ตอนที่ 810 ยาตัวใหม่
อานมู่ซีในฐานะหัวหน้าใหญ่ของสำนักพยาบาลแห่งนี้ เมื่อเห็นเจ้านายของตนเองถูกขับไล่ เขาก็อับอายเกินไปที่จะอยู่ต่อ อานมู่ซีรีบหมุนตัวเดินกลับออกมาจากสำนักพยาบาล และสั่งให้หมอยาจำนวนหนึ่งสังเกตอาการของหลิงเฉินอย่างใกล้ชิด ก่อนที่เขาจะเดินนำโจวฉุยหวูซวงศิษย์เอกจากไป
ภายในห้องพักผู้บาดเจ็บ จึงเหลือแต่เพียงคู่สามีภรรยาและบุตรสาวของพวกเขาเท่านั้น
บรรยากาศตกอยู่ในความเงียบ
“เฮ้อ เจ้าใจร้ายเกินไปแล้วนะ…” หลิงจุนเซวียนบ่นออกมาโดยไม่รู้ตัว “ไม่ว่าเจ้าจะไม่ชอบหลินเป่ยเฉินอย่างไร แต่เขาก็เป็นถึงเด็กหนุ่มที่สามารถกำจัดเหลียงหยวนเตาได้สำเร็จ เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีผู้คนพยายามโค่นล้มเจ้าเมืองคนนี้มายาวนานขนาดไหน อย่าว่าแต่ยอดฝีมือทั่วไปยังทำไม่ได้ แล้วนี่เขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น อย่างน้อยเจ้าก็สมควรไว้หน้าเขาบ้างไม่ใช่หรือ?”
“อีกอย่าง เจ้าก็ควรรู้ดีอยู่แก่ใจตนเองนะว่าการที่หลินเป่ยเฉินสามารถสังหารเหลียงหยวนเตาได้สำเร็จ นั่นก็หมายความว่าเขาได้ช่วยเหลือชีวิตชาวเมืองนครเจาฮุยนับสิบล้านคนให้รอดพ้นอันตราย…”
“ข้าก็แค่อยากช่วยชีวิตลูกสาวของพวกเราเท่านั้น”
ชินหลันซูเงยหน้าขึ้นมามองสามีของตนเองตาขวาง
“ข้ารู้ว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนดี หากข้าไม่ได้เป็นมารดาของเฉินเอ๋อร์ ข้าก็คงชื่นชมเขามากและคงต้องพยายามทุกทางเพื่อเก็บเขาเอาไว้ให้ได้ แต่เป็นเพราะ… เขาจะมาข้องเกี่ยวกับเฉินเอ๋อร์ไม่ได้เด็ดขาด ยิ่งรู้จักกันมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีแต่ยุ่งยากมากขึ้นเท่านั้น พวกเราต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม เด็กทั้งสองคนจะได้ไม่เจ็บปวดมากไปกว่านี้ และข้ายินดีทำทุกหนทาง เพื่อป้องกันไม่ให้บุตรสาวของพวกเราทำผิดซ้ำสองอีก”
หลังจากหยุดไปเล็กน้อย ชินหลันซูก็กล่าวประโยคเหล่านี้ออกมารวดเดียวจบด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลิงจุนเซวียนนิ่งคิดอะไรเล็กน้อย ก็ก้มลงคุกเข่าต่อหน้าภรรยาอีกครั้ง พยายามยิ้มประจบประแจงกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่อยากให้หลินเป่ยเฉินกับเฉินเอ๋อร์สนิทกันมากเกินไป แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหลินเป่ยเฉินเคยช่วยชีวิตคนเอาไว้มากมาย ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเขาสามารถเยียวยาอาการของบุตรสาวเราได้สำเร็จ เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าเขาอาจจะมีวิธีรักษาเฉินเอ๋อร์ก็เป็นได้?”
