บทที่ 83 อาจารย์ใหญ่อยากเจอเจ้า
“แค่ไม่ผิดหวังเองหรือขอรับ?”
เด็กหนุ่มฉีกยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์
ฉู่เหินระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ “ฮ่าฮ่า คิดเล่นลิ้นกับอาจารย์เชียวหรือ? ได้สิ ข้ายอมรับว่าคิดไม่ถึงจริงๆ กับความสำเร็จของเจ้า นับจากนี้ไป ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามในสถานศึกษากระบี่ที่สาม หรือในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้ หากคิดมีปัญหากับเจ้า ก็เท่ากับมีปัญหากับข้าฉู่เหินคนนี้ด้วยเช่นกัน รวมถึงจะต้องมีปัญหากับคณะอาจารย์ประจำชั้นปีที่สองอีก 130 ชีวิต เพราะตอนนี้ เจ้าคือศิษย์รักของข้าแล้ว อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่า!”
เมื่อโคจรพลังลมปราณระหว่างพูด เสียงของฉู่เหินก็ดังกังวานไปทั่วบริเวณ
“ถูกต้อง หลินเป่ยเฉินอยู่ภายใต้การคุ้มครองของสถานศึกษากระบี่ที่สามแล้ว”
“ใครก็ตามที่เป็นศัตรูกับหลินเป่ยเฉิน จะต้องเป็นศัตรูกับคณะอาจารย์ชั้นปีที่ 2 ทั้งหมด”
“หุหุ ข้าขอพูดแค่ประโยคเดียวเท่านั้น ใครก็ตามที่กล้าทำร้ายหลินเป่ยเฉิน ข้าจะจับมันหักขาเป็นห้าท่อนซะ”
เหล่าอาจารย์ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ต่างก็ส่งเสียงตะโกนออกมาเช่นกัน
ส่งผลให้กลุ่มคนดูถึงกับตกตะลึงไปหมดแล้ว
เดี๋ยวก่อนนะ
ละ…หลินเป่ยเฉิน?
เมื่อจ้องมองเด็กหนุ่มคนที่ฉู่เหินสวมกอดด้วยความรักใคร่ดีๆ อีกครั้ง ทุกคนก็ได้เห็นรอยยิ้มอวดดีบนใบหน้าอันหล่อเหลาชัดเจนเต็มสองตา “นั่นมันเจ้าหลินเป่ยเฉิน เศษขยะประจำเมืองไม่ใช่หรือ?”
ทันใดนั้น ความทรงจำในอดีตก็พรั่งพรูขึ้นมาในห้วงคำนึงของพวกเขา
ก่อนหน้านี้ สมัยที่เจ้าแกะดำยังมีเงินทองและอำนาจอยู่ในมือ เขาเที่ยวรังแกผู้คนมากมายจนกลายเป็นที่หวาดกลัวของชาวเมืองจำนวนไม่น้อย
ใบหน้าของกลุ่มคนดูในขณะนี้จึงค่อยๆ แข็งค้างทีละนิด
เป็นจังหวะเดียวกับที่หลินเป่ยเฉินหันกลับไปคำนับขอบคุณคณะอาจารย์ เมื่อเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็พลันหันมาโบกไม้โบกมือทักทายพวกเขาด้วยใบหน้าประดับรอยยิ้ม “สวัสดี สหายทุกท่าน แหม ไม่คิดเลยนะว่าพวกเจ้าจะใจดีขนาดนี้ อุตส่าห์มารอต้อนรับข้าด้วยหรือ…”
หลินเป่ยเฉินที่ตอนแรกเบื่อโลกจอมยุทธ์จนอยากจะกลับโลกมนุษย์แทบตายแล้ว บัดนี้ เขากลับรู้สึกว่าโลกใบนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่อเกินไปนัก
แต่พริบตาต่อมา…
“แว๊ก! ช่วยด้วย! เจ้าแกะดำมาแล้ว!”
“หลินเป่ยเฉินมาแล้ว พวกเรารีบหนีเร็ว!”
“ทุกคนรีบปิดประตูหน้าต่าง สตรีที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปี กรุณาซ่อนตัวให้มิดชิด…”
“แม่จ๋า…”
เสียงอุทานด้วยความแตกตื่นของชาวเมืองหลายร้อยคนดังขึ้น บรรยากาศเกิดความสับสนอลหม่านขึ้นมาทันที กลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่นี้พากันแตกกระจายหายไปเหมือนฝูงลูกแกะน้อยหลบหนีหมาป่า เพียงอึดใจเดียว พื้นที่บริเวณนั้นก็ไม่มีใครยืนรวมกลุ่มกันอีกแล้ว
ถนนเบื้องหน้าประตูสถานศึกษากระบี่ที่สามแทบว่างเปล่า
นี่มัน…
น่าขายหน้าชะมัด!
