ทั้ง 36 คนด้วยกัน โดยตัวงานประลองจะจัดขึ้นในคืนพระจันทร์เต็มดวงอีก 10 วันข้างหน้า อีกอย่าง คงจะดีไม่น้อยถ้าเราเปิดโอกาสให้ชาวเมืองมารับชมการประลองครั้งนี้ได้อย่างอิสระ”
ชินหลันซูขมวดคิ้วเล็กน้อย
ไป๋ไห่ชินรีบกล่าวเสริม “เมืองหยุนเมิ่งไม่เคยมีอะไรเป็นความลับอยู่แล้ว”
…
ดวงอาทิตย์กำลังจะตกดิน แต่มันก็ยังมีแสงสว่าง
แสงอาทิตย์อัสดงกลายเป็นสีแดงเหมือนโลหิต
ณ สถานศึกษากระบี่ที่สาม
บริเวณหน้าประตูทางเข้า
คณะอาจารย์เกือบร้อยคนปรากฏตัวขึ้นพร้อมกัน
พวกเขามายืนเข้าแถวอยู่สองฟากฝั่งข้างประตู แต่งองค์ทรงเครื่องด้วยชุดเครื่องแบบอย่างเป็นทางการ ทุกคนต่างก็มีสีหน้ายิ้มแย้มตื้นตันใจ เพียงมองดูก็รู้ว่าคณะอาจารย์เหล่านี้ กำลังจัดแถวรอต้อนรับใครบางคน
ด้วยมีฐานะเป็น 1 ใน 7 สถานศึกษาที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ต่อให้ช่วงหลังความยิ่งใหญ่เกรียงไกรจะลดหายไปมาก ไม่สามารถเทียบเคียงสถานศึกษาอื่นๆ ได้อีกแล้วก็ตาม แต่ทว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับการศึกษามากที่สุด เพราะฉะนั้น ต่อให้ต่ำต้อยมากเพียงใด แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นสถานศึกษาประจำเมือง พวกเขาก็ยังมีอำนาจไม่น้อยอยู่ดี
ดังนั้น บุคคลที่ทำให้คณะอาจารย์เหล่านี้ต้องออกมาต้อนรับอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาได้ ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“มีเรื่องอะไรกันนะ? จัดแถวต้อนรับเสียใหญ่โตทีเดียว”
“อาจารย์ทุกคนล้วนเป็นจอมยุทธ์ระดับสูง มารอต้อนรับใครกันหรือนี่?”
“หรือจะเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงจากกระทรวงศึกษา?”
ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยที่เดินผ่านหน้าสถานศึกษาอดประหลาดใจไม่ได้ พวกเขายืนจับกลุ่มรวมตัวกัน ชี้มือชี้ไม้ พลางกระซิบกระซาบด้วยความสงสัย
รวมถึงเหล่า ‘ศัตรู’ ของหลินเป่ยเฉินด้วยเช่นกัน พวกเขามาดักรอเด็กหนุ่มได้ 10 วันเต็มแล้ว เมื่อเห็นคณะอาจารย์ออกมายืนตั้งแถว ก็ให้รู้สึกเครียดเขม็งขึ้นทันที
“พวกเราถอยออกมาหน่อยดีกว่า จัดแถวต้อนรับขนาดนี้ ต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่ๆ”
“จำเอาไว้ว่าเรามีปัญหากับหลินเป่ยเฉินคนเดียวเท่านั้น แต่เราจะมีปัญหากับสถานศึกษากระบี่ที่สามไม่ได้เด็ดขาด เพราะเราไม่มีทางสู้อาจารย์เหล่านี้ได้เลย”
“เจ้าเห็นคนหน้าสุดที่ใส่เสื้อคลุมสีฟ้านั่นไหม? อย่าไปมีเรื่องกับเขาเด็ดขาดเชียวนะ เขามีนามว่าฉู่เหิน เป็นอาจารย์หัวหน้าชั้นปีที่ 2 ของสถาบัน ได้รับฉายาว่า ‘เฒ่าอสรพิษ’ ฝีมือร้ายกาจอย่างหาตัวจับยาก ขึ้นชื่อว่ารักลูกศิษย์ของตนเองยิ่งกว่าอะไรดี หากเจอหน้าเขาเมื่อไหร่ จงรีบหลบเลี่ยงให้เร็วที่สุด”
ไม่ว่าจะเป็นคนจากสำนักยุทธ์อิสระที่ยกพวกมาดักรอหลินเป่ยเฉินอยู่หน้าสถานศึกษา หรือว่าหัวหน้าเวรยามเฝ้าประตู ไปจนถึงทหารรับจ้างในบริเวณนั้น ต่างก็รีบกำชับลูกสมุนของตนเอง ว่าครั้งนี้พวกเขาจะเข้าไปยุ่มย่ามกับเรื่องราวของสถานศึกษากระบี่ที่สามไม่ได้เด็ดขาด
แต่คณะอาจารย์เหล่านี้มายืนรอต้อนรับใครกัน?