“ท่าน…” เมื่อเห็นสามีของตนเองคุกเข่าลงไปอีกครั้ง ชินหลันซูก็ต้องพูดว่า “ยังไม่รีบลุกขึ้นมา”
บัดนี้ บุตรสาวของพวกเขาตื่นแล้ว การต้องเห็นบิดาของตนเองคุกเข่าจะอยู่ต่อหน้ามารดาคงเป็นเรื่องที่น่าอับอายนัก
“ข้าไม่ลุก”
หลิงจุนเซวียนปฏิเสธเสียงแข็ง ยังคงคุกเข่าต่อไปและกล่าวว่า “วันนี้ข้าจะใช้ฐานะหัวหน้าตระกูลหลิงคุกเข่าอยู่ตรงนี้ไม่ยอมลุกไปไหน เสี่ยวหลัน เจ้าก็เห็นแล้วว่าพวกตระกูลเว่ยเป็นบุคคลชั่วช้า ถ้าปล่อยให้เฉินเอ๋อร์แต่งงานกับเขา นั่นยิ่งไม่แย่มากไปกว่าให้แต่งงานกับหลินเป่ยเฉินร้อยเท่าพันเท่าหรอกหรือ?”
ชินหลันซูส่ายหน้า ตอบว่า “เว่ยหมิงเฉินเป็นบุคคลชั่วช้ากับผู้อื่นแล้วจะอย่างไร? มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลย ตราบใดที่เขาเป็นคนเดียวที่สามารถรักษาเฉินเอ๋อร์ของพวกเราได้ ต่อให้ข้าต้องฆ่าคนหมดทั้งโลกข้าก็ยอม ข้าไม่ได้ตาบอด ข้าย่อมมองเห็นว่าหลินเป่ยเฉินเป็นคนดีเพียงใด แต่ข้าก็เป็นแค่มารดาผู้หนึ่ง ตราบใดที่บุตรสาวของข้ายังสามารถมีชีวิตสืบต่อไปได้ ข้าก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว”
“สตรีก็เป็นเสียแบบนี้ สตรีก็เป็นเสียแบบนี้”
หลิงจุนเซวียนถอนหายใจยาวแรงและขึงตามองเขม็ง “ทำไมเจ้าไม่คิดถึงจิตใจลูกบ้าง เฉินเอ๋อร์เป็นฝ่ายเข้าหาหลินเป่ยเฉินครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าคิดว่ามันเป็นเรื่องของความรักเด็กๆ อย่างนั้นหรือ? ก่อนที่จะจัดการแข่งขันค้นหาผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง บุตรสาวของพวกเราไม่เคยเจอหน้าหลินเป่ยเฉินเลยสักครั้ง นี่อาจจะเป็นพรหมลิขิตก็ได้… เสี่ยวหลัน เจ้าลองคิดดูให้ดีเถิด บางทีมันอาจจะเป็นอย่างที่ท่านพ่อของข้าเคยพูดไว้ก็ได้”
“ก็อาจจะใช่” ชินหลันซูตอบกลับมา “มันอาจจะมีความเป็นไปได้ แต่ในฐานะมารดาผู้หนึ่ง ข้าจะไม่เปิดโอกาสให้แก่คนที่มีคุณสมบัติแค่ ‘อาจจะ’ เท่านั้น เพราะบุคคลที่อยู่ในสายตาของข้า ต้องเป็นคนที่มีความสามารถทำได้ ‘สำเร็จ’ แน่นอนต่างหาก”
“ยิ่งไปกว่านั้น…”
ชินหลันซูจ้องมองใบหน้าผู้เป็นสามีและหัวเราะเยาะ “ท่านต่างหากเป็นบิดาของนาง แต่ไม่คิดถึงความปลอดภัยของลูกบ้างเลย ท่านปล่อยให้ลูกของเราหลงเดินทางผิดมาถึงขั้นนี้ได้อย่างไร ท่านก็รู้ว่าในตัวเฉินเอ๋อร์มีอะไรอยู่… ระดับพลังของนางยังไม่แน่นอน แต่ท่านกลับปล่อยให้นางหลบหนีออกไปต่อสู้กับเหลียงหยวนเตา ท่านเคยนึกถึงผลที่จะตามมาบ้างหรือไม่?”
หลิงจุนเซวียนลุกพรวดขึ้นยืนทันที “แต่ลูกเราก็ปลอดภัยดีไม่ใช่หรือ?”