“โฮะๆ ดูเหมือนพวกเขาจะเข้าใจข้าผิดเสียแล้วสิ”
พูดจบ เด็กหนุ่มก็หันกลับมายิ้มเขินให้แก่พวกของฉู่เหิน
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเป่ยเฉินและคณะก็เดินกลับเข้าสู่พื้นที่ด้านในสถานศึกษา ท่ามกลางการห้อมล้อมของเหล่าอาจารย์
ขณะเดียวกันนี้ ‘ศัตรู’ ที่มาแอบดักรอหลินเป่ยเฉินอยู่หน้าสถาบัน ต่างก็หันมองหน้ากัน ด้วยไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตั้งแต่ที่ครอบครัวของเจ้าแกะดำล่มสลาย พวกเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวเด็กหนุ่มอีกต่อไป ทุกคนต่างรอโอกาสที่จะแก้แค้นให้สาสมใจ แม้แต่บรรดาอาจารย์ในสถานศึกษาก็อยากขับไล่หลินเป่ยเฉินออกจากสถาบันของตัวเองเต็มแก่
แต่บัดนี้…
มีบางอย่างผิดปกติ
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
เหตุไฉนอยู่ดีๆ คณะอาจารย์ในสถานศึกษากระบี่ที่สามจึงหันมารักใคร่หลินเป่ยเฉินอย่างนี้?
ระหว่างที่พวกเขากำลังสงสัยอยู่นั้นเอง ลำแสงสีเงินก็เป็นประกายสว่างวาบจากเสาหินขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ในจัตุรัสใจกลางเมือง นี่คือเสาหินที่สามารถกระจายเสียงได้ไกลหลายสิบลี้ และจะถูกใช้งานก็ต่อเมื่อมีประกาศสำคัญเท่านั้น ซึ่งในขณะนี้ น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูมีอำนาจก็ดังกังวานได้ยินอย่างชัดเจนว่า
“การประลองความสามารถประจำเมืองจบลงแล้ว ผลการแข่งขันมีดังนี้…ผู้ชนะประจำการแข่งขันชั้นปีที่ 3 สามอันดับแรกคือ หลินอี้ โจวเคอเอ๋อร์ หลิงเซวียน…ผู้ชนะประจำการแข่งขันชั้นปีที่ 2 สามอันดับแรกคือ หลิงเฉิน หลินเป่ยเฉิน หวังซินอวี่…ผู้ชนะประจำการแข่งขันชั้นปีที่ 1 สามอันดับแรกคือ ซูเสี่ยวหยาน หมี่หรูหยาน คังซานเสว่…”
เหล่าศัตรูของหลินเป่ยเฉินพากันปากอ้าตาค้างไปทันที
“เจ้าขยะไร้ความสามารถอย่างหลินเป่ยเฉิน กลายเป็นหนึ่งในสามผู้ชนะการประลองความสามารถประจำเมืองได้อย่างไร?”
นี่คือคำถามที่เกิดขึ้นเมื่อสิ้นสุดการประกาศผลจากวิหารเทพกระบี่ ถ้าพวกเขาเข้าใจไม่ผิด นี่หมายความว่านับจากนี้ไป หลินเป่ยเฉินจะมีป้ายประจำตัวผู้มีพรสวรรค์ประจำเมือง และได้รับการคุ้มครองจากทางราชการ ไม่ว่าจะเป็นจากกระทรวงศึกษา กองทัพนักรบเมฆา รวมถึงวิหารเทพกระบี่ด้วยเช่นกัน
เมื่อมีป้ายประจำตัวอยู่ในมือ หลินเป่ยเฉินก็เป็นเหมือนสมบัติล้ำค่าประจำจักรวรรดิ ไม่ว่าใครก็แตะต้องเขาไม่ได้อีกแล้ว
เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ หากพวกเขายังดื้อดึงหาเรื่องหลินเป่ยเฉินต่อไป ก็เท่ากับกำลังรนหาที่ตายโดยแท้
“พวกเรารีบกลับจากที่นี่กันเถอะ”
“รีบไปแจ้งท่านอาจารย์…”
“นำข้อความนี้ไปแจ้งต่อท่านเจ้าสำนักเร็วเข้า!”