ยิ่งเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ความสงสัยของทุกคนก็เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ทันใดนั้นเอง…
“พวกเขามากันแล้ว มาถึงประตูเมืองแล้ว”
เสียงกีบเท้าม้าดังมาแต่ไกล
อาจารย์หนุ่มคนหนึ่งขี่ม้ากลับมาแจ้งข่าวทุกคนด้วยสีหน้ายินดีปรีดา
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าฉู่เหินทันที เขาหันกลับมามองหน้าอาจารย์ทุกคนที่ยืนเข้าแถวอยู่ด้านหลังและกล่าวว่า “พวกเราเตรียมตัวให้พร้อม…”
ไม่กี่อึดใจต่อมา
อสูรลมกรดและรถม้าประจำสถาบันของพวกเขา ก็ปรากฏขึ้นบนถนนที่ทอดตรงมายังสถานศึกษากระบี่ที่สาม
ดวงตาทุกคู่จับจ้องมองไปที่รถม้าคันนั้น
“ใครอยู่ในห้องโดยสารกันนะ?”
“รถม้าคันนี้ไปรับอาคันตุกะมาจากที่ไหน?”
“ดูเหมือนว่าสถานศึกษากระบี่ที่สามจะส่งรถม้าไปรับแขกมาเองเลยหรือนี่”
“คนขับรถม้าเป็นอาจารย์ประจำสถาบันเสียด้วย…”
เกิดเสียงพูดคุยด้วยความตื่นเต้นประหลาดใจดังขึ้นจากกลุ่มคน หลังผ่านการรอคอยชั่ว 2 เค่อ ความสงสัยของใครหลายคนก็ยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้น
รถม้าวิ่งมาหยุดลงตรงหน้าประตูสถานศึกษา
คณะอาจารย์ที่เข้าแถวรอเป็นระเบียบเรียบร้อย ต้อนรับการมาถึงด้วยเสียงปรบมือ
ฉู่เหินเดินออกมาข้างหน้า กล่าวทักทายพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ในที่สุด วีรบุรุษผู้จรัสแสงของพวกเราก็กลับมาถึงแล้ว”
ประตูรถม้าเลื่อนเปิดออก
อู๋เสี่ยวฟางเป็นคนแรกที่ก้าวลงมา
ขณะนี้ เด็กหนุ่มตกอยู่ในสภาพที่ใบหน้าบวมช้ำ เห็นได้ชัดว่าถูกทำร้ายมาอย่างหนัก อู๋เสี่ยวฟางหลบหน้าหลบตาผู้คนไม่สบตาใคร เหมือนว่าทรมานใจมากที่ต้องอยู่ในห้องโดยสารของรถม้ามาตลอดทาง…
ทุกสายตาที่จับจ้องไปยังประตูรถม้า ถึงกับเกิดความตะลึงงันขึ้นทันที
เกิดอะไรขึ้น?
หลังจากนั้น มู่ซินเยว่ก็ลงจากรถม้าเป็นคนต่อมา
เทพธิดาแห่งปวงชนยังคงมีหน้าตางดงามดังเดิม แม้ว่าขณะนี้จะดูโทรมไปบ้างเล็กน้อย แต่ขอแค่นางร้องไห้ออกมา ก็จะมีเด็กหนุ่มจำนวนมากพร้อมสละชีวิตเพื่อนางได้โดยไม่ลังเล
แต่ยังไม่ทันที่ใครหลายคนจะหายตกตะลึง พวกเขาก็ต้องยิ่งงงหนักกว่าเก่า เมื่อเห็นฉู่เหินดึงตัวอู๋เสี่ยวฟางกับมู่ซินเยว่ให้หลบไปยืนข้างทางเหมือนเศษขยะสองชิ้น คณบดีฉู่ไม่เสียเวลาแม้แต่มองหน้าลูกศิษย์ทั้งสองสักแวบเดียวด้วยซ้ำ
ยังมีคนก้าวลงมาจากรถม้าอย่างต่อเนื่อง
คราวนี้เป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักนามว่าเยว่หงเซียง
บัดนี้ ฉู่เหินไม่ทำเป็นเมินเฉยเด็กสาวอีกต่อไป เขาก้าวเข้าไปตบไหล่เยว่หงเซียงและกล่าวว่า “เจ้าคงลำบากมากเลยสินะ เยว่หงเซียง สถาบันของเราจะจดจำเอาไว้ ว่าเจ้าสร้างชื่อเสียงให้พวกเราไว้มากมายเพียงใด”
หรือจะเป็นเด็กสาวคนนี้กันนะ ที่ทำให้อาจารย์ทุกคนต้องมาเข้าแถวยืนรอต้อนรับอย่างนี้?
หลายคนเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
นางเป็นใครกัน?
แต่จังหวะนั้นเอง ปรากฏใครอีกคนกระโดดลงมาจากรถม้า
เป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
เสียงปรบมือของคณะอาจารย์ที่ดังอยู่เปาะแปะเมื่อสักครู่นี้ พลันกลับกลายเป็นเสียงปรบมือที่ดังอื้ออึงขึ้นมาทันที นอกจากนั้น ยังมีเสียงโห่ร้องต้อนรับด้วยความดีอกดีใจชัดเจน
“ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้าลูกเต่า เจ้าไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังจริงๆ”
ฉู่เหินถลาเข้าไปสวมกอดเด็กหนุ่มคนนั้น ราวกับเป็นบิดาที่พลัดพรากจากบุตรชายมานานหลายปี