คราวนี้ทั้งสองคนโต้เถียงกันอย่างดุเดือด
หลิงเฉินนอนอยู่เงียบๆ ไม่สนใจการโต้แย้งของบิดามารดาแม้แต่น้อย
สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่นี้ เด็กสาวคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ไม่ต้องสงสัยเลย
นางไม่รู้สึกเบื่อหน่ายหรือเศร้าสร้อย
แต่กลับรู้สึกซาบซึ้งใจด้วยซ้ำ
เนื่องจากที่บิดามารดาทุ่มเถียงกันนั้น เป็นเพราะพวกท่านมีความปรารถนาดีต่อตัวนางนั่นเอง
ทั้งหมดเป็นเพราะพวกท่านห่วงใยนาง
ความรู้สึกที่ผู้อื่นห่วงใยตนเองนั้นเป็นสิ่งที่ดีเสมอ
และทุกครั้งที่เกิดการโต้เถียงกันขึ้น ไม่ว่าจะขึ้นเสียงใส่กันสักเท่าไหร่ แต่สุดท้ายบิดามารดาของนางก็ไม่เคยทำร้ายความรู้สึกของกันและกัน
ปล่อยให้พวกท่านทะเลาะกันต่อไปเถิด
หลิงเฉินลองขยับตัวดูเล็กน้อย
นางรู้สึกว่าร่างกายของตนเองฟื้นตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว
แม้แต่พลังลมปราณที่สูญหายไปจำนวนมากจากการต่อสู้กับเหลียงหยวนเตาก็ฟื้นฟูกลับขึ้นมาเป็นอย่างดี
และพลังแฝงที่อัดแน่นอยู่ในร่างกายของนางนั้น ก็ดูจะสงบราบเรียบลงชั่วคราว
หลิงเฉินไม่เคยรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเท่านี้มาก่อน
ที่นางไม่เรียกร้องขอให้หลินเป่ยเฉินอยู่ต่อ ก็เพราะไม่อยากให้เขามีความขัดแย้งกับมารดาของนาง
เมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวของหลินเป่ยเฉินตอนที่พูดออกมาว่า ‘หัวใจของข้า’ ก่อนที่นางจะสลบไปนั้น หลิงเฉินก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ เพราะนางเข้าใจผิดคิดว่าเขากำลังเรียกหาตนเอง
ครั้งนี้เป็นนางเข้าใจผิด แต่ไม่แน่ว่าในอนาคต เขาอาจจะเรียกหานางจริงๆ ก็ได้
เพียงแค่คิดหลิงเฉินก็มีความสุขแล้ว
…
เมื่อเดินออกมาจากสำนักพยาบาล หลินเป่ยเฉินก็ถูกอานมู่ซีตามรบเร้าอยู่ตลอดเวลา
เพราะว่านักหลอมโอสถหนุ่มพยายามจะแนะนำยาตัวใหม่ให้เขารู้จัก
“คุณชายขอรับ ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ข้าคิดค้นยาชนิดใหม่ขึ้นมาได้หลายตัว อาทิ ผงอ่อนระทวยเป่ยเฉิน เมื่อปาผงชนิดนี้ให้ผู้มีพลังระดับยอดปรมาจารย์ตอนปลายสูดดมเข้าไป แข้งขาของพวกเขาก็จะอ่อนระทวยทันที…”
“แล้วก็ยังมียาปลุกกำหนัดตัวใหม่อานุภาพรุนแรงมากกว่าเดิม แม้แต่พวกสัตว์อสูรก็ยังสู้ไม่ได้ขอรับ….”