ความแตกตื่นเกิดขึ้นเหมือนสุนัขแตกรัง แล้วกลุ่มคนคู่แค้นของหลินเป่ยเฉิน ก็สลายหายตัวไปหมดสิ้นในพริบตาเดียว
…
ด้านในสถานศึกษา
หลังจากเข้ามาชื่นชมหลินเป่ยเฉินพอเป็นพิธีแล้ว คณะอาจารย์คนอื่นๆ ก็แยกย้ายสลายตัว
ฉู่เหินเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไปยังส่วนลึกของสถานศึกษาพร้อมกับกล่าวว่า “อาจารย์ใหญ่อยากเจอเจ้า”
อาจารย์ใหญ่อย่างนั้นหรือ?
สมองของหลินเป่ยเฉินฉายภาพการสอบกลางภาคขึ้นมาทันที เขาจำได้ดีว่าเคยเห็นชายชราท่าทางขี้เมานั่งอยู่บนเก้าอี้พิเศษตัวหนึ่ง ชายชราคนนั้นมีผมสีเงิน สวมเสื้อคลุมลายทาง ร่างกายคลุ้งด้วยกลิ่นสุรา…
เป็นที่ทราบกันดีว่าอาจารย์ใหญ่นามหลิงไท่ซวี ไม่เคยสนใจกิจการภายในสถานศึกษาเลยสักนิด เขาใช้เวลาส่วนใหญ่หมกตัวอยู่ตามหอนางโลมและเหลาสุรา จึงได้รับการขนานนามให้เป็น ‘เจ้าแห่งกิเลสตัณหา’ ผู้โด่งดังไปทั่วเมืองหยุนเมิ่ง
“ตาแก่คนนั้นอยากเจอฉันไปทำไมนะ? หรือจะเป็นเพราะว่าฉันมันทั้งหล่อ แล้วก็ทั้งเก่ง จนชื่อเสียงลอยไปถึงหูเขา อาจารย์ใหญ่เลยอยากเรียกฉันไปดูหน้า ว่าพอจะมีหวังกอบกู้ชื่อเสียงให้สถานศึกษาได้บ้างหรือเปล่า? ต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ ไม่งั้นเขาคงไม่รีบร้อนอยากเจอฉันขนาดนี้หรอก”
มีความสุขจังเลยโว้ย!
หลินเป่ยเฉินหัวเราะอยู่ในใจด้วยความปลื้มปิติ
ไม่กี่อึดใจต่อมา
พวกเขาก็มายืนอยู่หน้าห้องอาจารย์ใหญ่
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
ฉู่เหินยกมือขึ้นเคาะประตูสามครั้ง เรียบร้อยแล้วก็เปิดประตู ก่อนจะผลักหลินเป่ยเฉินเข้าไปด้านใน
ปัง!
ประตูถูกปิดตามหลังทันที
ฉู่เหินยืนรออยู่ด้านนอก ไม่ได้ตามเข้ามาด้วย
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนโดนส่งมาติดกับดักยังไงก็ไม่รู้แฮะ”
หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกเอะใจเล็กน้อย
ห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่มีพื้นที่กว้างขวาง ประดับด้วยหน้าต่างขนาดใหญ่สองบาน แสงสว่างยามอาทิตย์อัสดงทำให้ห้องทำงานแห่งนี้ดูว่างเปล่า หลินเป่ยเฉินประหลาดใจไม่ใช่น้อยที่พบว่าภายในห้องทำงานไม่มีชั้นวางหนังสือเลยสักชั้นเดียว แต่มันกลับถูกแทนที่ด้วยชั้นวางไหสุรา ขวดสุรา และแก้วสุราจำนวนมาก
หากฉู่เหินไม่ได้บอกไว้ก่อนว่าที่นี่เป็นที่ไหน หลินเป่ยเฉินคงเข้าใจว่าตนเองกำลังอยู่ในห้องเก็บสุราเป็นแน่แท้
ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นดอกกุหลาบก็จริง แต่ก็ไม่สามารถกลบกลิ่นสุราที่ลอยตลบอบอวลได้อยู่ดี เพียงเดินเข้ามาไม่กี่ก้าว หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกเวียนศีรษะเหมือนคนมึนเมาแล้ว
มีเสียงกรนดังขึ้นจากส่วนลึกของชั้นวางไหสุรา
หลินเป่ยเฉินแอบย่องผ่านชั้นวางไหสุราทั้ง 10 แถวเข้าไปดู จึงได้เห็น…
เตียงนอนหลังหนึ่ง
หลิงไท่ซวี ‘เจ้าแห่งกิเลสตัณหา’ ผู้นั้นกำลังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในชุดนอนสีชมพู โดยมีสตรีนางหนึ่งกำลังซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาอย่างสบายอารมณ์