“โอ๊ะ แต่ถ้าคุณชายไม่สนใจ ข้าก็ยังมียาอีกหนึ่งชนิดมานำเสนอ ยาตัวนี้เมื่อดื่มเข้าไปแล้ว ก็จะทำให้ผิวหนังเน่าเปื่อย ระบบภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่อง ข้าเรียกยาตัวนี้ว่าโอสถละลายกายเป่ยเฉินขอรับ…”
“อ้อ แล้วข้าก็ยังมีผงพรางตาเป่ยเฉินอีกตัวด้วยขอรับ ซึ่งได้มาจากการทดลองที่ผิดพลาดของยาอีกตัวหนึ่ง ผงสีขาวชนิดนี้มีสรรพคุณสามารถใช้อำพรางพลังลมปราณของผู้ใช้ได้ในระยะหลายสิบวา ข้าลองให้มือกระบี่ระดับยอดปรมาจารย์ทดลองใช้งานแล้วหลายคน ปรากฏว่าพวกเขาเหมือนกับล่องหนได้เชียวขอรับ… นี่คือผงวิเศษที่เป็นตัวช่วยที่ดีที่สุดในการหลบหนี ลอบสังหารผู้คน ลอบวางเพลิงและปกปิดร่องรอยการเดินทาง มีความสามารถสูง ในราคาที่ทุกคนสามารถจับต้องได้…”
อานมู่ซีบรรยายสรรพคุณยาแต่ละชนิดออกมาโดยหวังว่าจะมีสักตัวหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจของคุณชายหลินได้สำเร็จ
หลินเป่ยเฉินเอื้อมมือไปตบหลังอานมู่ซีและพูดว่า “ท่านหมายความว่าอย่างไร ข้าคือหลินเป่ยเฉินผู้มีภาพลักษณ์ใสซื่อบริสุทธิ์ เป็นคนดีราวกับผ้าขาวไร้รอยแปดเปื้อน แล้วดูยาแต่ละชนิดที่ท่านคิดค้นขึ้นมาสิ ยาปลุกกำหนัดเอย ยาพรางตาสำหรับลอบสังหารเอย เกิดมีคนเอาไปใช้งานขึ้นมา ภาพลักษณ์ของข้าไม่เสียหายหมดหรือ?”
อานมู่ซีถึงกับนิ่งอึ้งตะลึงงัน
ภาพลักษณ์ของเด็กหนุ่มดีเลิศประเสริฐศรีขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่…
นี่เขาเข้าใจผิดมาตลอดเลยหรือ?
ทันใดนั้น อานมู่ซีก็ได้ยินคุณชายหลินกล่าวออกมาอีกครั้งว่า “แต่ช่างมันเถอะ ในเมื่อท่านอุตส่าห์คิดค้นขึ้นมาแล้ว จะโละทิ้งไปก็เสียของเปล่าๆ ท่านสามารถเอาไปวางขายได้ตามปกติ แต่อย่าลืมเอายาแต่ละชนิดมาให้ข้าด้วยชนิดละ 500 ขวด…”
อานมู่ซีเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง
“รับทราบขอรับคุณชาย”
เขารีบรับคำเร็วไว
หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าครุ่นคิดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้น ก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงถามว่า “จริงด้วยสิ เด็กสาวเมื่อวันก่อนที่ข้านำตัวมาฝากให้ท่านหางานให้ทำ ไม่ทราบว่าบัดนี้นางเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลังจากที่ไป๋ชินหยุนมาถึงค่ายผู้อพยพ นางก็เงียบหายไปเลย
ไม่รู้เหมือนกันว่าป่านนี้จะฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บได้แล้วหรือยัง
“หืม?”
อานมู่ซีมีสีหน้าว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด
หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบด้วยสังหรณ์อัปมงคล “ท่านคงไม่… ลืมหรอกใช่ไหม?”
แต่ในที่สุด อานมู่ซีก็นึกขึ้นมาได้ว่าหลินเป่ยเฉินกำลังพูดถึงเด็กสาวหน้าตามอมแมมคนหนึ่งที่นำตัวมาฝากงานเมื่อหลายวันก่อน และดูเหมือนว่าเขาจะส่งนางให้ไปทำงานเฝ้าโรงเก็บวัตถุดิบสำหรับหลอมโอสถไม่ใช่หรือ?
ถ้าอ่าน “เซียนกระบี่มาแล้ว” ถึงบทนี้แล้วยังไม่จุใจ งั้นไปอ่านกันต่อได้ที่เว็บ Enjoybook.co เพราะที่นั่นลงนำไปแล้วกว่า 30 ตอน !! #อ่านก่อนใครได้ที่เว็บเอนจอย